id
stringlengths
3
5
revid
stringclasses
130 values
url
stringlengths
39
41
title
stringlengths
3
150
text
stringlengths
140
119k
4316
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4316
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/ชนิดของคำ/คำวิเศษณ์
คำวิเศษณ์ คือ คำที่บอกลักษณะต่าง ๆของคำนามและคำกริยาให้มีความชัดเจนมากขึ้น คำวิเศษณ์มักจะวางอยู่หลังคำที่ขยาย เพื่อช่วยให้ประโยคมีความหมายชัดเจน ชนิดของคำวิเศษณ์. คำวิเศษณ์มีหลายชนิด ดังนี้ ลักษณะคำวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะ เช่น
4317
28028
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4317
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/ชนิดของคำ/คำบุพบท
คำบุพบท คือ คำที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงคำหรือกลุ่มคำ เพื่อบอกให้รู้ถึงหน้าที่หรือตำแหน่งของคำเหล่านั้น เช่น คุณแม่อยู่"ใน"ห้องนอน หนังสืออยู่"บน"โต๊ะ แมวอยู่"ใต้"เตียง คำว่า "ใน บน ใต้" เป็นคำบุพบท คำบุพบทที่ใช้กันมาก คือ กลาง กับ แก่ เกือบ ใกล้ ของ ข้าง แค่ จน จาก ด้วย แต่ โดย ตาม ใต้ ที่ นอก ใน บน ระหว่าง ริม สำหรับ ฯลฯ
4318
58170
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4318
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/ชนิดของคำ/คำสันธาน
คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมประโยคหรือข้อความให้ติดกันเป็นเรื่องเดียวกัน ประโยคหรือข้อความที่ได้อาจมีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลกัน ขัดแย้งกัน คล้อยตามกัน หรือให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ "กับ และ จึง ถ้า เพราะ เพราะฉะนั้น...จึง เพราะว่า แต่ หรือ มิฉะนั้น ถึงแม้ว่า เมื่อ ครั้น...จึง ถึง...ก็ ดังนั้น...จึง"
4324
5255
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4324
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้คำ/คำแทนเสียงต่าง ๆ
ภาษาไทยมีรูปและเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์มาก สามารถนำมาใช้เขียนแทนเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงอุทาน เสียงธรรมชาติ หรือเสียงคำพูด ในภาษาอื่นได้อย่างใกล้เคียง ดังนี้
4326
9611
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4326
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้คำ/คำประสม
คำประสม คือ การนำคำที่มีความหมายสมบูรณ์ตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป มาประสมกันแล้วเกิดเป็นคำใหม่ มีความหมายใหม่ มีลักษณะดังนี้ อา (น้องของพ่อ) + หาร (เครื่องหมายชนิดหนึ่งใช้ในการคิดเลข) = อาหาร (ของกิน หรือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต) (อาหาร เป็นคำมูล) บท (ข้อความเรื่องหนึ่ง ๆ หรือตอนหนึ่ง ๆ) + เพลง (เสียงขับร้อง ทำนองดนตรี) = บทเพลง (คำประพันธ์สำหรับขับร้อง เนื้อร้อง หรือบทร้อง) แบน (มีลักษณะแผ่ราบออกไป) + แบน (มีลักษณะแผ่ราบออกไป) = แบน ๆ (ค่อนข้างแบน) ห่าง (ไม่ชิด) + ไกล (ยืดยาว นาน) = ห่างไกล (จากไปในระยะทางอันยืดยาวไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน) นักเขียน ย่อมาจาก ผู้ที่เขียนหนังสือเป็นอาชีพ ชาวประมง ย่อมาจาก ผู้ที่ประกอบอาชีพจับสัตว์น้ำ
4327
5255
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4327
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้คำ/คำซ้ำ
คำซ้ำ คือ คำที่เหมือนกันทั้งเสียงและความหมาย มีทั้ง 2 คำและ 4 คำเรียงกันอยู่ คำหลังจะใช้ไม้ยมกแทน ไกล ๆ ใกล้ ๆ โครม ๆ ง่าย ๆ จั้ก ๆ จริง ๆ เปรี้ยง ๆ ถี่ ๆ เร็ว ๆ ช้า ๆ ดำ ๆ ขาว ๆ ผอม ๆ เฉย ๆ ดี ๆ เตี้ย ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆ เด็ก ๆ พี่ ๆ ลูก ๆ น้อง ๆ สาว ๆ หลาน ๆ เพื่อน ๆ กลุ่ม ๆ ขาด ๆ เกิน ๆ, เจ็บ ๆ ไข้ ๆ, ด้อม ๆ มอง ๆ สุก ๆ ดิบ ๆ, ปิด ๆ เปิด ๆ, ออด ๆ แอด ๆ, ผิด ๆ ถูก ๆ
4328
5255
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4328
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้คำ/คำซ้อน
คำซ้อน คือ คำที่เกิดจากการนำคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน หรือใกล้เคียงกันมาประสมกันเป็นคู่ อาจมี 2, 4 หรือ 6 คำ ความหมายของคำซ้อนจะแปลกไปจากเดิม เช่น จากพราก จัดแจง จดจำ ปลอดโปร่ง ปราบปราม ห่างไกล อล่องฉ่อง หยดย้อย ครื้นเครง ง่วงเหงาหาวนอน บนบานศาลกล่าว หวานเป็นลมขมเป็นยา เป็นต้น
4329
935
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4329
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้คำ/คำสมาส
ความหมาย. คำสมาส คือ การสร้างคำใหม่ในภาษาบาลีสันสกฤต เช่นเดียวกับคำประสมในภาษาไทย เกิดจากการนำคำบาลีสันสกฤตตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป มารวมกันเป็นคำเดียวกันให้มีความหมายเกี่ยวเนื่องกัน คำที่เกิดจากการสร้างคำวิธีนี้เรียกว่า คำสมาส แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. เกิดจากการประสมคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป 2. เป็นคำที่มาจากภาษาบาลีหรือสันสกฤตเท่านั้น 2.1. คำบาลีสมาสกับคำบาลี เช่น 2.2. คำสันสกฤตสมาสกับคำสันสกฤต เช่น 2.3. คำบาลีสมาสกับคำสันสกฤต หรือคำสันสกฤตสมาสกับคำบาลี เช่น 3. พยางค์สุดท้ายของคำหน้า ไม่ใส่รูปสระอะ เช่น 4. พยางค์สุดท้ายของคำหน้า ไม่ใส่ตัวการันต์ เช่น 5. ต้องออกเสียงสระที่พยางค์สุดท้ายของคำหน้า ถึงแม้จะไม่มีรูปสระกำกับ เช่น 6. เรียงคำหลักไว้หลังคำขยาย เมื่อแปลจึงแปลจากหลังไปหน้า เช่น 7. คำบาลีสันสกฤต ที่มีคำว่า พระ ที่แผลงมาจาก วร (วอ - ระ) ประกอบข้างหน้า จัดเป็นคำสมาสด้วย แม้คำว่า พระ จะประวิสรรชนีย์ เช่น 8. คำสมาสส่วนใหญ่มักจะลงท้ายคำว่า ศาสตร์ ภัย กรรม ภาพ ศึกษา วิทยา เช่น 1. การประสมคำบางคำมีลักษณะคล้ายคำสมาส คือ คำแรกมาจากคำบาลีหรือสันสกฤต คำหลังเป็นคำไทย เวลาแปลจะแปลจากหน้าไปหลัง อ่านออกเสียงเหมือนคำสมาส แต่ไม่ถือว่าเป็นคำสมาส เช่น 2. การประสมคำที่มีภาษาอื่นที่ไม่ใช่คำบาลีสันสกฤตปนอยู่ คำคำนั้นไม่ถือเป็นคำสมาส เช่น 3. มีคำสมาสบางคำไม่ออกเสียงสระตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า เช่น 1. เป็นความเจริญทางด้านภาษา เมื่อต้องการใช้คำให้สละสลวย ก็สร้างคำขึ้นใหม่ให้พอใช้ 2. เป็นประโยชน์ในการแต่งคำประพันธ์ ประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เพื่อให้เข้าตามลักษณะบังคับของคำประพันธ์ชนิดนั้น ๆ 3. เพื่อให้อ่านเขียนได้ถูกต้อง คือ อ่านต่อเนื่องกัน และเขียนได้ถูกต้องตามหลักคำสมาสที่อ่านและออกเสียงสระอะโดยไม่ต้องประวิสรรชนีย์
4330
9611
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4330
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้คำ/คำสนธิ
คำสนธิ คือ การเชื่อมคำเข้าด้วยกัน โดยนำคำบาลีและสันสกฤตตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาเชื่อมต่อกันเป็นคำเดียวกัน เสียงสุดท้ายของคำหน้ารับเสียงหน้าของคำหลัง โดยมีการเปลี่ยนแปลงพยัญชนะ สระ และนิคหิตที่มาเชื่อม เพื่อการกลมกลืนเสียงให้เป็นธรรมชาติของการออกเสียง และทำให้คำเหล่านั้นมีเสียงสั้นเข้า เช่น คำสมาสที่มีการเปลี่ยนแปลงเสียงขณะเมื่อนำ ๒ คำมารวมเป็นคำเดียวกัน เรียกว่า คำสมาสที่มีการสนธิ ๑. เกิดจากคำมูลตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไป ๒. ต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น ๓. มีการเชื่อมคำโดยเปลี่ยนแปลงสระ พยัญชนะ หรือนิคหิต ของคำเดิม ๔. มักเรียงคำหลักไว้่หลังคำขยาย ดังนั้นในการแปลความหมายจะแปลจากหลังไปหน้า ชนิดของการสนธิ. การสนธิ แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด ตามลักษณะการเปลี่ยนแปลงอักษร คือ สระสนธิ พยัญชนะสนธิ และนิคหิตสนธิ สระสนธิ. สระสนธิ เป็นการนำคำที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อสนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ เพื่อให้เสียงสระ ๒ เสียง ได้กลมกลืนเป็นเสียงเดียวกัน แบ่งออกเป็น ๓ วิธี ได้แก่ ๑. อะ อา สนธิกับ อะ อา ได้เป็น อะ หรือ อา เช่น ๒. อะ อา สนธิกับ อิ อี ได้เป็น อิ อี หรือ เอ เช่น ๓. อะ อา สนธิกับ อุ อู ได้เป็น อุ อู หรือ โอ เช่น ๔. อะ อา สนธิกับ เอ ไอ โอ เอา ได้เป็น เอ โอ ไอ หรือ เอา เช่น ๕. อิ อี สนธิกับ อิ อี ได้เป็น อิ อี หรือ เอ เช่น ๖. อิ อี สนธิกับสระอื่นที่ไม่ใช่ อิ อี ด้วยกัน ต้องแปลง อิ อี เป็น ย ก่อน แล้วจึงสนธิกับสระหลัง และถ้าคำหน้ามีพยัญชนะตัวตามซ้อนกัน ก็ให้ลบตัวหน้าทิ้งหนึ่งตัวด้วย เช่น ๗. อุ อู สนธิกับ อุ อู ได้เป็น อุ อู หรือ โอ เช่น ๘. อุ อู สนธิกับสระอื่นที่ไม่ใช่ อุ อู ด้วยกัน ต้องแปลง อุ อู เป็น ว ก่อน แล้วจึงสนธิกับสระหลัง เช่น พยัญชนะสนธิ. พยัญชนะสนธิ เป็นการเชื่อมคำระหว่างพยัญชนะกับพยัญชนะ โดยมีการเปลี่ยนแปลงพยัญชนะคำเดิมก่อนนำมาสนธิ ซึ่งเป็นวิธีการรวมคำในภาษาบาลีสันสกฤต ไทยรับมาใช้เพียงไม่กี่คำ เช่น นิคหิตสนธิ. นิคหิตสนธิ เป็นการนำคำที่ลงท้ายด้วยนิคหิตไปสนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ หรือสระก็ได้ มีหลักเกณฑ์ ดังนี้ ๑. นิคหิต สนธิกับ สระ แปลงนิคหิตเป็น ม เช่น ๒. นิคหิต สนธิกับ พยัญชนะวรรค แปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคนั้น ๆ เช่น ๓. นิคหิต สนธิกับ เศษวรรค (ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ) แปลงนิคหิตเป็น ง (บาลี: งฺ) เช่น ๑. ได้รูปศัพท์ใหม่ที่เด่นด้วยความหมาย และได้รูปคำที่มีความสละสลวย ๒. เป็นประโยชน์ในการแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ และร่าย
4331
56046
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4331
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้คำ/คำต่างประเทศ
นอกจากภาษาบาลีสันสกฤตแล้ว ยังมีภาษาต่างประเทศอีกหลายภาษาที่นำมาใช้ในภาษาไทย เช่น ภาษาที่มาจากประเทศทางทวีปยุโรป มีการนำมาใช้ในภาษาไทยได้หลายวิธี ดังนี้ ในการใช้คำภาษาต่างประเทศเหล่านี้ ถ้าต้องการใช้ในภาษาทางการ ควรใช้คำภาษาไทยที่แทนได้เขียนแทน ยกเว้นคำที่ยังหาคำในภาษาไทยแทนไม่ได้ ให้ใช้คำจากภาษาเดิม
4332
1703
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4332
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/ประโยค/วลี
วลี คือ ข้อความที่อ่านแล้วไม่ได้ใจความสมบูรณ์ ตัวอย่างวลีเช่น กางเกงตัวใหญ่ ขี้เกียจเดินทาง รักการอ่าน ปลาทองตัวใหญ่ ตัวอย่างของวลีเมื่อเปรียบเทียบกับประโยคมีดังนี้ กางเกงตัวใหญ่ เป็น วลี ฉันชอบใส่กางเกงตัวใหญ่ เป็น ประโยค
4334
5255
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4334
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/ประโยค/กลุ่มคำ
กลุ่มคำ คือ ส่วนของประโยคที่ประกอบด้วยคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาต่อกัน และมีความหมายต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เนื้อความยังไม่สมบูรณ์ โดยหน้าที่ของกลุ่มคำนั้นจะเหมือนคำ คืออาจเป็นได้ทั้งประธาน กริยา กรรม หรือคำวิเศษณ์ ตัวอย่างเช่น: รู้จักมักจี่ สมเพชเวทนา กระดิกกระเดี้ย ตกยาก ส่วนเกิน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
4335
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4335
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/ประโยค/ประโยค
ประโยค คือ การเดินทางให้ความรู้แก่เราทางอ้อม ส่วนประกอบของประโยค. ประโยคประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ ภาคประธานและภาคแสดง ภาคประธาน ประกอบด้วย ประธานและคำขยายประธาน ภาคแสดง ประกอบด้วย กริยาและคำขยายกริยา นอกจากนี้ อาจมีกรรมและคำขยายกรรมด้วย การสร้างประโยคอาจให้ภาคประธานหรือภาคแสดงขึ้นต้นประโยคก็ได้ สมชายชอบหลับในเวลาเรียน สุนัขของสมปองไล่กัดแมวอย่างดุร้าย วิ่งเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งรีบดื่มน้ำ เดินจนเมื่อยขา เธอก็ยังไม่บ่น ชนิดของประโยค. ชนิดของประโยคแบ่งตามลักษณะโครงสร้างของประโยค. ประโยคความเดียว. ประโยคความเดียว หรือ เอกรรถประโยค คือประโยคที่มีใจความสำคัญอยู่เพียงอย่างเดียว นั่นคือประกอบด้วยภาคแสดงหนึ่งส่วนและภาคกริยาหนึ่งส่วน ตัวอย่างของประโยคความเดียวเช่น... สุนัขกัดไก่ เขาเล่นฟุตบอล __สรุป:ประโยคความเดียว ประธานเดียว กริยาเดียวจ้า...__ ประโยคความรวม. ประโยคความรวม หรือ อเนกรรถประโยค คือประโยคที่มีใจความสำคัญอยู่ตั้งแต่สองใจความขึ้นไป นั่นคือประกอบด้วยภาคแสดงหรือภาคกริยาที่มีมากกว่าหนึ่งส่วน โดยทุกประโยคย่อยมีน้ำหนักใจความสำคัญที่เท่าเทียมกัน ประโยคความรวมยังอาจแบ่งย่อยได้ตามลักษณะเนื้อความได้เป็น 4 ประเภทคือ ประโยคความซ้อน. ประโยคความซ้อน หรือ สังกรประโยค คือ ประโยคที่มีใจความสำคัญอยู่ที่ประโยคหลักส่วนหนึ่ง แต่ก็มีใจความย่อยมาเสริมด้วย ประโยคความซ้อนมีลักษณะคล้ายกับประโยคความรวมคือประกอบด้วยประโยคความเดียวตั้งแต่สองประโยคขึ้นไป แต่ใจความสำคัญของประโยคย่อยในประโยคความซ้อนไม่เท่ากัน ประโยคที่มีใจความสำคัญหลักเรียกว่าประโยคหลัก หรือ มุขยประโยค และเรียกประโยคที่เสริมใจความประโยคหลักว่าประโยคย่อย หรือ อนุประโยค อนุประโยคในประโยคความซ้อนสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทตามหน้าที่ของอนุประโยคนั้นๆ ในรูปประโยค
4336
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4336
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้เครื่องหมาย/การประวิสรรชนีย์
คำที่ประวิสรรชนีย์. คำที่ออกเสียง อะ ที่ต้องประวิสรรชนีย์ (ะ) มีดังนี้ หมากม่วง - มะม่วง ต้นเคียน - ตะเคียน เฌอเอม - ชะเอม ตัวขาบ - ตะขาบ สายดือ - สะดือ สะคราญ - สระคราญ ชะลอ - ชระลอ ชะง่อน - ชระง่อน คึกคึก - คะคึก รื่นรื่น - ระรื่น แจ้วแจ้ว - จะแจ้ว คำที่ไม่ประวิสรรชนีย์. คำที่ออกเสียง อะ ที่ไม่ต้องประวิสรรชนีย์ (ะ) มีดังนี้ ขนม อ่านว่า ขะ - หนม ฉลอง อ่านว่า ฉะ - หลอง สวาท อ่านว่า สะ - หวาด จักจั่น อ่านว่า จัก - กะ - จั่น สัปดน อ่านว่า สับ - ปะ - ดน ตุ๊กตา อ่านว่า ตุ๊ก - กะ - ตา ชอุ่ม มาจาก ชะอุ่ม ชไม มาจาก ชะไม ชอ่ำ มาจาก ชะอ่ำ
4339
170
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4339
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้เครื่องหมาย/การใช้ อัย ไอย
คำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต ที่แต่เดิมเขียนว่า อย อ่านว่า อะ - ยะ เช่นคำว่า อนามย - อนามัย ภย - ภัย ปราศย - ปราศรัย คำที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤต จากคำเดิมเป็น เอฺยย เมื่อนำมาใช้ในคำไทยเป็น ไอย เช่น อธิปเตยฺย - อธิปไตย เวเนยฺย - เวไนย
4341
170
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4341
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้เครื่องหมาย/การใช้ไม้ไต่คู้
ไม้ไต่คู้ (-็) เขียนไว้บนพยัญชนะที่ประสมกับสระเสียงสั้นที่มีรูปสระอะ คือ เ-ะ, แ-ะ, เ-าะ เมื่อมีตัวสะกดจะเปลี่ยนรูปสระอะเป็นไม้ไต่คู้ เช่น เป็น แข็ง ล็อก
4342
170
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4342
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้เครื่องหมาย/การใช้ไม้ทัณฑฆาต
ไม้ทัณฑฆาต (-์) คือ เครื่องหมายที่เขียนไว้เหนือพยัญชนะเพื่อไม่ต้องออกเสียงพยัญชนะตัวนั้น โดยเฉพาะคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ เพราะคำในภาษาต่างประเทศนั้นมีหลายพยางค์ ยากแก่การออกเสียงพยัญชนะ ตัวที่เขียนเครื่องหมายทัณฑฆาตกำกับไว้นั้นเรียกว่า ตัวการันต์ มีวิธีใช้ดังนี้
4343
170
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4343
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้เครื่องหมาย/การใช้ ร หัน
คำที่มี ร หัน (รร) ถ้าเป็นคำที่ไม่มีตัวสะกด จะอ่านออกเสียงเหมือนมีไม้หันอากาศ (-ั) และมี น สะกด เช่น สรร อ่านว่า สัน บรรดา อ่านว่า บัน - ดา แต่ถ้ามีตัวสะกดก็อ่านออกเสียงเหมือนมีไม้หันอากาศ (-ั) และมีเสียงพยัญชนะสะกด เช่น ธรรม อ่านว่า ทำ สรรพ อ่านว่า สับ
4344
170
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4344
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้เครื่องหมาย/การใช้ บัน บรร
เพื่อให้จำคำที่ใช้ บัน และ บรร ได้ง่ายขึ้น ควรท่องจำบทร้อยกรองต่อไปนี้ การใช้บัน"บันดาลลงบันได บันทึกให้ดูจงดี รื่นเริงบันเทิงมี บันลือลั่นสนั่นดัง บันโดยบังโหยให้ บันเหินไปจากรวงรัง บันทึงถึงความหลัง บันเดินนั่งนอนบันดล บันกวดเอาลวดรัด บันจวบจัดตกแต่งตน คำบันนั้นฉงน ระวังปนกับ ร หัน" คำที่นอกเหนือจากนี้จะใช้คำว่า บรร เช่น บรรจง บรรจบ บรรจุ บรรดา บรรทัด บรรทุก บรรเทา บรรพต บรรยาย
4345
12341
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4345
ภาษาไทย/ไวยากรณ์/การใช้เครื่องหมาย/การใช้เครื่องหมายวรรคตอน
ศิรวิทย์-แร่ อินทร์ ไข่ปลา. ไข่ปลา หรือ จุดไข่ปลา (...) จุลภาค. จุลภาค "๑,๐๐๐,๐๐๐" "กรมวิชาการ, กรมศาสนา, ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ" "ในหนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน ได้แก่ วันจันทร์, วันอังคาร, วันพุธ, วันพฤหัสบดี, วันศุกร์, วันเสาร์ และวันอาทิตย์" "วิโรจน์ ว. สว่าง, แจ่มใส, รุ่งเรือง" ทวิภาค. ทวิภาค (:) "๑:๑๐,๐๐๐" "การหุงข้าวกล้องต้องใช้ข้าวและน้ำในอัตราส่วน ๑:๔" "การผสมดินปลูกต้องใช้ ทราย ขี้เถ้าแกลบ ดินร่วนร่อนละเอียด และปุ๋ยคอกในสัดส่วน ๑:๑:๑:๒" "๕:๑๐ = ๑:๒" "นิ. ลอนดอน: นิราศลอนดอน แบบเรียนกวีนิพนธ์" "พืชสวนครัวที่ปลูกไว้มีหลายชนิด ดังนี้: กะเพรา โหระพา พริกขี้หนู ตะไคร้ และตำลึง" ๑๓:๓๐ น. ๑๖:๓๗:๒๓ ทับ. ทับ (/) "บ้านเลขที่ ๘๐๐/๔๓" "การประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๔๑" "๑๐/๑/๒๕๕๒" "ตรอก/ซอย" "อำเภอ/เขต" "กิโลเมตร/ชั่วโมง" "ไมล์/ชั่วโมง" นขลิขิต. นขลิขิตหรือวงเล็บ "ตาของเธอสวยเหมือนตาเนื้อทราย (เนื้อทรายเป็นชื่อสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีนัยน์ตาสวยมาก)" "กรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปัจจุบัน)" ปรัศนี. ปรัศนี (?) คุณต้องการศึกษาที่แห่งใด? ไปยาลน้อย. ไปยาลน้อย (ฯ) "กรุงเทพฯ" อ่านว่า กรุงเทพมหานคร และ "ข้าฯ" อ่านว่า ข้าพเจ้า ไปยาลใหญ่. ไปยาลใหญ่ (ฯลฯ) "เครื่องครัวมี กระทะ ตะหลิว จาน ช้อน ฯลฯ" เมื่ออ่านถึง ฯลฯ ต้องอ่านว่า ละ หรือ และอื่น ๆ มหัพภาค. มหัพภาค (.) ประโยชน์ของอักษรย่อคือ ช่วยให้เขียนได้สั้นลง และที่สำคัญเพื่อความรวดเร็วเมื่อมีระยะเวลาอันจำกัดในการเขียน การย่อจะใช้พยัญชนะต้นของแต่ละพยางค์เป็นตัวย่อ แต่เวลาอ่านอักษรย่อต้องอ่านคำเต็ม "กม." อ่านว่า กิโลเมตร "พ.ศ." อ่านว่า พุทธศักราช "อสมท." อ่านว่า องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย "ค.ร.ม." อ่านว่า คณะรัฐมนตรี "ธ.ค." อ่านว่า ธันวาคม "ด.ญ." อ่านว่า เด็กหญิง "นม." อ่านว่า นครราชสีมา "๑๐.๓๐ น." "๐๕.๔๔ น." "๕.๔๔ น." "๕๐.๕๐ บาท" "๑.๒ กิโลเมตร" "๒.๓๓๓..." "a.b = a × b" ไม้ยมก. ไม้ยมก (ๆ) มีวิธีใช้ดังนี้ "เมื่อเด็ก ๆ เขาอ้วนมาก" (อ่านว่า เมื่อเด็กเด็ก) "เธอเดินไป ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย" (อ่านว่า เดินไป เดินไป) "จะทำอย่างไรดี ๆ" (อ่านว่า จะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี) ข้อยกเว้น. ไม่ใช้ไม้ยมกในกรณีต่อไปนี้ "สถานที่ที่ฉันอยากไปเที่ยวคือเมืองโบราณ" [ที่คำที่ ๒ ทำหน้าที่เป็นประพันธสรรพนาม] "ทุเรียนขายเป็นกิโลกิโลละ ๘๕ บาท" [กิโลคำที่ ๒ ทำหน้าที่เป็นประธาน] "เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง นกบินเฉียงไปทั้งหมู่" "เขาพูดกันไปต่าง ๆ นานา" "เห็นกันจะจะว่าเขาทำอย่างนั้น" ยัติภังค์. ยัติภังค์ (-) "กตเวทิตา อ่านว่า กะ - ตะ - เว - ทิ - ตา" "ทิวา - ราตรี" "กามนิต - วิสิฏฐี" "กรุงเทพฯ-เชียงใหม่" "๑๐:๐๐ - ๑๔:๐๐ น." "ถิ่น-อีสาน" หมายความว่า เป็นภาษาถิ่นที่ใช้ในภาคอีสาน "หมายเลขโทรศัพท์ ๒๔๘-๖๒๘๐" "ร-า-ษ-ฎ-ร" "{a, b, c, d, e}" "{๑๕ + ๕ + [๒๑ - ๘(๓ - ๑)]}" วงเล็บเหลี่ยม. วงเล็บเหลี่ยม [] สัญประกาศ. สัญประกาศ (_____) "วันขึ้นปีใหม่ของไทยตรงกับวันที่ ๑ มกราคมของทุกปี" "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" อัญประกาศ. อัญประกาศ (" ") เป็นเครื่องหมายที่ใช้คร่อมตัวอักษร คำ กลุ่มคำ หรือข้อความที่มีลักษณะพิเศษหรือเป็นส่วนของคำพูด มีวิธีใช้ดังนี้ "สาวแรกรุ่นเปรียบเสมือน "ดอกไม้แรกแย้ม"" "เขาบอกฉันว่า "พรุ่งนี้เขาจะไปชะอำ"" "เราไม่ควรเชื่อใครง่าย ๆ ดังที่สุนทรภู่เคยกล่าวไว้ในเรื่องพระอภัยมณีว่า "แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"" อัญประกาศเดี่ยว. อัญประกาศเดี่ยว (' ') ทนายของจำเลยแย้งขึ้นมาว่า "เมื่อสักครู่พยาน พูดว่า 'ผมได้ยินเสียงไม่ค่อยชัด' จึงขอเลื่อนเวลาเพื่อตรวจสอบให้แน่ชัด " อัฒภาค. อัฒภาค (;) "๑,๓๓๕; ๕๔๑; ๓๕,๙๘๔" "จร ก. ดู; ไป, เกี่ยวไป; ประพฤติ" อัศเจรีย์. อัศเจรีย์ (!) โดยทั่วไปใช้เป็นเครื่องหมายที่ใช้เขียนไว้ข้างหลังคำหรือกลุ่มคำที่แสดงอารมณ์และความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ รับรู้ ประหลาดใจ พอใจ หรืออื่น ๆ มีวิธีใช้ดังนี้ "โอ๊ย! เจ็บจังเลย" "เฮ้อ! โล่งอกไปที" "โถ! น่าสงสารจัง" "ระวัง! คนข้ามถนน" "อันตราย! ไฟฟ้าแรงสูง" "เปรี้ยง!" "โครม!" "๕!" (อ่านว่า แฟกทอเรียลห้า) "= ๕ x ๔ x ๓ x ๒ x ๑"
4351
49213
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4351
ปิดทอง
การปิดทองคำเปลวสมัยโบราณอาจจะดูยุ่งยาก แต่ในยุคสมัยใหม่งานปิดทองคำเปลวกลับทำได้ง่ายดาย และสามารถประยุกต์เป็นอาชีพเสริมหาเลี้ยงครอบครัวได้ด้วย โดยเฉพาะคนที่กำลังมองหางานทำอยู่ เนื่องจากเป็นอาชีพที่ใครๆก็ทำได้ ไม่ต้องจบศิลปะมาเพียงแค่คุณมีความตั้งใจจริง เอาใจใส่เพื่อให้งานออกมาดูดี และสวยงามเป็นที่พอใจของลูกค้าก็เพียงพอแล้ว
4360
3075
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4360
รูปห้าเหลี่ยม
การสร้างรูปห้าเหลี่ยมปรกติ. ยุคลิดได้อธิบายการสร้างรูปห้าเหลี่ยมปรกติ โดยใช้ไม้บรรทัดและวงเวียน ไว้ในหนังสือ "Elements" ตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช คาร์ล ฟรีดริช เกาส์ได้สร้างทฤษฎีเพื่อพิสูจน์เกี่ยวกับรูปหลายเหลี่ยม
4432
5255
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4432
เดอะซิมส์ 2 ทริปซ่าส์
เป็นภาคเสริมของเดอะซิม 2 ในทริปซ่านี้ซิมของคุณสามารถไปพักร้อนได้ตามท่ีต่างๆ<table class="navbox " cellspacing="0" style="background:#f0f8ff;"><tr><td style="padding:2px;"><table cellspacing="0" class="nowraplinks collapsible " style="width:100%;background:transparent;color:inherit;;"><tr><th style=";background:#6495ed" colspan=3 class="navbox-title">ด • อ • [ก]  ชุดเกมของเดอะซิมส์ </th></tr><tr style="height:2px;"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> สร้างชีวิต ลิขิตฝัน · ปาร์ตี้สุขสันต์ บ้านหรรษา · วัยวุ่นลุ้นรัก · วัยรักพักร้อน · สัตว์เลี้ยงแสนรู้ · ซูเปอร์สตาร์ · คาถามหาสนุก </td><td style="width:0%;padding:0px 0px 0px 2px;" rowspan=11> </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2 </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> มหาลัยวัยฝัน · คืนหรรษา · เปิดธุรกิจ เนรมิตฝัน · ตัวโปรดจอมป่วน · สี่ฤดูแสบ · ทริปซ่าส์ · สนุกจังยามว่าง </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">ชุดไอเทมเสริม</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> สีสันวันหยุด · บ้านแฟนตาซี · ฮัลโหลไฮโซ · ฟู่ฟ่าปาร์ตี้ · H&M แฟชันนิสต้า · เก๋ เท่ เซอร์ · ดีไซน์ห้องครัวแต่งตัวห้องน้ำ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">เดอะซิมส์ สตอรี่ส์</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> ไลฟ์สตอรี่ · หมาเหมียวสตอรี่ · โดดเดี่ยวสตอรี่ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">เดอะซิมส์ 3</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> เดอะซิมส์ 3 </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">ดูเพิ่ม</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> แมกซิส · ชาวซิมส์ · เดอะซิมส์ฉบับภาพยนตร์ · เดอะซิมส์ ออนไลน์ · อิเล็กทรอนิกส์ อาร์ต · เดอะซิมส์ 2 บอดี้ช็อป [ แก้ไข] </td></tr></table></td></tr></table>
4433
5255
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4433
เดอะซิมส์ หมาเหมียวสตอรี่
เกมนี้มีพื้นฐานมาจากเดอะซิมส์ 2 ตัวโปรดจอมป่วน ซึ่งเป็นภาคเสริมที่ขายดีที่สุดของเกมเดอะซิมส์ โดยเกมเดอะซิมส์ หมาเหมียวสตอรี่เป็นเกมที่สองในสายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เรียกว่าเดอะซิมส์ สตอรี่ ให้คุณได้ฝึก, ได้เล่น, และได้ดูแลสุนัขและแมวของซิมส์ของคุณให้มีความสุขอยู่เสมอ พบกับเหตุการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อมากมายในเกมเดอะซิมส์เวอร์ชันนี้ที่เล่นง่ายและเป็นมิตรกับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก เลือกเล่นเนื้อเรื่องที่แตกต่างกันสองเรื่องในโหมดเนื้อเรื่อง โดยต้องพบกับความท้าทายมากมายขณะที่คุณส่งสัตว์เลี้ยงเข้าประกวดประจำท้องถิ่นและเรียนรู้ว่าแม้แต่สัตว์เลี้ยงก็มีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ทำเป้าหมายของซิมส์และสัตว์เลี้ยงของคุณให้สำเร็จเพื่อปลดล็อครางวัลต่างๆ จากนั้นให้ลองเล่นโหมดการเล่นอิสระที่ให้คุณได้สร้างซิมส์และสัตว์เลี้ยงของพวกเขา, ออกแบบบ้าน, และสอนลูกเล่นต่างๆ ให้สัตว์เลี้ยงของคุณ คุณเป็นผู้ตัดสินเรื่องราวความเป็นไปของพวกเขา เรื่องราวที่แตกต่างกันสองเรื่องในโหมดเนื้อเรื่อง เล่นเป็นอลิซ ที่ต้องการชนะในการประกวดสุนัขประจำท้องถิ่น (และรับรางวัลเงินสดก้อนโต) ด้วยสุนัขแสนรักของเธอที่ชื่อว่าแซมเพื่อไม่ให้บ้านถูกยึด หรือติดตามเรื่องราวของสตีเฟ่นเชฟฝีมือเลิศที่มีชีวิตเป็นระเบียบแบบแผนต้องถึงคราวโกลาหลเมื่อเขาถูกบังคับให้เลี้ยงดูแมวของญาติที่แสนจะซุกซน ชื่อว่าดิว่า ใหม่! งานประกวดสัตว์เลี้ยง ซิมส์ของคุณสามารถฝึกสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเพื่อโอ้อวดความสามารถและได้รับรางวัลโดยให้พวกเขาลุยผ่านสนามวิบากโดยต้องเดินบนกระดานหก, วิ่งลอดอุโมงค์, และกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง โหมดการเล่นอิสระ คุณเป็นผู้สร้างซิมส์ของคุณและสัตว์เลี้ยงของพวกเขา (เลือกจากพันธุ์สุนัข 70 ชนิด และพันธุ์แมว 30 ชนิด) จากนั้นจงเติมเต็มหรือดับความปรารถนาของพวกเขา และสร้างเรื่องราวของพวกเขาขึ้นมา การเล่นบนเครื่องโน๊ตบุ๊กไม่เคยง่ายขนาดนี้ ด้วยคีย์ลัดและระบบ auto-pause ที่จะเริ่มหรือหยุดเกมค้างไว้ให้คุณโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเปิดหรือปิดเครื่องโน๊ตบุ๊กของคุณ สร้างสรรค์จินตนาการพร้อมๆ กับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต คุยสามารถติดต่อกับเพื่อนได้โดยง่ายไม่ว่าทางโปรแกรมแช็ตหรืออีเมลของคุณ พร้อมๆ กับเล่นเกมนี้ไปด้วยในหน้าต่างของมันเอง เป็นหนึ่งเกมในสายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่แสนสนุก เกมชุดเดอะซิมส์ สตอรี่ ยังรวมไปถึงเกมเดอะซิมส์ ไลฟ์สตอรี่ และเกมเดอะซิมส์ แคสอเวย์สตอรี่ที่กำลังออกตามมาเร็วๆ นี้! <table class="navbox " cellspacing="0" style="background:#f0f8ff;"><tr><td style="padding:2px;"><table cellspacing="0" class="nowraplinks collapsible " style="width:100%;background:transparent;color:inherit;;"><tr><th style=";background:#6495ed" colspan=3 class="navbox-title">ด • อ • [ก]  ชุดเกมของเดอะซิมส์ </th></tr><tr style="height:2px;"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> สร้างชีวิต ลิขิตฝัน · ปาร์ตี้สุขสันต์ บ้านหรรษา · วัยวุ่นลุ้นรัก · วัยรักพักร้อน · สัตว์เลี้ยงแสนรู้ · ซูเปอร์สตาร์ · คาถามหาสนุก </td><td style="width:0%;padding:0px 0px 0px 2px;" rowspan=11> </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2 </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> มหาลัยวัยฝัน · คืนหรรษา · เปิดธุรกิจ เนรมิตฝัน · ตัวโปรดจอมป่วน · สี่ฤดูแสบ · ทริปซ่าส์ · สนุกจังยามว่าง </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">ชุดไอเทมเสริม</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> สีสันวันหยุด · บ้านแฟนตาซี · ฮัลโหลไฮโซ · ฟู่ฟ่าปาร์ตี้ · H&M แฟชันนิสต้า · เก๋ เท่ เซอร์ · ดีไซน์ห้องครัวแต่งตัวห้องน้ำ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">เดอะซิมส์ สตอรี่ส์</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> ไลฟ์สตอรี่ · หมาเหมียวสตอรี่ · โดดเดี่ยวสตอรี่ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">เดอะซิมส์ 3</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> เดอะซิมส์ 3 </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">ดูเพิ่ม</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> แมกซิส · ชาวซิมส์ · เดอะซิมส์ฉบับภาพยนตร์ · เดอะซิมส์ ออนไลน์ · อิเล็กทรอนิกส์ อาร์ต · เดอะซิมส์ 2 บอดี้ช็อป [ แก้ไข] </td></tr></table></td></tr></table>
4471
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4471
ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า/อนุกลวงจรแบบเก็บพลังงาน/ตัวเก็บประจุ
ตัวเก็บประจุ (Capacitor) คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มี 2 ขั้ว ภายในประกอบด้วยแผ่นตัวนำ 2 แผ่น วางห่างกัน โดยมีวัตถุที่เป็นฉนวนกั้นกลาง ส่วนที่เป็นฉนวนเรียกว่า ไดอิเล็กตริก (Dielectric) ซึ่งสิ่งที่นิยมนำมาใช้เป็นไดอิเล็กตริก ในตัวเก็บประจุ เช่น กระดาษ น้ำมัน อากาศ ไมก้า หรือพลาสติก เป็นต้น
4472
8323
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4472
ปาปารัสซี่ บนมุมมองของนักกฎหมาย
ปาปารัสซี่ (Paparazzi) คือ การใช้คำเรียกแทนช่างภาพ ซึ่งผู้ถ่ายรูปจะเปิดเผยรูปนักแสดงเพื่อให้เห็นความจริงของดารา ในขณะที่ผู้ถูกถ่ายไม่รู้ตัว คนเหล่านี้ต้องการเปิดเผยรูปในส่วนที่ลึกกว่ารูปปกติ แต่อย่างไรก็ตามการกระทำของปาปารัสซี่ (Paparazzi) คือการแอบถ่าย (STALKER) หรือพวกแอบสุ่มถ้ำมอง แอบติดตามโดยที่คนที่ถูกติดตามหรือเป้าหมายนั้นไม่รู้ตัว ข้อกฎหมายกับการกระทำของปาปารัสซี่. ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีกติกาสากลระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR : International Covenant on Civil and Political Rights) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539 (ICCPR ได้รับการรับรองจากสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2519) และมีผลใช้บังคับ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2540 โดยมีสาระสำคัญในส่วนของการใช้ Internet ดังนี้ หลังจากที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีกติกาดังกล่าวแล้ว ไทยได้อนุวัติการ (หมายถึง การที่ประเทศไทยรับเอากฎหมายระหว่างประเทศมาเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายไทย) กติกาสากลระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR : International Covenant on Civil and Political Rights) ไว้ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ไว้ในมาตราดังนี้ ถึงแม้ว่าปาปารัสซี่ จะเป็นสื่อมวลชนที่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นใด และ บุคคลผู้ที่ถูกแอบเก็บภาพ อาธิเช่น ดารา จะเป็นบุคคลสาธารณะก็ตาม ปาปารัสซี่ต้องเคารพความเป้นส่วนตัวของบุคนนั้นด้วย กรณีนำไปเผยแพร่บนสื่อ สิ่งพิมพ์ต่างๆหรือบนสถานที่ต่างๆ ซึ่งมิใช่เป็นการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์. ในลักษณะนี้แป็นการเผยเพร่บนสื่อ สิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น นิตยสาร (Magazine) หนังสือพิมพ์ เป็นต้น หรือบนสถานที่ต่างๆ ซึ่งมิใช่เป็นการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ แล้วการเผยแพร่นั้นทำให้บุคคลผู้ที่ถูกเหล่าปาปารัสซี แอบเก็บภาพ (เหยื่อ หรือ เป้าหมาย) ได้รับ’’’ความเสียหาย’’’ ความผิดทางประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. ซึ่ง’’’มาตรา 420’’’ บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ซึ่ง ‘’’มาตรา 423’’’ บัญญัติว่า “ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงเป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่การนั้นแม้ทั้งเมื่อ ตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้ ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้น หาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่” ซึ่ง ‘’’มาตรา 447’’’ บัญญัติว่า “บุคคลใดทำให้เขาต้องเสียหายแก่ชื่อเสียง เมื่อผู้ ต้องเสียหายร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นจัดการตามควรเพื่อทำให้ ชื่อเสียงของผู้นั้นกลับคืนดีแทนให้ใช้ค่าเสียหายหรือทั้งให้ใช้ค่า เสียหายด้วยก็ได้” ความผิดทางประมวลกฎหมายอาญา. ซึ่ง ‘’’มาตรา 326’’’ บัญญัติว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” และถ้าหากได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด แผ่นแสง แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกแสง บันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายแสง หรือการกระจายเสียง การกระจายภาพ หรือการกระจายอักษร หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น นั้นทำให้ต้องได้รับโทษสูงขึ้น ตามมาตรา 328 ซึ่ง ‘’’มาตรา 328’’’ บัญญัติว่า “ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ แผ่นแสง แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกแสง บันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายแสง การกระจายเสียง การกระจายภาพ หรือการกระจายอักษร หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท” การแสดงความคิดเห็นที่จะไม่ให้’’’ตกเป็นผู้ต้องหาในข้อหา หมิ่นประมาท’’’ นั้นสามารถแสดงออกได้ดังนี้ ซึ่ง บัญญัติไว้ใน‘’’มาตรา 326’’’ ว่า “ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต (1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม (2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ (3) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ (4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท” และหากว่าพิสูจน์ได้ว่าเรื่องที่ตนหมิ่นประมาทนั้นเป็นเรื่องจริงก็’’’ไม่มีความผิด’’’เช่นกัน แต่หากว่าเป็นเรื่องส่วนตัวและหากพิสูน์ไปแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน ทางกฎหมายก็ไม่ให้พิสูจน์ ซึ่ง บัญญัติไว้ใน‘’’มาตรา 330’’’ ว่า “ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน” ซึ่ง ‘’’มาตรา 287’’’ บัญญัติว่า “ผู้ใด (๑) เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่ายภาพยนตร์ แถบบันทึกแสง แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ แถบบันทึกอักษรหรือสิ่งอื่นใดอันลามก (๒) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับวัตถุหรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชน หรือให้เช่าวัตถุหรือสิ่งของเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ” กรณีนำไปเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต (Internet) เข้าลักษณะเป็นการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ผิดกฎหมายแน่นอนฟ้องร้องได้. ในลักษณะนี้แป็นการเผยเพร่บนอินเตอร์เน็ต (Internet) ซึ่งในปัจจุบันการติดต่อ สื่อสาร การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบนอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มในการติดต่อสื่อสารที่มากขึ้นทุกวัน เพราะเป็นช่องทางที่เสนอได้ง่ายและร่วดเร็ว ทำให้มีการเผยแพร่ภาพรวมทั้งข่าวจากบรรดาเหล่าปาปารัสซี ได้รวดเร็วและมากขึ้นและผิดกฎหมายสามารถฟ้องร้องค่าเสียหายได้ ถ้าหากภาพและข่าวนั้นนำเสนอไปในทางที่ขัดต่อความเป็นจริง บรรดาเหล่าปาปารัสซี ที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบนอินเตอร์เน็ตก็มีความผิดทางประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และ ความผิดทางประมวลกฎหมายอาญา ที่กล่าวไว้ข้างต้นอีกด้วย ถ้าหากภาพที่นำเสนอออกไปในทางอินเตอร์เน็ตและภาพนั้นมีลักษณะเป็นภาพที่สื่อไปในทางลามกอนาจานอกจากจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาแล้วยังผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ อีกด้วย ซึ่ง บัญญัติไว้ใน‘’’มาตรา 330’’’ ว่า “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (๔) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้”
4473
6169
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4473
ภาษาเยอรมัน/ไวยากรณ์/ประโยค
สวัสดีตอนเช้า : Guten morgen กูทเท่น มอ เกน สวัสดี (ใช้ตอนกลางวัน) : Guten tag : กูทเท่น ท๊าค สวัสดี (ใช้ตอนเย็นและค่ำ) : Guten abend : กูทเท่น อาเบ่น ราตรีสวัสดิ์ : Gute nacht : กูทเท่อะ น๊าค แล้วค่อยพบกัน : Auf wiedersehen : เอ๊า วีเดอะ เซน ขอบคุณ : Danke : ดังเค่อะ ขอบคุณมาก : Vielen dank : วีเลน ดัง ตกลง : Alles klar : อัลเลส คลา ไม่เป็นไร : Schon gut : เชิน กุ๊ท ใช่/ได้ : ja (หยา) ไม่ใช่/ไม่ได้/เปล่า : nein : นาย์ โปรด/กรุณา : Bitte : บิทเถ่อะ เท่าไร : wie viele? : วีฟีล? นานเท่าไร : wie lange? : วีลั๊ง ขอโทษ : entschuldigung : เอน ชู๊ล ดิ กุง ขอตัวสักประเดี๋ยว : entschuldigen sie mich bitte einen moment ไม่เป็นไร/ด้วยความยินดี : bitte schoen : บิทเถอะ เชิน ขอโทษฉันฟังไม่ทัน : es tut mir leid, dass ich sie nicht erreichen konnte : เอส ทุ๊ส เมีย ไลด์, ดาส อิค ซี นิค คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม : sprechen sie Englisch? : สะเปรเซ่น ซี อิงลิช? สบายดีหรือ : wie geht es ihnen? : วี เกท เอส อีเน้น? ฉันแต่งงานแล้ว : ich bin verheiratet. : อิค บิน แฟ ไฮ รา เถ่ท ฉันโสด : ich bin nicht verheiratet. : อิค บิน นิค แฟ ไฮ รา เถ่ท ขอทราบชื่อคุณได้ไหม : wie heissen sie? : วี ไฮ เซ่น ซี?
4478
52376
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4478
การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์
การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ คือ การกระทำการที่ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมายและเป็นการกระทำผ่านหรือโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ในการกระทำความผิด ซึ่งมีวัตถุประสงค์มุ่งต่อระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลของคอมพิวเตอร์ หรือบุคคล ประเภทของผู้กระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์. Hacker. แฮคเกอร์ (Hacker) นั้นมีความหมายอยู่ 2 แบบ โดยส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงคำคำนี้จะเข้าใจว่า หมายถึง บุคคลที่พยายามที่จะเจาะเข้าระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ในอีกความหมายหนึ่งซึ่งเป็นความหมายดั้งเดิม จะหมายถึง ผู้ใช้ความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แต่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลายหรือในด้านลบ เช่น สำรวจเครือข่ายเพื่อตรวจหาเครื่องแปลกปลอม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามการที่เจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งผิดกฎหมาย Cracker. แคร็คเกอร์ (Cracker) คือบุคคลที่มีความรู้ความชำนาญด้านคอมพิวเตอร์พยายามที่จะเจาะเข้าระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และอาศัยช่องโหว่หรือจุดอ่อนเพื่อทำลายระบบ Script kiddy. สคริปต์คิดดี้ส์ (Script - Kiddies) คือแฮคเกอร์ (Hacker) หรือ แฮคกิง (Hacking) ประเภทหนึ่งมีจำนวนมากประมาณ 95 % ของแฮคกิง (Hacking) ทั้งหมด ซึ่งยังไม่ค่อยมีความชำนาญ ไม่สามารถเขียนโปรแกรมในการเจาะระบบได้เอง อาศัย Download จากอินเทอร์เน็ต Spy. สายลับทางคอมพิวเตอร์ (Spy) คือบุคคลที่ถูกจ้างเพื่อเจาะระบบและขโมยข้อมูล โดยพยายามไม่ให้ผู้ถูกโจมตีรู้ตัว Employee. พนักงาน (Employee) คือ พนักงานภายในองค์กร หรือเป็นบุคคลลภายในระบบที่สามารถเข้าถึงและโจมตีระบบได้ง่าย เพราะอยู่ภายในระบบ 1. แสดงให้เห็นว่าองค์กรมีจุดอ่อน 2. แสดงความสามารถของตัวเองเนื่องจากถูกประเมินค่าต่ำเกินไป หรืออาจเกิดความไม่พอใจในการพิจารณาผลงาน 3. ผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น ถูกจ้างจากคู่แข่ง Terrorist. ผู้ก่อการร้าย (Terroist) คือกลุ่มบุคคลหรือบุคคลที่มีความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวาย ภยันตราย แก่บุคคลอื่น หรือองค์กรต่างๆ รูปแบบของการกระทำความผิด. ที่พบบ่อยๆ ได้แก่ Denial of Service (DOS). Denial of Service (การโจมตีโดยคำสั่งลวง) คือการโจมตีลักษณะหนึ่งที่อาศัยการส่งคำสั่งลวงไปร้องขอการใช้งานจากระบบและการร้องขอในคราวละมากๆเพื่อที่จะทำให้ระบบหยุดการให้บริการ แต่การโจมตีแบบ Denial of Service สามารถถูกตรวจจับได้ง่ายโดย Firewall หรือ IDS และระบบที่มีการ Update อยู่ตลอดมักจะไม่ถูกโจมตีด้วยวิธีนี้ ซึ้งมีบางกรณีก็ตรวจจับได้ยากเนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับการทำงานของ Software จัดการเครือข่าย เนื่องจากสามารถถูกตรวจจับได้ง่ายปัจจุบันการโจมตีในลักษณะนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบการโจมตีไปสู่แบบ Distributed Denial of Service (DDOS) คือการอาศัย คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องโจมตีระบบในเวลาเดียวกัน Decryption. คือ การพยายามให้ได้มาซึ่ง Key เพราะ Algorithm เป็นที่รู้จักกันอยู่แล้ว เพื่อถอดข้อมูลที่มีการเข้ารหัสอยู่ ซึ่งการ Decryption อาจใช้วิธีการตรวจสอบดูข้อมูลเพื่อวิเคราะห์หา Key โดยเฉพาะการใช้ Weak Key ที่จะส่งผลทำให้ได้ข้อมูลที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน ทำให้เดา Key ได้ง่าย ควรใช้ Key ความยาวอย่างน้อย 128 bit หรืออาจใช้หลักทางสถิติมาวิเคราะห์หา Key จากตัวอักษรที่พบ เครื่องมือสำหรับการรักษาความปลอดภัย. ตัวอย่างเครื่องมือที่เป็น Software ที่ใช้รักษาความปลอดภัย ส่วนมากจะเป็น Software ที่ใช้สแกนเพื่อหาจุดอ่อน (Vulnerability Scanning) และประเมินความเสี่ยงของระบบนั้นๆ 1.เป็นการกระทำความผิดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งต่อระบบคอมพิวเตอร์ ตามพระราชบัญญัตินี้ความผิดที่มุ่งตรงต่อระบบคอมพิวเตอร์นั้บแบ่งออกดังนี้ * การกระทำความผิดตาม มาตรา 5 คือ การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันโดยมิชอบการเข้าถึงนั้นไม่จำกัดว่าเข้าถึงในระดับใดทั้งระดับกายภาพ หรือผู้กระทำผิดดำเนินการด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อให้ได้รหัสผ่านนั้นมาและสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นได้โดยนั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเอง และหมายความรวมถึงการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ แม้ตัวบุคคลที่เข้าถึงจะอยู่ห่างโดยระยะทางกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่สามารถเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ตนต้องการได้ นอกจากนั้นยังหมายถึงการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ ดังนั้นจึงอาจหมายถึง การเข้าถึงฮาร์ดแวร์ หรือ9 ส่วนประกอบต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถูกบันทึกเก็บไว้ในระบบเพื่อใช้ในการส่งหรือโอนถึงอีกบุคคลหนึ่ง เช่นข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ส่วนวิธีการเข้าถึงนั้นรวมทุกวิธีการไม่ว่าจะเข้าถึงโดยผ่านทางเครือข่ายสาธารณะ และยังหมายถึงการเข้าถึงโดยผ่านระบบเครือข่ายเดียวกันด้วยก็ได้ นอกจากนี้ยังหมายความรวมถึงการเข้าถึงโดยการติดต่อสื่อสารแบบไร้สาย (wireless communication) อีกด้วย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ * การกระทำความผิดตาม มาตรา 6 คือ การล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะไม่ว่าการรู้ถึงมาตรการป้องกันนั้นจะได้มาโดยชอบหรือไม่ก็ตาม และนำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยเป็นที่จะให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ * การกระทำความผิดตาม มาตรา 10 คือ การขัดขวางการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์จนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 2.เป็นการกระทำความผิดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งต่อข้อมูลของคอมพิวเตอร์ * การกระทำความผิดตาม มาตรา 7 คือ การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีการป้องกันไว้เป็นพิเศษโดยมิชอบ ซึงการเข้าถึง วิธีการเข้าถึง ตลอดถึงชอ่งทางในการเข้าถึงนั้นมีส่วนคล้ายกับความผิดตามมาตรา 5 ดังที่ได้กล่าวไว้ในส่วนต้นแล้ว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ * การกระทำความผิดตาม มาตรา 8 คือ การดักรับข้อมูลที่อยู่ระหว่างการรับการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ * การกระทำความผิดตาม มาตรา 9 คือ การแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติม ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นนการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมทั้งหมดหรือบ่างส่วนก็ตาม และผู้แก้ไขนั้นไม่มีสิทธิแก้ไข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ * การกระทำความผิดตาม มาตรา 11 คือ การส่งข้อมูล หรือ E-mail ให้ผู้อื่น โดยไม่เปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูล โดยทำให้ผู้ที่รับข้อมูลนั้นเกิดความรำคาญ หรือรบกวนผู้อืนนั้นเอง การกระทำนี้ในปัจจุบันเราเรียกการกระทำนี้ว่า Spam Mail ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท 3.เป็นการกระทำความผิดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งต่อบุคคล *การกระทำความผิดตาม มาตรา 12 คือ เป็นลักษณะกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองผู้ที่ถูกการกรบกวนตาม มาตรา 9 หรือ มาตรา 10 โดยมีลักษณะเป็นการเพิ่มโทษ ถ้าเป็นความเสียหายเกิดขึ้นกับบุคคล จะเพิ่มโทษเป็น โทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท และถ้าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ จะเพิ่มโทษเป็นจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท * การกระทำความผิดตาม มาตรา 14 คือ เป็นการนำข้อมูลปลอม หรือข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือข้อมูลที่มีลักษณะเป็นอันลามก เข้าสู่ระบบ แล้วทำให้เกิดความเสียหายความมั่นคงของประเทศหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ * การกระทำความผิดตาม มาตรา 16 คือ การนำภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น เข้าสู่รระบบคอมพิวเตอร์ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่เป็นการนำเข้าโดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด และความผิดตามมาตรานี้ยอมความได้
4481
1703
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4481
โรคเก๊าท์
โรคเก๊าท์ เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการสะสมของผลึกยูเรตตามเนื้อเยื่อต่าง และมีการอักเสบ Definite diagnosis: พบ urate crystal จากน้ำไขข้อหรือปุ่มโทฟัส Crue diagnosis: หลักเกณฑ์การวินิจฉัยอย่างน้อย 6 ใน 12 ข้อ ข้ออักเสบ : บวมแดง, acute > 1 ครั้ง, monoarthritis, ปวดสูงสุดภายใน 1 วัน ตำแหน่ง : metatarsophalangeal joint, tarsal joint, unilateral อื่นๆ : tophus, high serum uric acid, no organism in joint fluid Film : asymetrical joint swelling, subcortical bone cyst การรักษา. loading dose in 1st day, ห้ามให้ aspirin, หากรับประทานไม่ได้พิจารณาใช้ยาฉีด Colchicine (0.6 mg) วันแรก q 4-6 ชั่วโมง , วันต่อมา 1x2 pc x 3-7 days หรือจนกว่าอาการทุเลา Corticosteriod ใช้เมื่อมีข้อห้ามการให้ NSAIDS : GI bleeding, renal failure, polyarthritis และควรให้ร่วมกับ colchicine ข้อพิจารณาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ. การให้ยาลดกรดยูริก Aim: ละลายผลึกยูเรตที่สะสมตามเนื้อเยื่อต่างๆ การรับประทานในกรณีนี้ต้องติดต่ออย่างน้อย 4-5 ปีจึงจะได้ประโยชน์เต็มที่(อย่างสม่ำเสมอ) การให้ยา. แนวทางการใช้ยายับยั้งการสร้างกรดยูริก. ขนาดยา ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเมื่อมีกรณีต่อไปนี้ แหล่งข้อมูลอื่น. <table class="plainlinks noprint messagebox notice" style="width:250px; float:right; clear:right; margin:0px; margin-left:10px;"> <tr style="vertical-align:middle;"><td style="padding:0.1em; text-align:center; vertical-align:middle; width:45px; border:none;"> </td> <td style="color:black; text-align:left; vertical-align:middle; padding:0.5em; padding-left:0em; border:none;"> วิกิพีเดียมีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับตำราที่ #เปลี่ยนทาง </td></tr></table>
4482
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4482
เวชศาสตร์ครอบครัว
เวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) คำจำกัดความ. เวชศาสตร์ครอบครัว คือ สาขาการแพทย์เฉพาะทางแขนงหนึ่งที่รวมความรู้ทางการแพทย์และสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดูแลสุขภาพของครอบครัว ซึ่งเป็นหน่วยเล็กที่สุดของสังคมที่ประกอบด้วยความผูกพัน, ความรัก, การช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ตลอดจนความสัมพันธ์ของบุคคลภายในครอบครัว (มีหลักการเหมือนกันทั่วโลก) เวชศาสตร์ครอบครัวนั้นเกิดขึ้นมาโดยปรัชญาที่อาจแตกต่างจากการแพทย์วิทยาศาสตร์แขนงอื่น ๆ ที่อาจละเลยความเป็นมนุษย์, ศิลธรรมจรรยาของผู้ป่วยและแพทย์ ในช่วงเวลาประมาณ 30 ปีที่แล้ว ได้เกิดการปฏิรูปและปรับปรุงให้มี Family medicine และ Family practice พัฒนาขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของโลก เวชศาสตร์ครอบครัว มิได้เกิดจากบุคคลในวงการแพทย์จัดตั้งขึ้นเอง แต่สาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและปรารถนาของสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนทั่วไปรอคอยอัศวินม้าขาว คือ ระบบทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง, เป็นกันเองและมีความเข้าใจระบบสาธารณสุขเพื่อมาทดแทนการแพย์ที่แตกแขนงมากเกินไป ไม่เป็นกันเอง ซึ่งพบได้ในแพทย์ที่มีจิตใจเป็นเหมือนเครื่องยนต์อันทันสมัย ดังนั้นการแพทย์ในยุคนี้จึงต้องเป็นผลรวมของความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์และสามารถติดตามเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยมีบรรยากาศที่รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์และจิตใจเอื้ออาดูรแก่กัน ถ้าจะมองวงการแพทย์ในปัจจุบันก็จะเห็นว่าแพทย์ในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ มักจะขาดบรรยากาศของความเป็นมนุษย์ ในขณะที่แพทย์ใน Primary care มักขาดความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เวชศาสตร์ครอบครัวจึงเป็นสาขาวิชาที่เสริมจุดอ่อนทั้ง 2 นี้ เวชปฏิบัติครอบครัว (Family Practice) หมายถึงการทำเวชปฏิบัติโดยอาศัยหลักการของเวชศาสตร์ครอบครัวต่อบุคคลและครอบครัว 15% ของปัญหาที่พบในการทำเวชปฏิบัติครอบครัวเป็น ปัญหาที่ไม่อาจจะเลี่ยงความพิการหรือความตายได้ รูปแบบที่แพทย์ครอบครัวจะใช้ในการช่วยเหลือดูแลสุขภาพให้คงอยู่หรือมิให้มีความพิการเพิ่มขึ้นรูปแบบนี้เรียกว่า “Medical Model” ส่วนอีกกว่า 80% ของเวชปฏิบัติครอบครัว มักจะเป็นปัญหาที่หายเองได้, ป้องกันได้ หรือเป็นปัญหา psycho-social การทำเวชปฏิบัติแบบนี้จะต้องอาศัยความสัมพันธ์ของแพทย์และผู้ป่วย เป้าหมายมิใช่เพียงผลการรักษาอย่างเดียว เราต้องคำนึงถึงผลด้านอื่น ๆ ของผู้ป่วยด้วย เช่น ความรู้สึกสบาย, ความพึงพอใจ รูปแบบนี้เรียก “Relation Model” เวชศาสตร์ครอบครัว (Family Medicine) ถูกใช้สับสนกับคำว่าเวชปฏิบัติปฐมภูมิ (Primary care), เวชปฏิบัติทั่วไป (General practice) และเวชปฏิบัติครอบครัว (Family Practice) ความไม่เข้าใจนี้เองที่ทำให้ในหลักสูตรแพทยศาสตร์บางแห่งจึงไม่มีการเรียนการสอนเวชศาสตร์ครอบครัว โดยรายละเอียดอยู่ในตารางข้างล่างนี้: เวชปฏิบัติทั่วไป (General Practitioner) คือ แพทย์ที่ให้บริการดูแลรักษาสุขภาพบุคคลและครอบครัว และทำหน้าที่ประสานกับแพทย์สาขาอื่น ๆ โดยการดูแลสุขภาพจะเป็นแบบ Primary และ continuing comprehensive และดูแลปัญหาสุขภาพทั้งทางภาย, พฤติกรรมและสังคม การอบรม GP ในปัจจุบันเป็นการฝึกอบรมในสาขาเฉพาะทางหลาย ๆ สาขารวมกัน มิได้ให้ความสำคัญของบุคคลและครอบครัวมากนัก ไม่มีการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นครอบครัว เวชศาสตร์ครอบครัวเป็นสาขาวิชาเฉพาะทางหรือไม่. เวชศาสตร์ครอบครัวเป็นสาขาวิชาเฉพาะทางที่ยอมรับกันในหลาย ๆ ประเทศมานานแล้ว และควรจะได้ยอมรับเป็นสากลทั่วโลก โดยทางสมาคมแพทย์ครอบครัว ควรจะผลักดันให้เป็นจริงโดยเจรจากับทางรัฐบาลและโรงเรียนแพทย์ต่าง ๆ เพื่อให้สนับสนุนตามข้อตกลงของ WONCA หลักสำคัญทางเวชศาสตร์/เวชปฏิบัติครอบครัว คืออะไร. ดังที่กล่าวมาแล้ว เวชศาสตร์ครอบครัวเป็นสาขาวิชาแพทย์เฉพาะทางแขนงหนึ่ง มีหลักการเหมือน ๆ กันทั่วโลก มีสมาคมแพทย์ (WONCA - The World organization of Family Doctor) และวารสารของตนเอง (American Family Physicians, และอื่น ๆ) เวชปฏิบัติครอบครัว (Family Practice) เป็นการทำเวชปฏิบัติโดยอาศัยหลักการของ Family Medicine ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามภูมิประเทศ ขนบประเพณี ศาสนา และอื่น ๆ ผู้ที่ทำเวชปฏิบัติครอบครัวไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์ครอบครัว (Family physicians) เท่านั้น จะเป็นแพทย์แขนงอื่นก็ได้ ถ้าปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ : เวชศาสตร์/เวชปฏิบัติครอบครัว ดูแลคนไข้/ประชาชนอย่างไร. แพทย์ครอบครัวจะดูแลผู้ป่วยในฐานะส่วนหนึ่งของครอบครัวและจะดูแลสุขภาพในรูปขององค์รวม (Holistic) ทั้งด้านสุขภาพกาย, สุขภาพจิต และสุขภาพสังคมแวดล้อม และให้บริบาลทั้งด้านการป้องกัน, การรักษาและการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย โดยเริ่มจากตัวผู้ป่วยเป็นจุดเริ่มเพื่อเข้าถึงครอบครัวและอาจไปถึงชุมชนที่ผู้ป่วยอาศัยอยู่ เนื่องจากทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว มักจะมีผลต่อตัวผู้ป่วยเองและโรคภัยไข้เจ็บของผู้ป่วย อาจมีผลกระทบต่อครอบครัว และชุมชน เช่นกัน Family APGAR Score คืออะไร. เป็นเครื่องมือวัด Family Function ที่ยอมรับกันทั่วไป มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ (Smilksteins 1978) ชนิดหนึ่ง ใช้วัดความÊÑÁ¾Ñ¹¸ìของบุคคลภายในครอบครัวโดยใช้เวลาเพียงสั้น ๆ Family APGAR เป็นตัวย่อของ 1. Adaptation 2. Partnership 3. Growth 4. Affection 5. Resolve ให้ผู้ป่วยเป็นคนกรอกข้อมูลเกี่ยวกับ Family APGAR เองและแพทย์จะใช้ประกอบการตัดสินใจ ถ้าคิดว่าสาเหตุของการเจ็บป่วยนี้เป็นผลทาง Function Complaints และเกี่ยวกับความเครียด โดยอาจให้ผู้ป่วยกรอกข้อมูลในระหว่างการส่งตรวจ lab เพื่อที่ว่าแพทย์จะได้ใช้ผลFamily APGAR มาช่วย ประเมินผู้ป่วยร่วมกับผล lab ระบบสาธารณสุขจะดีขึ้น จริงหรือ ถ้ามีแพทย์ครอบครัวมากขึ้น. สุขภาพดีถ้วนหน้า (Health for all) ตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก ซึ่งได้จากการสรุปผลการประชุมที่ Alma Alta ในสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1978 มีหลักสำคัญ คือ: เป้าหมายและความสำเร็จของสุขภาพดีถ้วนหน้าในแต่ละประเทศอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนโยบายต่าง ๆ ที่นำมาใช้ และที่สำคัญคือ มีการนำ Primary care มาใช้มากน้อยเพียงใด และแพทย์/บุคคลากรสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องมีความรู้มากน้อยเพียงใดเกี่ยวกับปัจจัยประกอบต่าง ๆ เช่น ความยากจน, ปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลภาวะ, มาตรฐานของที่อยู่อาศัย, การบริโภคสุราและบุหรี่, ภาวะโภชนาการ และข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยเหล่านี้ในบริเวณที่รับผิดชอบจะหาได้จากที่ใด ในสหราชอาณาจักร Royal College of General Practitioners ได้ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี ค.ศ.2000, ประชาชนที่มีอายุเกิน 18 ปี จะต้องมีประวัติสุขภาพอยู่กับแพทย์ครอบครัวอย่างน้อย 95% ดังนั้นในข้อมูลต่าง ๆ ที่แพทย์ครอบครัวรวบรวมไว้จะต้องเชื่อถือได้และให้ภาพรวมของสุขภาพของคนไข้ได้เป็นอย่างดี เป้าหมายของสหราชอาณาจักร เรียงตามลำดับความสำคัญก่อนหลังดังนี้: 1. ลดการสูบบุหรี่ 2. ให้ความรู้/สุขภาพเกี่ยวกับโทษของสุรา 3. ป้องกันมิให้เสพติดยาและสารเสพติดอื่น ๆ 4. โภชนาการ 5. การออกกำลังกาย 6. สุขภาพจิต 7. สุขภาพกายที่แข็งแรงและสภาพสังคมที่ดี 8. ป้องกันการเกิดอุบัติภัย 9. ความปลอดภัยในการทำงานและอาชีวะอนามัย 10. การคุมกำเนิด 11. สุขภาพมารดาและทารก 12. การเฝ้าระวังและควบคุมโรคติดเชื้อต่าง ๆ (รวมทั้งโรคทางเพศสัมพันธ์ HIV และการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน) 13. การควบคุมโรคความดันโลหิตสูง 14. การตรวจหาโรคมะเร็ง 15. สุขภาพฟัน 16. การแก้ไขความพิการทางกายและประสาทสัมผัสต่าง ๆ 7. การเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์ในปัจจุบันนี้เหมาะที่จะผลิตแพทย์ออกรับใช้สังคมและประเทศชาติ หรือไม่ ? จากการประชุมร่วมของ WHO-WONCA 1994 ที่ Ontario, Canada พบว่าแพทยศาสตร์ศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญา สามารถปรับให้สนองตอบนโยบายสาธารณสุขของประเทศได้ทุกระดับในรูปแบบ primary, preventive and cost-effective care แม้ว่าระบบสาธารณสุขต้องการแพทย์ที่มีความรู้กว้าง เพื่อสนองต่อการดูแลสุขภาพของชุมชน แต่ในระบบการศึกษาแพทยศาสตร์ปัจจุบัน นักศึกษาแพทย์ได้รับการฝึกอบรมในเฉพาะสาขาวิชาทางแคบโดยใช้โรงพยาบาลเป็นฐานและดูแลรักษาปัญหาของผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่มิใช่ปัญหาของชุมชน WHO ได้เคยชี้ให้เห็นปัญหานี้ดังเช่น ใน Alma Ata declaration ตลอดจน Tokyo declaration ในปี 1986 ซึ่งสนับสนุน Alma Ata declaration โดยให้มีปฏิรูประบบสาธารณสุข, ระบบการเมือง, ระบบวิชาชีพ, นโยบายการบริหารของรัฐมนตรีสาธารณสุข, ระบบชุมชน, ระบบการเงินและคลัง, ระบบการทำวิจัย, ระบบการเรียนการสอนและระบบเกื้อหนุนกันในสังคม ในการประชุม Abuja, Nigeria ในปี 1986 และการประชุมที่ Lisbon, โปรตุเกส ในปี 1988 ที่ประชุมได้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่พื้นฐานในการผลิตแพทย์ทั้งระดับต่ำกว่าและหลังปริญญาให้ตอบสนองต่อความต้องการทางสุขภาพดังที่กล่าวไว้ว่าสุขภาพดีถ้วนหน้า (Health for all) มีการเรียกร้องให้สนับสนุนการฝึกอบรมแพทย์ทาง primary care และใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community-based) ในการศึกษาและฝึกอบรมแพทยศาสตร์ ในการประชุมแพทยศาสตร์ศึกษาระดับโลกในปี 1988 ที่ Edinburgh, Scotland ทำให้มี Edinburgh declaration ซึ่งมี 12 ขั้นตอนที่จำเป็นต้องปฏิรูปแพทยศาสตร์ศึกษาโดย 8 ขั้นตอนจะเกี่ยวกับขบวนทางการศึกษา และอีก 4 หัวข้อให้มีการเปลี่ยนแปลงนอกโรงเรียนแพทย์ เนื้อหาวิชาใดบ้างที่แพทย์ครอบครัวควรจะต้องเรียนรู้. นอกเหนือจากวิชาการแพทย์แขนงต่างๆ และการสาธารณสุขแล้ว แพทย์ครอบครัวควรจะต้องเรียนรู้เรื่องทางสังคมศาสตร์ ศึกษาการเปลี่ยนแปลงการสังคมและผลกระทบของสังคมต่อครอบครัวและสุขภาพ ความรู้เรื่องครอบครัวและการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวในระยะ ต่าง ๆ เช่น เมื่อมีบุตรคนแรก หรือเมื่อมีผู้เจ็บป่วยรุนแรงในครอบครัว แพทย์ครอบครัวต้องเรียนรู้พฤติกรรมศาสตร์ การสื่อสารติดต่อและการสัมภาษณ์ผู้ป่วยและครอบครัว และต้องมีความสามารถทำครอบครัวบำบัดเบื้องต้นได้ (Family therapy) สรุปเนื้อหาที่แพทย์ครอบครัวจะต้องเรียนรู้ 1.ต้องเรียนรู้ความสำคัญของอาการ, ปัญหา, ภาวะหรือโรคภัยไข้เจ็บที่ผู้ป่วยมาปรึกษา วิชาที่ต้องเรียนรู้ :- วิทยาศาสตร์พื้นฐาน, พฤติกรรมศาสตร์, วิทยาศาสตร์ทางห้องปฏิบัติการ, ความรู้ทางคลินิกของแพทยศาสตร์สาขาต่าง ๆ และเวชปฏิบัติทั่วไป, วิวัฒนาการของการเกิดโรค, ระบาดวิทยาและขบวนการวินิจฉัย ทักษะที่ต้องรู้ :- การสัมภาษณ์, การแก้ปัญหา, การตัดสินใจ และความสามารถในการทำหัตถการต่าง ๆ 2.เฉพาะตัวผู้ป่วย วิชาที่ต้องเรียนรู้ :- พื้นฐานขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้ป่วย (มนุษย์วิทยา), มนุษย์พฤติกรรมศาสตร์, จิตวิทยา, สังคมศาสตร์และจิตเวชศาสตร์, พัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ทั้งในแง่ชีววิทยา, จิตวิทยาและสังคมวิทยา ทักษะที่ต้องรู้ :- ความสามารถในการสัมภาษณ์และสื่อสารกับผู้ป่วยและครอบครัว, ความสามารถในการจูงใจและสอน เช่น การประชาสัมพันธ์, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและจิตบำบัด 3.ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและชุมชนพื้นฐาน (ครอบครัว, เพื่อนฝูง ฯลฯ) วิชาที่ต้องเรียนรู้ :- จิตวิทยาครอบครัว, สังคมศาสตร์, มนุษยศาสตร์, จิตพลศาสตร์, พันธุกรรมศาสตร์และระบาดวิทยา, อนามัยโรงเรียน, อาชีวะอนามัย, ชุมชนพลศาสตร์, ระบบการบริหารจัดการและขุมพลังต่าง ๆ ทักษะที่ต้องรู้ :- การสัมภาษณ์, การสื่อสารประเภทเดี่ยวและประเภทกลุ่ม, ทักษะในการนำความรู้ต่าง ๆ มาใช้ในการป้องกันและรักษาผู้ป่วยและครอบครัว 4.สิ่งแวดล้อมและภูมิกายภาพ วิชาที่ต้องรู้ :- สาธารณสุขศาสตร์, มลภาวะ, กัมภาพรังสีและภยันตรายอื่น ๆ ในสิ่งแวดล้อม, มาตรฐานของที่อยู่อาศัย เป็นต้น 5.ความสัมพันธ์ระหว่างการบริบาลสุขภาพกับองค์กรต่าง ๆ ในสังคม วิชาที่ต้องรู้ :- ระบบการบริบาลสุขภาพ, การเปลี่ยนแปลงของสังคมและผลต่อสุขภาพและการบริการทางการแพทย์, ขุมพลังในชุมชนและองค์กรต่าง ๆ 6.การบริหารจัดการทางการแพทย์ วิชาที่ต้องรู้ :- การบริหารธุรกิจและการนำมาใช้ในการทำเวชปฏิบัติครอบครัว, ขุมพลังและแหล่งบริการทางการแพทย์ในชุมชน, การประเมินผลงาน, กลุ่มสัมพันธ์ ทักษะที่ต้องมี :- สามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างดีและราบรื่น 7.การวิจัยและการประเมินงาน อาจจะไม่จำเป็นมากนักแต่จะช่วยให้การทำเวชปฏิบัติดูดีน่าสนใจขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วิชาที่ต้องรู้ :- วิธีการสำรวจระบาดวิทยา, วิธีการทางชีววิทยาและสังคม, สถิติ ทักษะที่ต้องมี :- ความใฝ่รู้หรือช่างสังเกตุ, ความสามารถที่จะตั้งคำถามว่า “ทำไม” และขบวนการคิดแบบมีระบบและเหตุผล 8.ต้องรู้จักตัวเอง ต้องเข้าใจจิตพัฒนาของตนเอง,ทัศนคติของตนเอง, biases, ปฏิกิริยาความสัมพันธ์ต่อคนไข้, ต่อครอบครัวตนเอง, ต่อผู้ร่วมงานและแรงจูงใจของตนเองต่องานที่ทำ ทักษะที่ต้องมี :- พฤติกรรมที่สนใจผู้ป่วยของตนเอง, การยอมรับ biases ของตนและแรงจูงใจต่าง ๆ สถานบริการสุขภาพระดับใดและที่ใด ที่แพทย์ครอบครัวจะมีบทบาทหน้าที่ได้. แพทย์ครอบครัวสามารถให้การดูแลสุขภาพในระดับ primary care และ secondary care ในบางสาขาที่ตนถนัดและสนใจ ดังนั้นสถานพยาบาลที่แพทย์ครอบครัวสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้ดี จึงเป็นได้ทั้งคลินิคผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล, คลีนิคส่วนตัว, โรงพยาบาลอำเภอและโรงพยาบาลจังหวัด ระบบการแพทย์ในปัจจุบันนี้เป็นระบบที่ยอมรับว่าแตกแขนงและแพทย์ไม่มีความเป็น “มนุษย์” เท่าที่ควรจะเป็น ทำให้ผู้ป่วยรายหนึ่ง ๆ จะต้องใช้แพทย์แตกแขนงสาขาหลายท่านมาดูแล ซึ่งบางครั้งต่างก็ดูเฉพาะเรื่องปัญหาที่ตนเองฉนัด ไม่มีการประสานงานกันที่ดี ทั้ง ๆ ที่เกือบ 90% ของผู้ป่วยมักจะเป็นโรคที่ไม่ยุ่งยากมากนัก ดังนั้นถ้ามีแพทย์ที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีในรูปแบบของเวชศาสตร์ครอบครัวหรือที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถจะให้การบริบาลในฐานะแพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ครอบครัว เมื่อมีปัญหาซับซ้อนหรือโรครุนแรงจนไม่สามารถดูแลต่อได้ก็จะส่งปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยอย่างถูกต้อง โดยมีข้อมูลที่ให้การดูแลรักษาเบื้องต้นแนบไปด้วย ทำให้ไม่เสียเวลาของทั้งผู้ป่วยและแพทย์เฉพาะทางผู้รับปรึกษา ซึ่งถ้าแพทย์เฉพาะทางดูแลรักษาจนควบคุมได้ดีก็จะส่งคืนแพทย์เจ้าของไข้เพื่อดูแลต่อไป การมีแพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ครอบครัว รวมทั้งระบบปรึกษาและส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของประเทศลดลงเป็นอย่างมาก โดยประชาชนทุกคนจะได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ครอบครัว ศักดิศรีและค่าตอบแทนที่แพทย์ครอบครัวควรจะได้รับ. แพทย์ครอบครัวที่ดีมีศักดิ์ศรีและได้รับเกียรติจากประชาชนผู้ใช้บริการอยู่แล้ว ส่วนประชาชนผู้ที่ไม่เคยรู้จักเวชศาสตร์ครอบครัวน่าจะได้มีการประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจและเลือกสมัครเป็นสมาชิกกับแพทย์ครอบครัวใกล้บ้าน ซึ่งจะเป็นระบบที่ทำให้ทุกคนได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีทางเป็นไปได้มากที่สุดตามที่องค์การอนามัยโลกได้ว่าไว้ “Health for all by the year 2000” ส่วนศักดิ์ศรีในวงการแพทย์ด้วยกันเองก็ต้องอาศัยเวลา โดยแพทย์ครอบครัวจะต้องแสดงให้แพทย์แขนงอื่นยอมรับมากขึ้น ซึ่งถ้ามีแพทย์ครอบครัว ซึ่งได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีย่อมทำให้ได้แพทย์ครอบครัวที่ดี ดังนั้นจึงควรสนับสนุนให้มีการเปิดฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์/เวชปฏิบัติครอบครัวขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยอาจใช้สาขาวิชาเวชปฏิบัติทั่วไปเป็นฐาน แล้วเพิ่มกระบวนความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับแพทย์ครอบครัวเข้าไป และเปลี่ยนชื่อเวชปฏิบัติทั่วไป ซึ่งขาดความนิยมจากนักศึกษาแพทย์และประชาชนทั่วไปเป็นเวชปฏิบัติ/เวชศาสตร์ครอบครัว เนื่องจากแพทย์ครอบครัวจะต้องให้บริการทางการแพทย์แก่สมาชิกและครอบครัวที่ได้ลงทะเบียนแล้ว ซึ่งจะทำให้ได้ค่าตอบแทนจากบริษัทประกันหรือ หน่วยงานรัฐบาลที่รับผิดชอบประชากรเหล่านี้ นอกจากนี้แพทย์ครอบครัวยังตรวจรักษาจากผู้ป่วยทั่วไปอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งถ้าแพทย์ครอบครัวอยู่ในระบบเอกชนก็สามารถจะได้ค่าตอบแทนที่ไม่น้อยกว่าแพทย์เฉพาะสาขาอื่น ๆ หรือถ้าอยู่ในระบบราชการก็ควรจะมีค่าตอบแทนเพิ่มเติมต่างหากจากเงินเดือนประจำที่ได้รับอยู่ เวชศาสตร์ครอบครัวในประเทศไทย เป็นอย่างไรในขณะนี้. เวชศาสตร์ครอบครัวอาจเป็นคำที่ใหม่ต่อผู้คนหรือแม้แต่แพทย์เอง ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว เรามีแพทย์ครอบครัวซึ่งดูแลรักษาในนิยามของเวชศาสตร์ครอบครัวมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อคุณแม่ยังหนุ่มสาวอยุ่ โดยแพทย์สมัยนั้นจะดูแลรักษาทั้งครอบครัว และรู้จักสมาชิกของแต่ละ ครอบครัวเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากการแพทย์สมัยใหม่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้แพทย์หันไปสนใจในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเลือกเรียนหรือสนใจเฉพาะโรคมากขึ้น ทำให้แพทย์ที่เคยทำเวชปฏิบัติแบบแพทย์ครอบครัวลดน้อยถอยลง แต่เราอาจจะยังพบแพทย์รูปแบบเดิม ๆ ได้ตามต่างจังหวัดหรือชุมชนบางแห่งแต่แพทย์เหล่านี้ ถ้ามิได้ฝึกอบรมมาอย่างดีก็มักจะขาดความรู้ความชำนาญทางวิชาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ขณะที่แพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น ๆ มักจะดูแลรักษาเฉพาะโรค มิใช่บุคคลทั้งคน การติดต่อสื่อสาร, ความสัมพันธ์กับผู้ป่วยและครอบครัวก็มักจะไม่ค่อยดี เวชศาสตร์ครอบครัวจึงฟื้นคืนกลับมาอุดช่องว่างนี้ โดยแรกเริ่มที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีกลุ่มอาจารย์ที่สนใจนำโดย ศ.นพ.มรว.ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์, รศ.นพ.บุญยงค์ พงษ์พรต และท่านอื่น ๆ ได้ร่วมกันจัดตั้งโครงการภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัวขึ้นมาในปี พ.ศ.2524 โดยเล็งเห็นว่าวิชานี้สามารถจะแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของประเทศได้ และแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชปฏิบัติทั่วไปซึ่งฝึกอบรมภายใต้ความรับผิดชอบของสำนักงานผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ขาดผู้รับผิดชอบโดยตรง ประกอบกับเวชศาสตร์ครอบครัวก็ต้องมีพื้นฐานของวิชาเวชปฏิบัติทั่วไปด้วย จึงขอโอนการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชปฏิบัติทั่วไปมาขึ้นกับโครงการภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว และได้เปิดกระบวนวิชาเวชศาสตร์ครอบครัว และกระบวนวิชาเวชปฏิบัติทั่วไปสำหรับนักศึกษาแพทย์ในชั้นปีที่ 4 และ 5 ตามลำดับ ระยะแรกโครงการภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัวยังสังกัดภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน ต่อมาเมื่อมีการเรียนการสอนชัดเจนขึ้น จนคณะรัฐมนตรีได้มีมติจากการประชุมเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2529 ให้แบ่งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยให้ตั้งภาควิชาขึ้นใหม่ในคณะแพทยศาสตร์ มีชื่อว่า “ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว” นับเป็นภาควิชาที่ 20 ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัวแห่งแรกในประเทศไทย วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง คือ “เพื่อผลิตแพทย์ให้สามารถเป็นผู้นำกลุ่มเวชปฏิบัติทั่วไป, ให้บริการสุขภาพครอบครัวทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้านประชาชน” หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัวคนแรก คือ ศ.นพ.มรว.ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์ ซึ่งเรานับถือกันว่าเป็น “บิดาแห่งเวชศาสตร์ครอบครัวของประเทศไทย” นับแต่นั้นมา ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็พัฒนาการเรียนการสอน การบริการและวิจัย มาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในและนอกประเทศ ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว แห่งที่ 2 ได้จัดตั้งที่คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี พ.ศ. 2537 และในอนาคตก็จะมีภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัวครบทุกโรงเรียนแพทย์ทั่วประเทศ ปัญหาที่สำคัญในขณะนี้ คือ ขาดการประชาสัมพันธและแนะนำบทบาทหน้าที่ของแพทย์เวชปฏิบัติครอบครัวให้แพร่หลายทั้งในวงการสาธารณสุขและประชาชนทั่วไป ขาดการรวมกลุ่มของแพทย์ที่สนใจในเวชศาสตร์ครอบครัวเพื่อทำให้สาขาวิชาเข้มแข็งขึ้น สามารถมีบทบาทในวงการสาธารณสุขของประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือ แผนรองรับจากทางรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นระบบบริการสุขภาพที่ควรจะปรับให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตำแหน่งและขั้นของวิชาชีพเวชศาสตร์ครอบครัวที่จะทำให้แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัวสามารถอยู่ได้อย่างมีเกียรติ, มีศักดิ์ศรีและมีรายได้ที่ไม่แพ้หรือดีกว่าแพทย์สาขาอื่น แพทย์ระดับ 5 ดาวของประชาชน ควรจะมีคุณสมบัติดังนี้ :- 1.เป็นผู้ให้บริบาล (Care provider) โดยถือว่าผู้ป่วยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและชุมชน และให้การบริบาลที่มีมาตรฐานสูง (ยกเว้นโรคหรือการบาดเจ็บที่รุนแรง, โรคเรื้อรังและความพิการ) และให้การป้องกันโรคแก่บุคคลโดยอาศัยความสัมพันธ์ที่วางใจกันมานานและคุ้นเคยกับครอบครัว 2.เป็นผู้ตัดสิน (Decision maker) โดยเป็นผู้พิจารณาเลือกเทคโนโลยีที่ถูกจรรยาแพทย์, คุ้มค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนการดูแลรักษา 3.เป็นผู้ติดต่อประสาน (Communicator) สามารถอธิบายให้เกิดการส่งเสริมสุขภาพและการดำรงชีวิตที่ปลอดภัย แข็งแรง ซึ่งทำให้บุคคลและกลุ่มชนเกิดการตื่นตัวในด้านการรักษาและป้องกันสุขภาพของตนเอง 4.เป็นผู้นำชุมชน (Community Leader) เป็นผู้ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคความเชื่อของผู้คนที่ทำงานด้วย และเพื่อก่อให้เกิดสุขภาพที่ดี ในตัวบุคคลและชุมชนอีกทั้งกระตุ้นให้ชุมชนเริ่มกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพ 5.เป็นสมาชิกกลุ่ม (Team member) ซึ่งสามารถทำงานอย่างราบรื่นได้ทั้งกับบุคคลและ องค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าในระบบหรือนอกระบบสุขภาพ เพื่อสนองความต้องการของผู้ป่วยและ ชุมชน
4483
1703
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4483
หมอประจำครอบครัว
หมอประจำครอบครัว (Family Doctor) อะไรคือหมอครอบครัว. หมอครอบครัวหรือแพทย์ครอบครัว คือแพทย์ที่สามารถดูแลรักษาสุขภาพให้ทุกคนในครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพเบ็ดเสร็จผสมผสานและต่อเนื่อง ทั้งสุขภาพกาย, สุขภาพจิตและสุขภาพของสังคมที่สมาชิกในครอบครัวอาศัยอยู่ งานของแพทย์ครอบครัวจะเริ่มตั้งแต่ได้ตรวจดูแลรักษาหรือได้รับการปรึกษาปัญหาของสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัว ซึ่งจะเรียกว่า Index case ซึ่งจะเป็นบุคคลที่จะพาสมาชิกอื่น ๆ ในครอบครัวมาทำความรู้จักกับแพทย์ โดยแพทย์ครอบครัวจะทำหน้าที่ทั้งเป็นแพทย์ที่คอยรักษาป้องกันโรคภัยต่าง ๆ, เป็นครูที่คอยให้คำแนะนำในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ, เป็นเพื่อนรับฟัง-ปรึกษาความคิดเห็นต่าง ๆ ของครอบครัว, เป็นผู้ติดต่อประสานกับแพทย์แขนงอื่น ๆ ในกรณีที่ต้องปรึกษาหรือส่งต่อผู้ป่วยในครอบครัวที่ดูแล หรือติดต่อประสานงานกับบุคลากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น นักสังคมสงเคราะห์, เจ้าหน้าที่เทศบาล เป็นต้น สรุปได้ว่าแพทย์ครอบครัวเป็นแพทย์ที่ดูแลโรคภัยไข้เจ็บให้สมาชิกในครอบครัวทั้งในกรณีที่การเจ็บป่วยนั้นเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือพิการถ้ามิได้รับการบำบัดรักษา ซึ่งพบได้ประมาณ 15% ของปัญหาที่ได้รับการปรึกษาจากผู้ป่วย เรียกกรณีนี้ว่า “Medical Model” หรือ “รูปแบบทางการแพทย์” และอีก 80% จะเป็น “Relational Model หรือ รูปแบบที่ต้องใช้ความสัมพันธ์” ซึ่งมักจะเป็นโรคที่หายเองได้, ป้องกันได้ หรือเกี่ยวข้องกับจิต-อารมณ์และสังคม เวชปฏิบัติของแพทย์ครอบครัวมีลักษณะอย่างไร. แพทย์ครอบครัวจะดูแลสมาชิกในครอบครัว (ทำเวชปฏิบัติ) เป็นลำดับขั้นตอนดังนี้ : ผู้ป่วยชายไทย อายุ 36 ปี แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีบุตร มาโรงพยาบาลด้วยอาการมืน ๆ ปวด ๆ ที่ศีรษะบริเวณท้ายทอยมาประมาณ 1 อาทิตย์ มักจะเป็นในตอนเช้า ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไม่มีอาการปวดตุ๊บ ๆ ผู้ปวยเคยมีอาการเช่นนี้ เมื่อ 1 ปีก่อน โดยที่ผู้ป่วยไปหาแพทย์ที่คลินิคแห่งหนึ่ง แพทย์บอกว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ได้ให้ยามาทาน ผู้ป่วยทานยาไปได้สัก 2-3 เดือน อาการมืน ๆ ปวด ๆ ที่บริเวณท้ายทอยได้หายไปผู้ป่วยจึงได้หยุดยาเอง โดยไม่ได้รับคำแนะนำว่าจะต้องทานยารักษาโรคความดันโลหิตสูงโดยตลอด จากการซักประวัติรายละเอียดถึงอาการของโรคอย่างอื่นนั้น ปรากฎว่าไม่มีอาการอย่างอื่นที่ผิดปกตินอกจากอาการปวดมืนที่ศีรษะเท่านั้น จากการตรวจร่างกายระบบต่าง ๆ อยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นความดันโลหิตสูง = 190/120 mm.Hg. ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูงระดับปานกลาง การสืบค้นหาเพิ่มเติม (Investigation) เช่น การตรวจเลือด ตรวจเอกซ์เรย์ปอดและตรวจคลื่นหัวใจ การรักษา 3 วันต่อมาได้มาฟังผลการตรวจสืบค้น (Investigation) พบว่า CXR-PA และ EKG. แสดงถึงว่ามี กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น (left ventricular hypertrophy) ซึ่งเป็นผลแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิต ผล lipid profile : ไขมันในเลือดสูงด้วย (cholesteral) 284 mg/dl., triglycerides = 100 mg/dl, HDL = 32 mg./dl. LDL = 252 mg./dl. ผล Investigation อื่น ๆ ปกติ วัดความดันโลหิตในขณะนั้นได้ = 150/100 mm.Hg. ได้ให้การวินิจฉัยว่า ความดันโลหิตสูงที่มีภาวะแทรกซ้อน และไขมันในเลือดสูง การรักษา Whole person Approach (ดูแลแบบองค์ร่วม) 1 เดือนต่อมา ผู้ป่วยได้กลับมาหาแพทย์ตามนัด ได้รายงานว่า อาการปวดมืนศีรษะที่ท้ายทอยนั้นไม่มีแล้ว แพทย์ได้วัดความดันโลหิตผู้ป่วยได้ = 120/90 mm.Hg. แต่แพทย์ยังสังเกตเห็นร่องรอยความไม่สบายใจปรากฎอยู่บนใบหน้าของผู้ป่วย จากกิริยาอาการที่แสดงถึงความไม่สบายใจนั้น ทำให้แพทย์เบนความสนใจจากโรคของผู้ป่วยมาที่ตัวของผู้ป่วยแทน จากการสัมภาษณ์ทำให้ทราบว่าผู้ป่วยมีความไม่สบายใจและมีความกังวลอย่างมาก เนื่องจากเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว น้องชายคนเล็กซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกันกับผู้ป่วยมีอาการเป็นไข้สูง ไออยู่นานประมาณ 2 อาทิตย์ ก็ยังไม่หาย ได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพทย์ได้ขอเจาะตรวจเลือด, ตรวจเสมหะ และเอ็กซเรย์ปอด ผลการตรวจพบว่าน้องชายเป็นโรคปอดบวม และติดเชื้อโรคเอดส์ แพยย์ได้ให้ยาทาน อาการไข้ลดลง แต่ก็ไม่หายขาดทรง ๆ ทรุด ๆ น้ำหนักลด รูปร่างผอมลงทุกวัน ผู้ป่วยต้องคอยดูแลน้อยชายเพียงคนเดียว เนื่องจากพี่น้องคนอื่น ๆ ไปทำงานต่างจังหวัดกันหมด ผู้ป่วยเป็นพี่ชาย รู้สึกสงสารน้องมาก แต่ก็มีความกังวลว่า การดูแลใกล้ชิดน้องชายนี้จะทำให้ผู้ป่วยติดโรคเอดส์หรือไม่ เพราะทราบว่าถ้าเป็นโรคนี้แล้วไม่มียารักษาให้หายขาดได้ และช่วงนี้ภรรยาของผู้ป่วยก็ตั้งครรภ์มาได้ประมาณ 7 เดือนแล้ว ไม่ทราบว่าถ้าเกิดผู้ป่วยติดโรคเอดส์แล้ว จะติดไปยังภรรยาได้ไหม จึงอยากจะขอให้แพทย์ช่วยตรวจเลือดว่าผู้ป่วยติดโรคเอดส์หรือไม่ ส่วนปัญหาเรื่องหน้าที่การงาน และปัญหาเศรษฐกิจนั้นไม่มี เพราะผู้ป่วยทำงานของรัฐวิสาหกิจ มีสวัสดิการดี ภรรยาเป็นแม่บ้าน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและภรรยาก็รักกันดี มีทะเลาะกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่ภรรยารู้สึกจะไม่ชอบน้องชายของผู้ป่วยที่อยู่รวมในครอบครัวเดียวกัน จากการตรวจและวินิจฉัยว่าผู้ปวยเป็นโรคความดันโหลิตสูงกับภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา เนื่องจากไม่ได้รับการควบคุมโรคความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน และเป็นไขมันในเลือดสูง พร้อมกันนี้แพทย์ก็ได้ทราบถึงสาเหตุของความไม่สบายใจ และความกังวลใจของผู้ป่วยคือ จะติดเชื้อโรคเอดส์จากน้องชายหรือไม่ และภรรยาที่ตั้งครรภ์อยู่จะติดเชื้อเอดส์ด้วยได้ไหม การวินิจฉัยปัญหาของผู้ป่วยซึ่งมีทั้งด้านร่างกาย จิตใจและทางด้านสังคม ดังนี้ สิ่งที่แพทย์ได้ดำเนินการต่อก็คือ ถามความสมัครใจว่าจะเป็นสมาชิกเวชศาสตร์ครอบครัวหรือไม่ และได้บันทึกลงในแฟ้มประวัติครอบครัวเมื่อผู้ป่วยตกลงใจแล้ว ซึ่งแพทย์คิดว่าหากได้ดูแลรักษาครอบครัวนี้อย่างถูกต้องแล้ว ผู้ป่วยและครอบครัวก็จะมีสุขภาพร่างกาย จิตใจและสังคมที่ดีขึ้นโดยจะต้องมีแพทย์แะพยาบาลทำการเยี่ยมบ้าน ต่อมา ผู้ป่วยได้คุยถึงเกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนในทัศนะของผู้ป่วยเอง ดังต่อไปนี้ (1) น้องชาย เป็นน้องชายคนสุดท้องของครอบครัวผู้ป่วย (โดยผู้ป่วยเป็นพี่ชายคนโตสุด มีน้องชายและน้องสาว 3 คน ผู้ป่วยได้รับการฝากฝังจากบิดา-มารดาก่อนตายให้ช่วยดูแลน้อง ๆ ทุกคนด้วย) อายุ 20 ปี เรียนอยู่คณะเกษตรศาสตร์ ปีที่ 3 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เป็นคนร่าเริง ชอบสนุก ชอบเที่ยวกับเพื่อนฝูงสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าเป็นบางครั้ง การเรียนอยู่ในระดับปานกลาง ผู้ป่วยเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู และช่วยเหลือค่าเล่าเรียนน้องชายคนสุดท้องนี้มาประมาณ 6 ปีแล้ว หลังจากที่บิดา-มารดาได้เสียชีวิตไปแล้ว เขาจะช่วยทำงานบ้านให้บ้าง ไม่ค่อยเชื่อฟังภรรยาของผู้ป่วย และมักจะขัดแย้งกันบ่อย ๆ แต่สำหรับผู้ป่วยแล้วน้องชายจะเคารพเชื่อฟังอยู่บ้าง ช่วงที่น้องชายป่วยนี้ ภรรยาของผู้ป่วยไม่ได้ช่วยดูแลน้องชายให้ มีแต่ผู้ป่วยเพียงคนเดียวที่คอยดูแลพาไปรักษาที่คลินิคและตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ครั้งหนึ่งผู้ป่วยกลับจากที่ทำงาน เห็นน้องชายร้องไห้อยู่คนเดียว ซ้ำยังบ่นว่าอยากตาย เนื่องจากป่วยเป็นโรคเอดส์ต้องทุกข์ทรมาน ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย ยังถูกภรรยาของผู้ป่วยต่อว่าต่อขานต่าง ๆ นานา ว่าไม่ได้ช่วยทำประโยชน์ให้กับทางบ้านแล้วยังนำความเดือดร้อนมาสู่ที่บ้านอีกด้วย น้องชายก็เลยคิดว่าไม่รู้จะอยู่ต่อไ’ปอีกทำไม ผู้ป่วยจึงต้องคอยปลอบน้องชายอย่าได้คิดสั้นเช่นนั้น ผู้ป่วยยังรักและห่วงใยน้องชายอยู่ จะช่วยเหลือน้องชายให้ถึงที่สุด และได้บอกให้ภรรยาไม่ควรไปต่อว่าน้องชายอีก (2) ภรรยา เป็นบุตรคนเดียวของครอบครัว บิดาเสียชีวิต เนื่องจากอุบัติเหตุ ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กอยู่ เธอจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมารดา ผู้ป่วยและภรรยาได้สมรสกัน หลังจากที่รักกันและรู้จักกันมาประมาณ 2 ปี เธอจบคณะศึกษาศาสตร์ แต่ก็มาช่วยมารดาทำขนมขายที่บ้าน เธอทำขนมอร่อยมาก ผู้ป่วยสารภาพว่าที่หลงรักเธอ มีสาเหตุมาจากขนมของเธอด้วย นอกจากนั้นเธอยังคุยสนุก และมักจะเล่านิทานที่มารดาเธอมักจะเล่าให้เธอฟังตอนเด็ก ๆ อยู่บ่อย ๆ เธอทำงานบ้าน งานครัวเก่ง และขยันขันแข็ง ช่วงนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ ท้องแรกอยู่ประมาณ 7 เดือน หลังจากที่ผู้ป่วยและเธอได้แต่งงานกันมาประมาณ 2 ปีเศษ (เนื่องจากช่วงแรกได้คุมกำเนิดไว้ก่อน) ระหว่างนี้เธอรู้สึกจะหงุดหงิดง่าย โดยเฉพาะกับน้องชายของผู้ป่วย ซึ่งมักจะขัดแย้งกันอยู่บ่อย ๆ แต่หลังจากที่น้องชายของผู้ป่วยร้องไห้คราวนั้นแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้มีการขัดแย้งกันอีก และดูจะไม่พูดจากันอีกเลยด้วย 2 วันต่อมา แพทย์ครอบครัว และพยาบาลได้มาเยี่ยมที่บ้านของผู้ป่วย ซึ่งได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี บ้านของผู้ป่วยลักษณะเป็นทาวน์เฮาน์ เป็นตึก 2 ชั้น รอบ ๆ บ้านจะประดับด้วยกระถางต้นไม้ มีรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สีเขียวจอดอยู่ 1 คัน ภายในบ้านชั้นล่าง มีชุดรับแขกอยู่ทางด้านหน้า ด้านหลังเป็นห้องครัวและห้องน้ำ ชั้นบนเป็นห้องนอน 2 ห้อง และห้องน้ำอีก 1 ห้อง ภายในบ้านทั้งหมดสะอาดเรียบร้อย แพทย์ครอบครัวได้เข้าไปสัมภาษณ์ห้องน้องชายผู้ป่วย ซึ่งกำลังนอนป่วยอยู่ โดยมีอาการท้องร่วงเป็น ๆ หาย ๆ มาประมาณ 2 เดือนแล้ว แพทย์ได้บอกความประสงค์แก่เขา เขาก็ตกลง แพทย์ได้ซักประวัติ การเจ็บป่วยก่อน จากนั้นจึงได้ตรวจร่างกายผู้ป่วย จากการสังเกต: เป็นชายหนุ่ม แต่หน้าตาแก่กว่าวัย ตาลึก แก้มตอบ ผิวหนังคล้ำหม่น ๆ รูปร่างผอม เห็นกระดูกซี่โครง แขนขาลีบลง ท่าทางไม่ค่อยมีแรง แพทย์จึงได้เจาะเส้นเลือดให้น้ำเกลือแก่ผู้ป่วย ดูท่าทางเขาสดชื่นขึ้นบ้าง แพทย์จึงได้สัมภาษณ์ต่อ เขาเป็นบุตรคนสุดท้องที่บิดา-มารดาและทุก ๆ คนก็รักเขา แต่เมื่อบิดา-มารดาได้ตายจากเขาไป เขาก็ได้รับการดูแลช่วยเหลือจากพี่ชายคนโต ส่วนพี่คนอื่น ๆ ได้มีงานทำหรือแต่งงานกันไปแล้ว เขารู้ว่าพี่ชายรักเขามาก เขาเองก็รักพี่ชายเขามากเช่นกัน แต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้รู้สึกพี่ชายจะห่างเหินจากเขากว่าแต่ก่อน หลังจากที่พี่ชายได้คบกับผู้หญิงคนหนึ่ง (ภรรยาของผู้ป่วย) ซ้ำเมื่อแต่งงานเข้ามาอยู่ในบ้านนี้แล้ว ยังมาเจ้ากี้เจ้าการ บ่นอะไรให้ฟังก็ไม่รู้ เขาเองรู้สึกรำคาญ จึงออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง เพื่อให้ลืมเรื่องวุ่นวายต่าง ๆ มีครั้งหนึ่ง หลังจากที่เพื่อนได้ชวนกันดื่มเหล้า ช่วงนั้นรู้สึกมืนไปหน่อย แต่ก็พอจำได้ว่าเพื่อนได้ชวนไปเที่ยวผู้หญิงที่สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่ง เขาเองรู้สึกเคลิ้ม ๆ ลืมเรื่องเอดส์ที่มีการประชาสัมพันธ์กันอยู่ทั่วเมือง และก็จำไม่ได้ว่าใส่ถุงยางอนามัยหรือเปล่า หลังจากนั้นมาประมาณ 1 ปีเศษ เขาก็มีอาการไข้สูง ไอ รักษาตามคลินิคต่าง ๆ อยู่นานก็ไม่หาย จนได้รับการตรวจเลือด เสมหะและเอ็กซเรย์ปอดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จึงทราบว่าเป็นโรคเอสด์ และมีโรคปอดบวมแทรกซ้อน เขาได้ทานยาเม็ดสีขาวมาตลอด อาการทรง ๆ ทรุด ๆ และช่วง 2 เดือนมานี้เขายังท้องร่วงเป็นประจำทุกวัน วันละ 5-6 ครั้ง เป็น ๆ หาย ๆ รู้สึกอยากตาย เพราะตั้งแต่เป็นโรคนี้เพื่อน ๆ ไม่มาเยี่ยมกันเลย ภรรยาของพี่ชายก็มาต่อว่าต่อขานอีก ที่เขาทนอยู่นี้เพราะพี่ชายมาคอยให้ความช่วยเหลือและคอยให้กำลังใจอยู่ทุกวัน หลังจากที่เขาพูดเสร็จ เขาก็ร้องไห้ แพทย์ได้แตะที่บ่าเขาเบา ๆ พร้อมกับให้กำลังใจว่า “คุณเป็นคนเข้มแข็งจริง ๆ และยังเป็นคนที่โชคดีที่มีพี่ชายที่รักและคอยช่วยเหลือคุณอยู่เป็นประจำ" ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความศรัทธาในตัวแพทย์พร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณครับหมอ หมอนี้ดีจริง ๆ ที่ยังคอยให้กำลังใจแก่ผม” หลังจากที่แพทย์ครอบครัวได้สัมภาษณ์น้องชายของผู้ป่วยแล้ว แพทย์ก็ได้ขอสัมภาษณ์กับภรรยาของผู้ป่วยเป็นการส่วนตัว ซึ่งเธอเองก็ตกลง จากการสังเกต: เป็นหญิงอายุ 30 ปีเศษ ตั้งครรภ์ได้มาประมาณ 7 เดือน ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเป็นประจำตามกำหนด เป็นคนคล่องแคล่ว ท่าทางฉลาด คุยสนุก เธอบอกว่าเธออยู่กับมารดาตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากบิดาเสียชีวิตจากรถยนต์ชนกัน เธอจะได้รับการถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ จากมารดา ซึ่งจะเป็นงานบ้านงานเรือน รวมทั้งงานครัว กลางคืนก่อนนอนก็มักจะเล่านิทานที่มีคติสอนใจให้ฟังอยู่เป็นประจำ เธอยังจำได้หมดทุกเรื่อง บางทีสักวันหนึ่งเธออาจจะเขียนนิทานเหล่านี้ให้เป็นเล่มและพิมพ์ออกเป็นหนังสือสำหรับให้เด็ก ๆ ได้อ่านกัน มารดามักจะสอนให้เธอเป็นคนขยัน ฉะนั้นเธอจะทำงานทั้งวันและทุกอย่างภายในบ้านจะต้องสะอาดเรียบร้อย เธอได้รู้จักกับผู้ป่วยเมื่อ 4 ปีก่อน ขณะที่เขามาซื้อขนมที่ร้านของมารดาเธอ เราได้รู้จักกันและเขาก็มาซื้อขนมเป็นประจำ ประมาณ 2 ปี จึงได้แต่งงานกัน ช่วงแรกที่ได้’พบน้องชายของสามี เห็นเขาเป็นเด็กที่น่ารัก แต่ก็ดูเกียจคร้าน จะขอให้ช่วยกันทำงานบ้านสักหน่อยก็มักจะอ้างโน้นอ้างนี่ บางครั้งจะเล่านิทานเพื่อเป็นคติสอนใจเรื่องกระต่ายกับเต่า เขาก็เอานิ้วอุดหูเสีย บางครั้งยังมาพูดยียวนกวนอารมณ์อีก จึงเกิดการขึ้นเสียงและขัดแย้งกันขึ้น ตอนที่เขาไม่สบายและเพิ่งทราบผลว่าเป็นโรคเอดส์ ก็รู้สึกสงสารเขาเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าจะเข้าไปปลอบและช่วยเหลือเขา แต่เขากลับตวาดมาว่า "เข้ามาทำไม จะมาสมน้ำหน้าหรือ !" เธอเองก็ไม่คิดว่าจะเจอสถานการณ์เช่นนี้ ก็เลยคิดว่าจะเล่านิทานสอนใจเรื่อง ชาวนากับงูเห่าให้ฟัง ไม่นึกเลยว่าเขาจะร้องไห้และฟ้องสามีของเธอ ตั้งแต่นั้นมาเธอจึงคิดว่าวางใจเป็นกลางดีกว่าไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว หลังจากสัมภาษณ์เฉพาะตัวครั้งนี้แล้ว แพทย์ครอบครัวได้เชิญจิตแพทย์เข้ามาร่วมบทบาทด้วยเป็นบางครั้ง เพื่อศึกษาปัญหา สาเหตุ และวิธีการแก้ไข หลายต่อหลายครั้งควบคู่กันไป ร่วมไปกับการให้บริการทางการแพทย์สำหรับครอบครัวครั้งนี้ แพทย์ได้ให้การรักษาและแก้ไขปัญหาแต่ละบุคคลดังนี้ ส่วนเรื่องความกังวลใจเรื่องการติดเอดส์ของสามีภรรยานั้น แพทย์ก็ได้ทำการเจาะเลือดตรวจแล้วปรากฏว่าปกติ และได้แนะนำความรู้เรื่องโรคเอดส์ไว้ด้วย การแก้ปัญหาด้านความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้น แพทย์ครอบครัวและจิตแพทย์เป็นบุคคลสำคัญในการที่จะกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยการช่วยให้มีการสื่อสารเกิดขึ้นในครอบครัว เช่น การแนะนำและการช่วยแปลความหมายบ้าง ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจพฤติกรรมต่าง ๆ และสาเหตุของพฤติกรรมบางอย่างที่เกิดขึ้นในครอบครัว ส่วนการตัดสินใจในการแก้ปัญหาเป็นเรื่องของครอบครัวโดยเฉพาะ (ก) การวินิจฉัยบุคคลของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวแบบองค์รวม:- ดังได้กล่าวไว้ในเรื่องแล้ว (ข) ปัญหาพื้นฐานของระบบครอบครัว:- การเสียความมั่นคงภายในครอบครัว เนื่องจากการมีสมาชิกใหม่(ภรรยาของผู้ป่วย) แล้วไม่สามารถจะมีสัมพันธภาพที่ดีต่อบุคคลอื่น (น้องชายผู้ป่วย) ในครอบครัวได้ ซึ่งต่อมาเกิดปัญหารุนแรงเสริมเข้ามาอีก เนื่องจากน้องชายผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ และกำลังจะตาย การวินิจฉัยปัญหาครอบครัว. สาเหตุของปัญหานี้ก็คือ ความรักของพี่ชาย (ผู้ป่วย) ที่มีต่อน้องชาย ได้แบ่งปันไปให้กับภรรยา จึงทำให้น้องชายเกิดความน้อยใจ และรู้สึกไม่ชอบหน้ากับพี่สะใภ้ อีกทั้งพี่สะใภ้เป็นคนมีระเบียบวินัย ก็ยิ่งทำให้น้องชายเกิดความรำคาญ จึงหาทางออกโดยไปคบหาเพื่อนแต่เป็นกลุ่มที่ไม่ดี จึงไปดื่มเหล้าสูบบุหรี่ เที่ยวผู้หญิง จนเป็นโรคเอดส์ขึ้นมา ซึ่งทำให้เขาเสมือนถูกตัดออกจากโลกภายนอก มีเพียงพี่ชายที่เข้าใจและคอยช่วยเหลือให้กำลังใจอยู่ ซึ่งผู้ป่วยเองก็รู้สึกเป็นทุกข์ด้วย เพราะรักทั้งน้องชายและภรรยาเหมือนกัน ภรรยาผู้ป่วยความจริงก็เอ็นดูในตัวน้องชายของสามีเช่นกัน แต่เนื่องจากไม่เข้าใจในจิตใจที่แท้จริงของเขา อีกทั้งเขายังแสดงความก้าวร้าวต่อเธออีกด้วย จึงทำให้เธอไม่อยากสนใจเขาอีก แพทย์ครอบครัวและจิตแพทย์จึงได้ช่วยสื่อสารให้เกิดขึ้นในครอบครัว โดยได้ช่วยอธิบายสาเหตุและแปลความหมายของแต่ละคนให้เข้าใจกัน ปรากฏว่าภรรยาของผู้ป่วยได้เริ่มมาดูแลน้องชายผู้ป่วย ส่วนน้องชายผู้ป่วยก็เริ่มจะพูดดีกับพี่สะไภ้ ตอนนี้ภายในบ้านดูจะมีความสุขขึ้นบ้าง ได้นิมนต์พระมารับบิณฑบาต, รับสังฆทานบ้าง มีการสวดมนต์ นั่งสมาธิ พร้อมกันทั้ง เช้า-เย็น ฟังเทปธรรมะตามคำแนะนำของแพทย์ หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน น้องชายผู้ป่วยก็ได้เสียชีวิตไปอย่างสงบ และอีกไม่นานนักภรรยาผู้ป่วยก็ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คน นอกจากแพทย์ครอบครัวและจิตแพทย์ที่มีบทบาทมากในการดูแลครอบครัวยังมีบุคลากรอื่นอีก คือ พยาบาลครอบครัวและนักสังคมสงเคราะห์ที่ช่วยให้การดูแลครอบครัวเป็นไปอย่างครบวงจร ขั้นตอนที่ 3 และ 4 จะมีเพียงแพทย์ครอบครัวเท่านั้นที่เข้าใจและปฏิบัติอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนสามารถให้บริการสุขภาพที่ดี สะดวก เหมาะสม และเป็นกันเองกับครอบครัว แพทย์ครอบครัวเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ต้องมีความรู้ทางการแพทย์ด้านกว้าง คือ รู้ทุกแขนงของแพทยศาสตร์ และต้องรู้ถึงบทบาทหน้าที่, ความสัมพันธ์ และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของครอบครัว เนื่องจากความรู้ทางแพทยศาสตร์มีมากมายจนแพทย์ไม่สามารถจะรู้ได้ลึกทุกเรื่อง ดังนั้นแพทย์ครอบครัวก็จะใช้หลักของเวชปฏิบัติปฐมภูมิ (Primary Medical care) มาทำเวชปฏิบัติกล่าวคือ สามารถดูแลผู้เจ็บป่วยทุกคนตั้งแต่เริ่มแรกเข้ารับการบริการสุขภาพ โดยทำรายงานเป็นหลักฐาน มีประวัติเกี่ยวกับผู้ป่วย การตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การทำรายการปัญหา ประเมินความสำคัญตามลำดับของปัญหา และการดำเนินการแก้ปัญหาแต่ละเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยจะดำเนินไปด้วยดีนับแต่การดูแลแต่แรกเมื่อเริ่ม คือ การดูแลต่อเนื่อง ทั้งนี้มีเงื่อนไขอยู่ว่าต้องมีการสมยอมซึ่งกันและกัน และต้องมีนิวาสถานไม่ห่างไกลเกินไป แพทย์จะต้องทำรายงานถาวรเก็บไว้ใช้ติดตามผู้ป่วยรายนี้ตลอดไป และถ้าเป็นแพทย์ครอบครัวก็จะทำรายงานแฟ้มครอบครัวไว้ติดตามต่อไปจนกว่าจะสิ้นพันธะ แม้หลักการของการดูแลต่อเนื่องจะให้ประโยชน์แก่ผู้ป่วยอย่างมาก แต่ในการปฏิบัติอาจไม่สะดวก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ผู้คนมีอันจะกิน มีความรู้ ซึ่งนิยมไปหาแพทย์ตามที่เลื่องลือว่าเก่งตามอาการที่ตนมี ความคิดนี้แท้จริงแล้วอาจไม่ตรงกับโรคที่ตนเองเป็นก็ได้ ทำให้เสียเวลาเลือกหมอใหม่อีก ซึ่งต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ทุกรูปแบบการดูแล คือ ส่งเสริมสุขภาพ (Health Promotion) ป้องกัน (Preventive) รักษา (Curative) ฟื้นฟูสภาพ (Rehabilitative) ทุกด้านของผู้ป่วย คือ กายภาพ (Physical), จิตอารมณ์ (Emotional) สังคม (Social) ทุกบริเวณของสุขภาพ คือ บุคคล (Personal) ครอบครัว (Familial) ชุมชน (Community) ทุกวิธีการที่ใช้ คือ ความรู้ (Cognitive) ปฏิบัติ (Psychomotor) เจตคติ (Attitude) การทำเวชปฏิบัติต้องคำนึงถึงสวัสดิภาพของผู้ป่วย ทีมงาน เวลา และทรัพยากรที่มีอยู่ในขณะนั้น ซึ่งต้องใช้บุคลากรหลายคนและต่างความรู้ความชำนาญ แพทย์ปฐมภูมิต้องเป็นผู้ประสานงานที่ดี โดยมีฐานะเป็นผู้นำทีม ต้องรู้จักการทำงานเป็นทีม การตัดสินใจ และมนุษย สัมพันธ์ก็มีความสำคัญ ที่จะทำให้งานสัมฤทธิ์ผล ในประเทศไทย ถือเอาอำเภอเป็นเขตที่มีการติดต่อสื่อสารที่สะดวก จึงจัดให้มีโรงพยาบาลชุมชนหรือ รพช. (Community Hospital) จึงถือว่า รพช. คือศูนย์กลางการทำเวชปฏิบัติปฐมภูมิ โดยปริยาย ในหลายๆ พื้นที่อาจจะมีสถานบริการสาธารณสุขที่ประชาชนไปใช้บริการได้สะดวก แพทย์ก็อาจทำหน้าที่เป็นแพทย์ปฐมภูมิหรือแพทย์ครอบครัวได้เช่นกัน ถ้าปฏิบัติตามคำนิยาม “แพทย์ครอบครัว” เวชปฏิบัติที่ดีต้องมีการปรึกษาและส่งต่ออย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเป็นการปฏิบัติทั้งสองทาง คือ ทางขึ้นและทางลง คือจากแพทย์ครอบครัวไปยังแพทย์สาขาอื่น ๆ หรือแพทย์สาขาอื่นมายังแพทย์ครอบครัว การปรึกษา คือ การเสนอปัญหาที่ผู้รับผิดชอบดูแลผู้ป่วย ขณะนั้นไม่สามารถตัดสินใจได้ หรือไม่สามารถทำเองได้ หรือเป็นความประสงค์ของผู้ป่วยและญาติที่ต้องการความเห็นจากผู้ชำนาญคนอื่น เพื่อประกอบการพิจารณายินยอมให้แพทย์รักษา การปรึกษาไม่ใช่การถ่ายโอนความรับผิดชอบต่อผู้ป่วย หากแต่เป็นการขอความเห็นเพื่อการปฏิบัติเฉพาะราย เมื่อได้รับคำตอบแล้ว แพทย์ผู้รับผิดชอบอาจปฏิบัติตามทั้งหมดหรือบางส่วนหรืออาจเลือกไม่ปฏิบัติตามนั้นก็ได้ แต่ควรมีคำอธิบายเป็นเหตุผลที่ผู้รับปรึกษาเข้าใจและยอมรับ เพื่อมิให้ผิดจรรยาบรรณระหว่างผู้ร่วมวิชาชีพ การส่งต่อ คือ การโอนความรับผิดชอบต่อผู้ป่วยไปให้ผู้รับส่งต่อจนผู้รับโอนสามารถกระทำการรักษาแก้ปัญหาที่ปรึกษาจนเสร็จสิ้น แล้วจึงโอนผู้ป่วยคืนไปอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของแพทย์ครอบครัวคนเดิม
4489
1703
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4489
การจัดการสมัยใหม่
แนวคิด ทฤษฎีกับการจัดคนให้เกิดงาน Work Force Management บทคัดย่อ ในโลกปัจจุบันนี้การจัดการธุรกิจ มีหลายๆภาคส่วนองค์กรให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรรัฐ องค์กรเอกชนหรือแม้กระทั่งองค์กรรัฐวิสาหกิจ และในแต่ละองค์กรก็ให้สารัตถะในการจัดการที่แตกต่างกันออกไป บางองค์กรมุ่งเน้นการจัดการที่ผลผลิตอย่างสุดโต้ง บางองค์กรมุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคลให้เป็นเลิศ หรือ บางองค์กรมุ่งเน้นรายได้เป็นหลักชัย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกองค์กรต้องการจะเป็นเหมือนกันคือ การมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งทางธุรกิจ นั่นคือหัวใจหลักที่องค์กรต้องพิชิตให้ได้ อีกนัยหนึ่งองค์กรเปรียบเสมือนบอลลูนลูกใหญ่ที่มีสะสารภายในเป็นเสมือนระบบที่สนับสนุนให้บอลลูนสามารถลอยอยู่ได้หรือตกลงมาสู่พื้นดิน และสิ่งที่จะทำให้ระบบเป็นระบบได้นั่นก็คือ การจัดการระบบองค์กร จะกล่าวถึง ผู้ที่เป็นตำนานด้านการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) คนแรกคือ เฟรเดอริค วินสโลว์ เทย์เลอร์ ที่มีแนวคิดแบบคลาสลิคที่ให้ความสำคัญต่อปริมาณมากกว่าคุณภาพการผลิต ร่วมด้วยอองรี ฟาโยล์ ผู้ที่ให้นิยามเรื่องการจัดการกับพื้นฐาน 14 ข้อ และแม็กซ์ เวเบอร์ การจัดการองค์กรเชิงบารมี และ จารีตประเพณีทั้งยังมี ซี นอร์ทโค้ต พาร์คินสัน ผู้ก่อตั้ง (Parkinson’s Law) อีกคน กับอีกหลายๆนักคิดและแนวคิดที่จะสังเคราะห์เป็นแนวคิดใหม่ได้ มีหลายตรรกะแนวความคิดที่เป็นรูปธรรม และหลายแนวคิดที่สอดคล้องกับการจัดการสมัยใหม่ อย่างเช่นแนวคิดของของอองรี ฟาโยล์ที่ให้ความสำคัญกับบุคคลากรทั้งในเรื่องระบบการทำงาน ระบบค่าตอบแทน ระบบสวัสดิการซึ่งแตกต่างกับเฟรเดอริคที่สนใจแต่เพียงการคิดค้นหาวิธีการเพิ่มศักยภาพการผลิตคล้ายกับเป็นการบริหารจัดการเชิงเผด็จการส่งผลทำให้บุคคลากรไม่ภักดีต่อองค์กรและเป็นการกดขี่ด้านความคิดแต่ได้รับความสำเร็จทางด้านธุรกิจ แม็กซ์ เวเบอร์ เจ้าของแนวคิดการจัดการองค์กรเชิงบารมี และ จารีตประเพณี แนวคิดนี้เหมาะสมกับธุรกิจ SME หรือธุรกิจครอบครัว ที่เน้นความเรียบง่ายให้ความนับถือผู้บริหารด้วยความอาวุโสมากกว่าความสามารถ คล้ายคลึงกับระบบราชการไทย เติบโตช้าแต่มั่นคง ถ้อยที่ถ้อยอาศัยไร้ความเด็ดขาด ซี นอร์ทโค้ต พาร์คินสัน ผู้ก่อตั้ง (Parkinson’s Law) ผู้ที่มีความเห็นคัดค้านกับเฟรเดอริค วินสโลว์ เทย์เลอร์ พาร์คินสันคืนความเป็นธรรมชาติของมนุษย์กับบุคลากร ให้ความสำคัญด้านขวัญกำลังใจคล้ายกับอองรี สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ยุคสมัยการจัดการที่เปลี่ยนไปทำให้แนวความคิดเปลี่ยนตาม อาจเป็นได้ว่าในยุคจักรกลของเฟรเดอริคมีการแข่งขันทางด้านการผลิตสูงจึงทำให้ผู้บริหารในสมัยนั้นมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตโดยละเลยองค์ประกอบอื่นๆ ลูอิส อัลเลนเจ้าของหนังสือ Professional Management ในปี 1973 ผู้ที่พยายามยกระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยกฎ 4 ประการ (POLC) โดยอาศัยพื้นฐานแนวคิดของเฟรเดอริค จากยุคเครื่องจักรกลสู่ยุคสารสนเทศ ความแตกต่างของสองยุคนี้คือวิวัฒนการด้านสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ สมัยยุคจักรกลการจัดการธุรกิจยังไม่มีความเป็นเอกภาพทางการทำงาน อำนาจทั้งหมดรวมอยู่ที่ฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย ระเบียบ ข้อบังคับทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บริหารเป็นผู้ตัดสินใจ จึงส่งผลให้เกิดแนวความคิดด้านการจัดการใหม่ๆมากมาย บางแนวคิดใหม่ก็ได้จากการสังเคราะห์ต่อยอดแนวคิดเก่าหรือขัดแย้งกันแต่ผลที่ได้ก็คือจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการบรรลุผลทางธุรกิจสูงสุด ขอเกริ่นย้อนไปถึงยุคคาบเกี่ยวก่อนเข้าสู่ยุคสารสนเทศ เฮนรี่ มินต์ซเบิร์ก ผู้เขียน The Nation of Management Work ให้แนวคิดรวมถึงประเด็นหลักๆในการบริหารจัดการที่เป็นรูปธรรม ผู้จัดการต้องเป็นบุคคลที่เข้าถึงแก่นงานเป็นที่ไว้วางใจของพนักงาน มีความสามารถที่โดดเด่น แบ่งแยกความสำคัญของงานและวางหน้าที่งานกับบุคคลได้อย่างเหมาะสม ประสานองค์กรให้เป็นปึกแผ่น ลดการแตกแยกในด้านตำแหน่งงาน เราจักเห็นได้ว่าเมื่อคาบเกี่ยวเข้าที่นำไปสู่ยุคสารสนเทศทำให้การสื่อสารด้านการจัดการยืดหยุ่นขึ้น ให้ความสำคัญกับการสื่อสารภายในองค์กร ให้ความสำคัญต่อทรัพยากรบุคคลซึ่งเป็นทรัพยากรที่สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าหรือบริการได้ และการควบคุมดูแลการเงิน อีกคนหนึ่งที่อยู่ระหว่างสองยุคคือ ปีเตอร์ เฟอร์ดินานด์ ดรัลเกอร์ ผู้เขียนหนังสือ The Practice of Management มีแนวคิดที่เกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลและองค์กรที่เน้นความรู้เป็นหลัก ปัจจัยหลักของแนวคิดนี้มาจาการการวางแนวโครงสร้างองค์กร แยกแยะหน้าที่ชัดเจน ให้บุคลากรใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ ให้เครดิตผู้บริหารเป็นเสาเอกองค์กร โดยกำหนดหน้าที่การจัดการพื้นฐานไว้ POSDCoRB อย่างที่เรารู้จักกันดีแต่จะสังเกตุได้ว่าในแนวความคิดของเขาเน้นย้ำแต่องค์กรความรู้ KM Knowledge Management และ ทุนทางปัญญา Intellectural แต่ทั้งสองแนวคิดควรมีรากฐานมาจากมาตรฐานการสรรหาบุคคลกรเป็นพื้นสำคัญรวมถึงจริยธรรมพนักงาน และการตัดสินใจที่เด็ดขาดของผู้บริหาร ด้วยขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปความรู้ที่เกิดขึ้นในองค์กรก็ไม่มีความหมายเมื่อไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ในองค์กร อีกประการหนึ่งการใช้ outsource เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมาก หลายๆองค์กรตัดการสูญเสียเวลาในการฝึกฝนบุคคลากรโดยการใช้ outsource แทน ความพร้อมเหล่านี้องค์กรต้องมีเพื่อจะก้าวผ่านไปเป็นองค์กรในโลกยุคใหม่ เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้บริหาร เอ็ดเซล ฟอร์ด เจ้าของแนวคิดที่ประหลาดแต่แฝงความฉลาดและกล้าหาญอย่างเหลือเชื่อโดยยังมีกลิ่นอายการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ของ เฟอเดอร์ริคอยู่ มองโดยรวมแล้ว เฮนรี่มุ่งเน้นการผลิตรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพในการผลิตใช้โมเดลการผลิตแบบเดียวกันทั้งรุ่น เครื่องยนต์ สี และ ออฟชั่นต่างๆ สิ่งที่ได้จากเฮนรี่คือความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นในแนวคิด วิเคราะห์ได้ว่าเขาพยายามตั้งกรอบการตลาดให้แคบ ให้ผู้บริโภคลดปัจจัยอิสระในการตัดสินใจซื้อ คล้ายกับว่าเขาเขียนอนาคตของผลิตภัณฑ์ของเขาเองได้ ส่วนข้อเสียในแนวคิดของเฮนรี่สิ่งที่น่ากลัวในการวิเคราะห์ตลาดคือ การจินตนาเชิงรูปธรรมมักมีผลที่แตกต่างออกไปจากที่คาดการณ์ไว้ การบังคับให้สภาพแวดล้อมทางการตลาดเปลี่ยนแปลงไปตามผลิตภัณฑ์ที่องค์กรนำเสนอเป็นเรื่องที่จองหองเกินไป ผลคือทำให้ฟอร์ดสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด ซ้ำแนวคิดของเฮนรี่ไม่ได้ช่วยเสริมเสถียรภาพในการทำงานให้พนักงาน พนักงานขาดดุลยภาพทางความคิดเพราะต้องทำงานหน้าที่ซ้ำๆเดิมไร้การเติบโต ขาดการพัฒนาในระบบการทำงาน ท้ายที่สุดก็เข้าสู่ยุคเสี่ยมถอยของการผลิตสินค้าจำนวนมากๆ ความเสี่ยมถอยของการจัดการองค์กรตามหน้าที่ เกิดจากการยกระดับความสำเร็จทางผลประกอบการมากเกินไปทำให้องค์กรประกอบสำคัญอื่นๆด้อยค่า เจฟฟรี่ เพฟเฟอร์ แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดให้นิยามความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์และ ภาวะผู้นำ ไว้สามประการ สิ่งที่ควรจะมีเพิ่มเติม แล้วก็ก้าวเข้าสู่ตัว แบบใหม่ในการจัดองค์กร เป็นการนำเทคโนโลยีด้านสารสนเทศเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรทั้งในส่วนบริหารจัดการ และปฎิษัติการ เช่นแผนกบริการลูกค้าที่มีหน้าที่รับข้อมูลพร้อมทั้งให้ข้อมูลลูกค้า รวมถึงประเมิลผลองค์กรในด้านต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุดคือการมอนิเตอร์ในระบบสินค้าคงคลัง จงอย่ามองว่าคลังสินค้าเป็นเพียงที่เก็บสินค้าเพราะนั่นคือกองเงินมหึมาที่เรายังไม่ได้แปรรูป มิติที่เห็นผลของการใช้สารสนเทศโดยรวมแล้วเพื่อลดขั้นตอนฟุ่มเฟื่อยในองค์กร ทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ ระบบการจัดการ และ เทคโนโลยี เป็นปัจจัยที่มีความต้องการในการขับเคลื่อนธุรกิจให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในเชิงการแข่งขัน ความสำเร็จจะเกิดขี้นได้จากการใช้หลายๆกลยุทธ์ในการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มพูลผลผลิต ทั้งรวมถึงมาตรฐานการผลิต เครื่องจักร และ การปรับปรุงกระบวนการจัดการทางธุรกิจ ดังนั้น การรู้จักพัฒนาวิธีตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของธุรกิจจึงต้องมีความยืดหยุ่นและรวดเร็ว แต่กระนั้นเลยระบบสารสนเทศถ้าเรามองให้ลึก อาจจะเห็นมิติที่แตกต่างออกไป ผู้บริหารส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญระบบสารสนเทศในเรื่องการลดต้นทุนทางทรัพยากรเป็นสำคัญทั้งที่จริงแล้วการใช้สารสนเทศเป็นตัวสื่อสารระหว่างในองค์กรและนอกองค์กรเป็นสิ่งที่สำคัญจะเห็นภาพได้ชัดเจนว่า เมื่อองค์กร, ทรัพยากรบุคคล, วัตถุดิบ, ทุน, ความรู้พร้อม องค์กรต้องเสริมความแกร่งด้วยการวางกลยุทธ์และยุทธวิธี หลายท่านอาจสับสนถึงความแตกต่างของ กลยุทธ์และยุทธวิธี เปรียบง่ายๆเช่นกลยุทธ์เป็นแนวทางหลักใช้เวลาในไตร่ตรองเตรียมการแต่ยุทธวิธีคือแนวทางที่ไว้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่คาดหวังผลเหมือนกัน การวางกลยุทธ์ที่ดีนั้นต้องอาศัยการจัดการกลยุทธ์เข้ามาช่วย เพื่อกำหนดขีดความสามารถขององค์กร ตั้งแต่ วินิจฉัยตลาดหาช่องว่างทางการตลาด, ค้นหาเครื่องมือกีดกันการเข้าถึงของคู่แข่งรายใหม่รวมถึงวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์คู่แข่งที่มีอยู่ในตลาด,กำหนดต้นทุนและความเสี่ยง, วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับช่องว่างของตลาด,ทดสอบความพร้อมผลิตภัณฑ์, เตรียมความพร้อมด้านบุคลากรและระบบประเมิลผลให้ชัดเจน ต้องพึงสังวรณ์ไว้ว่า บางครั้งกลยุทธ์ที่เลิศหรูกับการปฎิบัตินั้นไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน ทางที่เหมาะสมที่สุด คิดในสิ่งที่ทำได้และได้ทำในสิ่งที่คิดดีกว่า จงคิดให้อยู่ในกรอบวงกลมสามวงจะเป็นหนทางสู่ความสำเร็จอย่างรอบคอบ ที่มา: จากหนังสือ Good to Great หน้า135 และนี้คืออีกจุดหนึ่งที่ชัดเจนระหว่างแนวคิดแบบคลาสสิกที่เน้นการผลิตกับแนวความคิดแบบนีโอคลาสสิกที่เน้นกลยุทธ์นั่นต่างกันอย่างไร ในยุคปี60 บรู๊ซ เฮนเดอร์สันกับความนิยมของ บอสตันแมทริกซ์ (Boston Matrix) เครื่องมือที่ใช้วัดความเติบโตของตลาดและส่วนแบ่งทางการตลาด Growth-Share Matrix หรือ BCG Matrix (บ้างเรียก BCG Model) เป็นเครื่องมือที่เข้าใจง่าย ใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อบอกสถานะของผลิตภัณฑ์หรือบริการ ว่าเป็นอย่างไร โดยใช้ตัวแปรหลัก 2 ตัว คือ อัตราการเจริญเติบโต (growth) กับส่วนแบ่งตลาด (market share) ซึ่งทำให้การการตลาดในยุคสมัยนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจมากขึ้น กับอีกหนึ่งนักคิด ไมเคิล อี. พอร์เตอร์กับกลยุทธ์กับความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ตีกรอบแนวความคิด ด้วยเรื่องของลูกค้า ซัพพลายเออร์ สินค้าทดแทน คู่แข่ง คู่แข่งรายใหม่แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างนี้ที่ไม่ได้เขียนคือ ทรัพยากรบุคคลในองค์กรเป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าสำคัญที่สุด ดังที่ แมรี่ พาร์เกอร์ โฟลเลตต์ นักรัฐศาสตร์ชาวเยอรมัน เธอให้ความเห็นว่า”ผู้จัดการต้องรับผิดชอบต่อการบรูณาการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญต่างๆให้มาทำงานประสานกัน” เป็นการตอกย้ำความขัดแย้งกับมุมมองของเฟรเดอริคและไมเคิล ที่มองบุคลากรเป็นเพียงคนที่ทำตามคำสั่ง แต่ แมรี่มองว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ ที่เน้น”คนมาก่อน ทำอะไร” ความคิดสองความคิดนี้ แบ่งความชัดเจนทางคุณค่าพอสมควร อาจจะด้วยกลไกของธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่ง ส่งผลกระทบให้เกิดมุมมองใหม่ๆหลายอย่าง การใช้ทักษะของทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นทรัพยากรองค์กรนั่นใช้เพื่อเป็นตัวกีกกันและทำลายขวัญและกำลังใจคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิผล ไม่ว่าจะเป็น เอลตัน เมโย นักวิจัยชาวออสเตรเลีย ผู้เริ่มต้นทำการศึกษา “การศึกษาที่ฮอว์ธอร์น” ดักลาส แม็คเกรเกอร์ นักจิตวิทยาสังคม กับผลงาน ทฤษฎี xและ ทฤษฎี Y ฮับราฮัม มาสโลว์ ผู้ก่อตั้งทฤษฎี พีรามิดลำดับขั้นของความต้องการ รวมทั้ง เฟรเดอริค เฮิร์ซเบิร์ก นักจิตวิทยาคลีนิค ล้วนแล้วแต่มีเจตนคติต่อทรัพยากรมนุษย์ในทิศทางคล้ายกัน มุ่งมั่นในการบริหารจัดการที่สอดรับกับสภาพแวดล้อมองค์กร บำรุงรักษาแรงจูงใจในทรัพยากรมนุษย์สม่ำเสมอ เอื้อเฟื้อกำลังใจให้กันและกันในองค์กร ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นส่วนๆหนึ่งที่ทำให้องค์กรมีชีวิต ทอม ปีเตอร์ส ปรมาจารย์ด้านการจัดการในยุคร่วมสมัยที่โดดเด่นอีกคนหนึ่ง เขาเป็นผู้หนึ่งที่ให้การสนับสนุนความสำคัญต่อทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับโรเบิร์ต วอเทอร์แมนผู้ร่วมกันเขียนหนังสือขายดีชื่อ In Search of Excellence คิดกรอบแนวคิด 7sให้กับบริษัทที่ปรึกษาแม็คคินซีย์ โดยขอร่วมมือจาก ริชาร์ด ปาสกาลและแอนโทนี่เป็นผู้ให้ความเห็น ในท้ายสุดจากการลองผิดลองถูก ได้มาเป็น7s แต่เมื่อนำมาแทบกับ Five Forces Model ของ ไมเคิล อี. พอร์เตอร์แล้วจะพบว่าแม่แบบของไมเคิล นั้นเป็นเชิงวิเคราะห์และมีความเป็นวิชาการมากกว่า 7s 7s สังเคราะห์ออกมาเป็น แต่การให้มุมมองเพียงแต่บุคคลากรไม่ใช่คำตอบที่สวยหรูที่สุดของการจัดการองค์กรต้องร่วมการรู้จักเอื้ออำนาจในทางปฎิษัติงาน การเอื้ออำนาจความรับผิดชอบรวมทั้งการประเมิลผล 360 องศา การรู้จักเอื้ออำนาจในทางปฎิษัติงานก็ดี คือการลดระดับการเหลื่อมล้ำทางตำแหน่ง เปลี่ยนเปลงบุพบทองค์การ พนังงานทุกระดับชั้นต้องสนับสนุนองค์ประกอบของงานด้วยตัวเอง เช่น ถ่ายเอกสาร ส่งแฟ็ก จดรายงานการประชุมด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ชงกาแฟดื่มเอง และให้อิสระในการแต่งกายมาทำงาน และให้สิทธิในการมีส่วนร่วมตัดสินใจในเรื่องของเงินเดือน ระเบียบวินัย และการประเมิลตนเองนั่นก็คือนิยามย่อยๆของการรู้จักเอื้ออำนาจในทางปฎิษัติงาน การเอื้ออำนาจความรับผิดชอบคือการแบ่งอำนาจหน้าที่จากผู้บริหารสู่พนักงานให้มีส่วนร่วมในวาระของงานมากขึ้นโดยไม่ลดอำนาจของผู้บริหาร พร้อมทั้งหนุนนำแนวความคิดที่มีมิติให้กลายเป็นนวัตกรรมใหม่ๆต่อองค์กร สุดท้ายการประเมิลผล 360 องศานั้นเป็นส่วนเพิ่มเติมความสมบรูณ์ต่อปัจเจกองค์กร การประเมิลผลนั้นเป็นระเบียบที่แต่ละองค์กรกำหนดขึ้น บางองค์กรวัดจากผลประกอบการ วัดจากลูกค้า วัดจากการหน่วยผลิต วัดจากต้นทุน วัดจากประสิทธิภาพพนักงานโดยจากทักษะและความรู้ในงานถ้าให้เข้าใจง่ายๆการประเมิลผล 360องศาคือการประเมิลผลในทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมในการขับเคลี่อนองค์กรผู้เขียนมีความขัดแย้งต่อหลายๆแนวคิด เหตุผลใดบุคคลากรมักชอบถูกมองว่ามีบทบาทน้อยในองค์กรทั้งที่บุคคลากรหนึ่งสามารถสวมบทบาทเป็นผู้ผลิต เป็นผู้ขาย เป็นผู้ซื้อก็ได้ เป็นนักโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือเป็นนักวิจารณ์ให้กับผลิตภัณฑ์ก็ได้ (word by word) การได้เปรียบเชิงการแข่งขันนั้นเป็นที่ต้องการขององค์กรทั่วไปที่จะใช้ในการเหนือนำคู่แข่งและลดอำนาจซัพพลายเออร์ ทั้งยังต้องจำแนกกลยุทธ์การขายให้ชัดเจนว่าต้องการขายใคร? ขายที่ใหน? ขายเท่าไร? ขายอย่างไร? คนอื่นขายเหมือนเราใหม? พอขายแล้ว ดูว่าคนซื้อเป็นใคร? ซื้อแล้วรู้สึกอย่างไร? ซื้อแล้วมีโอกาสซื้อซ้ำหรื่อเปล่า? ซื้อแล้วได้ใช้ประโยชน์หรื่อเปล่า? ใช้แล้วคิดอย่างไรบ้าง? พอใจหรือไม่พอใจ? ใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นสมรรถนะหลักขององค์กร (Core Competencies) ในการขับเคลื่อน โดยที่ตัวองค์กรเองต้องไม่หยุดนิ่งในการพัฒนากลยุทธ์ซึ่งเรียกว่า นวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ นวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ แตกต่างจาก Reengineering ตรงที่ นวัตกรรมเชิงกลยุทธ์เป็นเพียงแค่การปรับเปลี่ยนจุดเล็กน้อยในองค์กรเท่านั้นไม่มากมายเหมือน Reengineering ทั้งนี้ก็พร้อมที่ก้าวเข้าสู่เป้าประสงค์ขององค์กร องค์กรต้องกำหนดพันธกิจให้ชัดเจนรู้ว่าเป้าประสงค์คืออะไร แล้วก็ถึงเวลาในการวัดผล ในปัจจุบันนี้มีเครื่องมือหลากหลายชนิดที่ใช้ในการวัดผล เช่น Balanced Scorecard เป็นเครื่องที่วัดได้หลายมิติทางด้านการเงิน, การตลาด, นวัตกรรมผลิตภัณฑ์, ลูกค้า แต่สิ่งที่องค์กรต้องพึงระลึกไม่ใช่แค่เพียงการวัดผลให้ได้ผลเท่านั้น ทั้งหมดทั้งมวลผู้เขียนได้พรรณาถึง การจัดการองค์กรในหลายๆมิติที่เน้นในเรื่องของการผลิต บุคลากร ผลิตภัณฑ์ และการตลาด แต่สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้คือ ผู้บริหาร ผู้บริหารมักถูกวาดภาพว่าเป็นผู้ที่บรรลุแล้วถึงหลักในการบริหารนั่นเป็นการเข้าใจที่คาดเคลี่อน มีความถูกต้องเป็นบางส่วนว่าผู้บริหารต้องเป็นผู้มีภูมิปัญญา ทักษะทางสังคม วาจาน่าเคารพ แต่ในหลักการการบริหารธุรกิจที่รอบคอบการบริหารจัดการผู้ที่มีความสามารถสูงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทั้งในด้านเทคโนโลยี การจัดองค์กร ปัจเจกบุคคล สังคม ผู้บริโภคและตลาด สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบซึ่งกันและกันเอง ผู้บริหารต้องเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงและคงสภาพองค์กรไว้ให้ได้ จัดการผู้ที่มีความสามารถสูงมีไว้เพื่อให้ผู้บริหารตื่นตัว รู้จักพัฒนาการตัดสินคุณค่าระหว่างเสริมสร้างให้ผู้ใต้บังคับบัญชายึดถือยึดมั่นต่อหน้าที่และเป้าหมายขององค์กรเน้นการทำงานเป็นทีมมากกว่าการทำงานเดี่ยว รู้จักจัดการกับอารมณ์และความเครียด พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และตนเอง มากกว่าการมุ่งเน้นการควบคุม องค์กรที่รับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ถึงแม้องค์กรยังสามารถดำรงอยู่ได้แต่ก็ไร้การพัฒนาเสถียรภาพจากเนื้อความข้างต้นผู้เขียนกระเทาะความคิดได้ว่าสิ่งที่ผู้บริหารควรจัดการตัวเองคือ เท่านี้องค์กรก็จะเป็นองค์กรที่สมบรูณ์ทั้งระบบ คน ของ เงิน ตลาด ที่เหลือก็คงเป็นองค์ประกอบร่วมขององค์กรคือ จริยธรรม ศีลธรรม มานะ อุตสาหะ ซื่อสัตย์ ที่จะทำให้องค์กรเป็นองค์กร สาระสำคัญของการจัดการก็คือต้องวัดผลได้ เพราะการวัดผลสื่อได้ถึงกลยุทธ์ กลยุทธ์สื่อได้ถึงระบบ ระบบสื่อได้ถึงการจัดการ สิ่งที่ผู้เขียนพยายามสื่อสารออกมาเป็นภาษาง่ายเปรียบเปรยเช่นการจัดการก็เหมือนนิ้วมือมนุษย์สั้นยาวไม่เท่ากันก็จริงแต่มีความสำคัญกับมนุษย์เท่ากันทุกนิ้ว เหมือนกับระบบในองค์กรไม่มีฝ่ายใหนสำคัญกว่าฝ่ายใหน แนวคิดของนักคิดหลายท่านๆมีจุดประสงค์องค์รวมเหมือนกันหมดแต่ต่างที่การให้ความสำคัญแต่ละภาคส่วน บางท่านให้ความสำคัญกับบุคคลากร บางท่านก็ให้ความสำคัญกับการผลิต การตลาด หรือการวัดผล ซึ่งผู้เขียนมองเป็นการดึงความสามารถที่โดดเด่นของแต่ละภาคส่วนออกมา กระนั้นผู้เขียนได้กำหนดการจัดการขั้นพื้นฐานในมุมมองของผู้เขียน ผู้เขียนมองว่า การจัดการองค์กรคือ มักมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่าผู้ที่จะทำงานด้านการจัดการได้ดีนั่นจำเป็นต้องจบ MBA เสมอไปหรือเปล่า? ผู้เขียนคิดว่าไม่จำเป็นเสมอไป มีผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่านที่ไม่ได้จบการจัดการโดยตรง เช่น คุณตัน โออิชิ แต่ก็ประสบความสำเร็จได้ ความพยายามรับรู้สิ่งใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วและเข้าในสิ่งที่เป็นของเงื่อนธุรกิจต่างหากเป็นตัวชี้บ่ง ทักษะทางด้านการจัดการของผู้บริหารที่ดีมีนัยอยู่ 4 ประกอบ ส่วนที่ 1 คือส่วนของตัวบุคคลเช่น ความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ (Determination), การมองโลกในแง่บวก (Positive Thinking), การมีความชอบและสนใจในงานที่ทำอย่างจริงจัง (Passion), และความทุ่มเทเอาใจใส่ในทุกกระบวนการทำงาน (Devotion) ส่วนที่ 2 คือ การมุ่งไปสู่จุดสำคัญของการปฏิบัติงานที่จะทำให้เกิดผลคือ การสร้างสมดุลระหว่างความพึงพอใจของคนทำงานกับผลของงาน, การมุ่งไปที่การสร้างและปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กรที่เหมาะสมกับเป้าหมายของการทำงาน, การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ, การคัดเลือก พัฒนาและรักษาบุคลากรที่มีคุณธรรมและคุณภาพ, การประชุมที่มีส่วนร่วมและมีประสิทธิผลและสุดท้ายการมีระบบการให้การยอมรับ,การตอบแทนและการจูงใจที่ดี ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นจุดเล็กๆที่จะเชื่อมประสานให้กระบวนการบริหารจัดการหลักอื่นๆ เช่น การวางแผน, การงบประมาณ, การอำนวยการ, การปฏิบัติงาน, การควบคุม และการติดตามงาน นั้นสำเร็จและเป็นไปได้ด้วยดี บทสรุป แต่จะอย่างไรก็ตามการจัดการเป็นในหนึ่งของหลายๆภาคส่วนธุรกิจ ผู้บริหารยังต้องส่องกระจกอีกหลายด้านกว่าจะสะท้อนปัญหาทางธุรกิจได้ครบ เมื่อประสบปัญหาทุกครั้งผู้บริหารส่วนใหญ่มักพูดกับตัวเองว่า เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ มากกว่าเราจะผ่านมันอย่างไร คำพูดนี่อาจดูแปลกๆในหลายมุมมอง บางคนอาจมองว่าไม่แก้ไขในทันทีแล้วจะมันผ่านไปได้ไง มัวมานั่งคิดเราจะต้องผ่านมันไปให้ได้แล้วเมื่อไรล่ะ ลองพิจารณาดูดีๆนะค่ะ คำว่าเราจะต้องผ่านมันไปให้ได้ เป็นการส่งพลังทางใจผ่านคำพูด ซึ่งอาจเหมาะสมกับสถาณกราณ์ในบางองค์กรไม่ได้หมายถึงว่าคิดแต่ไม่ทำ แต่คำว่า เราจะผ่านมันอย่างไร เป็นการส่งการกระทำผ่านคำพูด ต้องบอกก่อนทั้งสองคำนี้เหมาะสมกับการจัดการทั้งสองคำเพียงแต่ต่างกันตรงสถานกราณ์เฉพาะหน้าที่แต่ละองค์กรประสบอยู่ ดังนั้นพลังใจควรมาพร้อมพลังกาย ถึงจะส่งผลสัมฤทธ์ในระยะยาว ผู้บริหารทุกคนย่อมมีเจตจำนงค์ที่ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคทุกรูปแบบเพื่อให้องค์กรของตัวเองนั่นแปรสภาพจากองค์กรที่ดีสู่องค์กรที่ยังยืนและเป็นองค์กรอมตะ แต่จะมีเรือเดินทะเลซักกี่ลำที่จะรอดผ่านพายุที่เหมือนตั้งใจซัดให้เรือคว่ำอยู่ร่ำไป ถึงต้องคอยมียามชายฝั่งคอยรายงานระดับพายุอยู่เสมอๆก็ไม่ต่างอะไรกับการเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาและอุปสรรคที่ไม่ทราบจะมาเมื่อไรและรุนแรงเพียงใด ระบบการจัดการต่างๆก็เหมือนยามที่บอกสถานะความรุนแรงให้รับรู้และพร้อมรับมือเสมอ. เอกสารอ้างอิง หนังสือ Key management ideas by Stuart Crainer หนังสือ Good to Great by Jim Collins บทความแนวคิดและความหมายของการบริหารและการบริหารจัดการ วิรัช วิรัชนิภาวรรณ www.ebook9.com บทความความคิดพื้นฐานการพัฒนาคนและองค์กร www.csc.co.th บทความผู้นำกับคนเก่ง www.thaiboss.com ดร.มิชิตา จำปาเทศ รอดสุทธิ บทความ SME กับการบริหารงาน www.moodythai.com
4491
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4491
เดอะซิมส์ 2/ดาวน์ทาวน์
ดาวทาวน์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับซิมที่ชอบเที่ยวกลางคืน คุณสามารถชวนเพื่อนไปเที่ยวที่ผับ ร้านอาหารได้ จะมีแสงสีเสียง เครื่องเล่นใหม่ๆเพิ่มเข้ามา แล้วคุณยังมีโอกาสพบแวมไพร์ได้ที่นี่อีกด้วย<table class="navbox " cellspacing="0" style="background:#f0f8ff;"><tr><td style="padding:2px;"><table cellspacing="0" class="nowraplinks collapsible " style="width:100%;background:transparent;color:inherit;;"><tr><th style=";background:#6495ed" colspan=2 class="navbox-title">ด • อ • [ก]  คู่มือเกมเดอะซิมส์ 2</th></tr><tr style="height:2px;"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2 ภาคหลัก </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> ความต้องการ · ทักษะ · ซิมโมโลจี · ช่วงวัย · พื้นที่ส่วนกลาง · สายอาชีพ · โรงเรียน · ของรางวัลแห่งอาชีพ · หายนะ โรคภัย และความตาย · NPC · ปฏิสัมพันธ์ · มนุษย์ต่างดาว </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2/เดอะซิมส์ 2 มหาลัยวัยฝัน </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> อำนาจชักชวน · ช่วงวัยมหาลัย · ความปรารถนาตลอดชีวิต · มหาวิทยาลัย · การศึกษาในมหาวิทยาลัย · การอาศัยในมหาวิทยาลัย · ซอมบี้ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2/เดอะซิมส์ 2 คืนหรรษา </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> ดาวน์ทาวน์ · ความดึงดูดใจและองศาความปิ๊ง · กิจกรรมนอกบ้าน · การออกเดท · กลุ่ม · แวมไพร์ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2/เดอะซิมส์ 2 เปิดธุรกิจเนรมิตฝัน </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> เหรียญรางวัล · ธุรกิจภัตตาคาร · หุ่นยนต์ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2/เดอะซิมส์ 2 ตัวโปรดจอมป่วน </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> มนุษย์หมาป่า · การกำเนิดของสัตว์เลี้ยงและพันธุกรรม </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2/เดอะซิมส์ 2 สี่ฤดูแสบ </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> การทำสวนและการตกปลา · มนุษย์ต้นไม้ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2/เดอะซิมส์ 2 ทริปซ่าส์ </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> สถานที่พักร้อน · บิ๊กฟุต </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2/เดอะซิมส์ 2 สนุกจังยามว่าง </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> ความสนใจงานอดิเรก · ปณิธานตลอดชีวิต · จินนี่ </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;"> เดอะซิมส์ 2/เดอะซิมส์ 2 ร่วมหอ (ไม่) ลงโรง </td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-odd"> พ่อมด, แม่มด </td></tr><tr style="height:2px"><td></td></tr><tr><td class="navbox-group" style=";background:#87ceeb;">ดูเพิ่ม</td><td style="text-align:left;border-left-width:2px;border-left-style:solid;width:100%;padding:0px;;;" class="navbox-list navbox-even"> รายชื่อสิ่งของในโหมดซื้อ · รายชื่อสิ่งของในโหมดสร้าง · สูตรโกง· บอดี้ช็อป [ แก้ไข] </td></tr></table></td></tr></table>
4492
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4492
เดอะซิมส์ 2/แวมไพร์
แวมไพร์ เป็นตัวละครใน เดอะซิมส์ภาคเสริม ไนท์ไลฟ์ คืนหรรษา ลักษณะ. มีผิวสีซีด ตาสีแดง และมีเขี้ยว ความต้องการ. แวมไพร์มีความต้องการทุกด้านเหมือนชาวซิมส์ปกติ คือ ความหิว ความสะดวกสบาย ขับถ่าย พลังงาน ความสนุก สังคม สุขอนามัย และสภาพแวดล้อม คำสั่งเฉพาะ. สามารถใช้คำสั่ง ยั่วโมโห –> แบร่!!! กับชาวซิมส์คนอื่น ๆ ชาวซิมส์ปกติที่ไม่ใช่แวมไพร์หาถูกหลอกอาจฉี่ราดได้ หากหลอกแวมไพร์จะถูกหลอกกลับ การตาย. แวมไพร์จะตายได้เมื่ออยู่กลางแจ้งนานเกินไป ความต้องการทุกด้านจะลดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจะมีควันออกจากตัวและไหม้เป็นเถ้าถ่าน การกลายเป็นแวมไพร์. ต้องให้ชาวซิมส์ปกติทำความสัมพันธ์กับแวมไพร์ให้ได้มาก ๆ เมื่อสนิทกับแวมไพร์แล้ว แวมไพร์จะกัดชาวซิมส์และจะชาวซิมส์คนนั้นจะกลายเป็นแวมไพร์ในทันที กรณีที่ชาวซิมส์มีปณิธานแห่งความรู้และมีทักษะด้านเหตุผลในระดับสูง มีโอกาสสูงที่แวมไพร์จะกัดชาวซิมส์คนนั้นแม้ว่าความสัมพันธ์จะต่ำ การกลายเป็นคนปกติ. ชาวซิมส์ที่เป็นแวมไพร์สามารถกลับมาเป็นชาวซิมส์ปกติได้โดยการซื้อยาแวมไพรซิลลินจากยิปซีจอมจับคู่ หรือได้จากการผสมยาของพ่อมดและแม่มด (ในกรณีที่มีภาคเสริม ร่วมหอ (ไม่) ลงโรง)
4507
1703
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4507
การยืดออกของเวลา
เวลาในโลกมีหน่วยเป็นวินาที(second)และในดาวอังคารก็มีหน่วยของเวลาเป็นวินาทีเช่นกัน เปรียบเทียบกันได้เท่ากัน ไม่ได้รวมปัจจัยใด หากเปรียบลักษณะที่ตั้ง ระยะทาง และระยะห่างจากดวงอาทิตย์ ดาวบริวาร ขนาดของดาวอังคาร และอื่นๆ มีสิ่งต่างกันดังนี้ หน่วยเวลา 1 วินาที ในโลก และ 1 วินาที ในดาวอังคาร สังเกตว่าเท่ากัน เมื่อการวัดกันอย่างนี้เราถือว่าเท่ากัน เพียงมีแต่ช่วงของอวกาศเท่านั้นที่แตกต่างกัน ทำให้เวลาของสองสถานที่นี้ไม่สามารถเท่ากันได้ ช่วงอวกาศคือช่วงระยะที่ไม่สามารถมองเห็นได้เป็นลักษณะของการเคลื่อนที่ของพลังงาน มีบางจุดของอวกาศเท่านั้นที่จะมีแหล่งพลังงานที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยเปรียบเทียบได้เมื่อ เทียบกับดาวเคราะห์บางดวงที่สังเกตได้ถึงความแตกต่างก็ความสมดุลของตำแหน่งการเคลื่อนที่ใน อวกาศได้แก่ ดาวพูลโต ดาวหางบางชนิด รวมถึง ดาวเสาร์ ซึ่งมีความต่างที่ชัดเจนทื่สุด
4537
12231
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4537
ต้อกระจกและต้อหินในสุนัข
ต้อกระจก เป็นโรคที่เกิดขึ้นที่แก้วตา(เลนส์) และถุงหุ้มแก้วตา แก้วตาปกติมีลักษณะเป็นเลนส์นูน ใส โปร่งแสง มีความโค้งนูนทั้ง 2ด้าน มีหน้าที่สำคัญร่วมกับการกระจกตาในการรวมแสงไปโฟกัสบนจอตาหรือเรติน่า ความผิดปกติของแก้วตาหรือเลนส์ตาที่มีลักษณะ ขุ่น ขาว ผิดไปจากธรรมดาไม่ว่าที่ตำแหน่งใดหรือจากสาเหตุใด ก็ตามเรียกว่า ต้อกระจก เจ้าของสัตว์ส่วนใหญ่พาสัตว์เข้ามารับการรักษา เนื่องจากสังเกตเห็นแก้วตาที่ขุ่นขาว ภายในลูกตาและจะเห็นได้ชัดเจน เวลาที่สัตว์อยู่ในที่ๆมีแสงน้อย และเวลากลางคืน ทั้งนี้เป็นผลมาจากรูม่านตา ของสัตว์จะหดและขยายออก ตามความเข้มของแสงสว่าง ในสถานที่ๆมีแสงน้อยและเวลากลางคืนรูม่านตาจะขยายออกเพื่อเปิดรับแสงให้มากขึ้นทำให้เจ้าของสัตว์สามารถมองเห็นแก้วตาและความผิดปกติได้ชัดเจน กว่าในตอนกลางวันหรือที่ๆมีแสงจ้าโดยทั่วไปสัตว์ป่วยมักจะไม่แสดงอาการผิดปกติให้เห็นยกเว้น ในรายที่เป็นทั้ง2ตา และต้อกระตกอยู่ในระยะที่ขุ่นตัวเต็มที่ เจ้าของจะสังเกตเห็นแก้วตามีสีขาว พฤติกรรมของสัตว์เปลี่ยนแปลงไม่ร่าเริง เดินชนสิ่งของ ไม่กล้าลงบันได เป็นต้น การรักษาต้อกระจกที่ให้ผลดีที่สุดคือ การผ่าตัดเพื่อนำแก้วตาที่เสื่อมสภาพออกแล้วใส่แก้วเทียมให้กับสัตว์ป่วย ในปัจจุบันได้มีการนำเทคนิคการผ่าตัดสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียง ความถี่สูง ซึ่งเป็นวิธีการรักษาเช่นเดียวกันกับการรักษาในคนมาใช้กับสัตว์และประสบผลสำเร็จ ต้อหินคือ กลุ่มอาการของความผิดปกตินี้เกิดขึ้นต่อดวงตาทั้งส่วนที่แสดงให้เห็นภายนอก คือการเพิ่มขึ้นของความดันภายในลูกตาและความเสียหาย ภายในที่เกิดขึ้นของขั้วประสาทตาและจอตา โดยในระยะแรกความดันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดความเสียหายที่ขั้วประสาทตา ก่อนส่งผลให้ลานสายตาค่อยๆ แคบลงหากไม่ได่รับการแก้ไขออย่างทันท่วงที ความดันภายในลูกตาที่เพิ่มขึ้นจะก่อให้เกิดความเสียการมองเห็น ในที่สุด ความดันภายในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นจากระดับปกติเป็นผลมาจากความไม่สมดุลของการผลิต และการระบายของสารน้ำในลูกตาซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ มาจากการระบายอาการของสุนัขที่เป็นต้อหินจะผันแปรตามความรุนแรง และระยะเวลาที่ความดันภายใน ลูกตาสูงขึ้นและสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติ อาการแสดงแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ 1 แบบเฉียบพลัน 2 แบบเริ้อรัง โดยสรุปคือ ในรายเฉียบพลันจะเห็นสัตว์แสดงอาการปวดตา มีน้ำตาไหล ตาข้างที่เป็นแสดงอาการกลัวแสง และหนังตาที่3ยื่น เยื่อตาขาวแดง กระจกตาอาจจะยังปกติอยู่หรืออาจขุ่นเล็กน้อย จากการบวมน้ำ ส่วนการมองเห็นขึ้นอยู่กับความดันลูกตาที่สูงขึ้น ส่วนในรายเรื้อรังซึ่งเป็นอาการแสดงที่พบในสัตว์ส่วนใหญ่ ที่เข้ามารับการรักษาจะพบลักษณะกระจกตาขุ่นอย่างชัดเจนเยื่อตาขาวแดง ตาโปนใหญ่ สัตว์สูญเสียการมองเห็น การรักษาการมองเห็นของสัตว์ โดยการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับขั้วประสาทตา และ จอประสาทตา คือ จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการรักษาต้อหินการรักษาประกอบไปด้วยการรักษาทางยาและการผ่าตัด การพิจารณาเลือกวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของต้อหิน
4543
1703
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4543
Augmented Reality Markup Language for wikitude
ARML (Augmented Reality Markup Language) คือภาษาที่ทำให้ผู้พัฒนา application จัดการเนื้อหาที่แสดงบนเว็บเบราว์เซอร์ของโทรศัพท์มือถือได้หลากหลาย โดยสร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ KML เพราะ KML ไม่ให้ผู้ใช้งานเข้าถึงตัวโปรแกรมหลักได้ ไม่สามารถแก้ไขหรือเพิ่มข้อมูลเอง ขาดส่วนเสริมที่สำคัญไป และเว็บเบราว์เซอร์แรกที่รองรับ ARML คือ wikitude ARML Structure. ARML ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือส่วนผู้ให้บริการเนื้อหา(Content Provider Section) และส่วนกำหนดพิกัดที่สนใจ (POI section) Empty ARML Document. ตัวอย่าง tag จะสังเกตได้ว่าได้มีการแบ่ง ARML ออกเป็น 3 ชั้นด้วยกัน หากว่าพบ tag ในส่วนที่คล้ายกันในหลายๆ เว็บเบราว์เซอร์แล้ว ก็จะถูกนำมาเก็บไว้ในชั้น AR เป็นไปได้ว่าในอนาคต จะสามารถนำส่วนของชั้น AR มาเก็บไว้ในชั้น KML ได้บ้าง Content Provider Section. คือส่วนที่ที่จัดการเนื้อหาของผู้ให้บริการ เช่น สัญลักษณ์ เว็บไซต์ ชื่อ คำอธิบาย เป็นต้น Tag สำหรับ wikitude ส่วนเนื้อหาของผู้ให้บริการ Point of interested section. คือ จุดที่สนใจ (POI) คือพิกัดของผู้ให้บริการนั่นเอง จะเป็นในรูปของ พิกัด ลองจิจูด ละติจูด จะมีอัลติจูดจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง จุดที่สนใจจะต้องเชื่อมต่อกับส่วนเนื้อหาของผู้ให้บริการ Tag สำหรับ wikitude ในส่วนจุดที่สนใจจะคล้ายกับส่วนของเนื้อหาผู้ให้บริการ แต่จะมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น Create an ARML file. วิธีการสร้าง ARML สามารถทำได้โดย แปลง KML ไฟล์เป็น ARML ไฟล์. การแปลง KML เป็น ARML เป็นขั้นตอนที่ง่าย โดยการเปิด ไฟล์ KML ที่ถูกสร้างไว้ในโปรแกรมแก้ไขข้อความและลบทุกส่วนออก เหลือไว้เพียงส่วนจุดที่สนใจ หรือ <Placemarks> มีขั้นตอนหลัก 3 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ลบส่วนที่ Comment ออกจาก KML เดิม ส่วนของ Namespace gx หรือ atom เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น หรือลบทุกอย่างยกเว้นชื่อ คำอธิบาย และจุดพิกัด ขั้นตอนที่ 2 เพิ่มส่วนของ wikitude ลงไปดังสีเขียวใน tag หรือในส่วนของ <ar:provider> เพื่อโยงกันระหว่างส่วนเนื้อหาและส่วนพิกัดที่สนใจ ขั้นตอนที่ 3 เพิ่มรายละเอียดข้อมูลของ ARML หรือเพิ่ม thumbnail phone email address url attachment ดังเช่น ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง. Augmented Reality (AR) หรือโลกเสมือนผสานโลกจริง เป็นการนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (Virtual Reality) ผสมรวมกับ เทคโนโลยีภาพ ตอบสนองกันแบบ real-time ทำให้เกิดภาพ 3D โดยการแสดงผลผ่านหน้าจอ ARMLก็เป็นภาษาหนึ่งที่รองรับโลกเสมือนผสานโลกจริง โดยเป็นตัวจัดการส่วนประกอบต่างๆ ของระบบ AR KML หรือ Keyhole Markup Language คือไวยากรณ์และรูปแบบไฟล์ XML สำหรับการทำโมเดลและการจัดเก็บคุณลักษณะทางภูมิศาสตร์ เช่น จุด เส้น ภาพ รูปหลายเหลี่ยม และโมเดลสำหรับแสดงผลเช่น Google Earth และ Google Maps ซึ่งส่วนหนึ่งของ KML ได้ถูกนำมาพัฒนาขึ้นเป็น ARML บทสรุป. Tim Berners-Leeได้สร้างมาตรฐาน HTML ขึ้นมาเป็นคนแรก หลังจากนั้น 20 ปี HTML ได้กลายมาเป็นภาษาหลักของการสร้าง เว็บเพจ หากมองในรูปแบบการพัฒนาที่เป็นในเชิง code โลกเสมือนผสานโลกจริงได้เดินมาในทางเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องการที่จะทำให้ ARML เป็นมาตรฐานในการจัดการเนื้อหาของ AR และให้ ARML เป็นภาษาหลักซึ่งรองรับทุก AR เว็บเบราว์เซอร์ไม่ใช่เพียงแค่ wikitude เท่านั้น โดย ข้อมูลนี้จะมีส่วนร่วมในการผลักดัน ARMLแต่ต้องอาศัยทั้งสังคม และกลุ่มผู้พัฒนา เพื่อจะได้การยอมรับ จึงจะทำให้บรรลุเป้าหมาย
4548
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4548
การพัดพาตะกอนโดยลมและน้ำ
การพัดพาตะกอนโดยลม (Eolian transportation). ตะกอนที่จะถูกพัดพาโดยลมจะเป็นตะกอน ที่มีขนาดเล็กและเบา หรือเป็นผงละเอียดขนาดที่ลมจะสามารถพัดพาไปได้ จะทำให้เห็นเป็นลักษณะของ deflation ดังรูปที่ 1 ถูกพัดพามาจากบริเวณที่มีความแห้งแล้ง ตะกอนเกาะกันไม่หนาแน่น หรือเกิดจากการพัดเถ้าถ่านที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟที่ตกลงสู่พื้นดินหรือล่องลอยไปใน อากาศ อาจจะถูกลมพัดพาลงสู่มหาสมุทรได้ ตะกอนที่จะถูกพัดพาโดยลมจะสามารถถูกพัดพาไปได้ไกลมากๆ จนพัดพาข้ามทวีปได้ ตะกอนที่มากับตัวกลางแบบนี้จะพบมากบริเวณระหว่างละติจูด 30 องศาเหนือและใต้ ซึ่งเป็นเขตแห้งแล้งมีภูเขาและทะเลทราย การพัดพาตะกอนโดยน้ำ (Alluvium transportation). ตะกอนที่เกิดจากการกัดเซาะโดยความแรง และความเร็วของน้ำ และถูกพัดพาโดยมีอัตราการไหลที่มีความแรงพอที่จะพาตะกอนขนาดต่าง ๆ ไปได้ ตะกอนที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากจะเคลื่อนที่ไปได้ไม่ไกลนัก ส่วนตะกอนที่มีขนาดเล็กและสารแขวน ลอยต่าง ๆ จะถูกพัดพาไปพร้อมกับการไหลของน้ำ และจะไปตกสะสมในบริเวณที่ๆ มีความเร็วและความแรงของน้ำน้อยมากๆ โดยตะกอนในลักษณะนี้จะมีความหลากหลายในเรื่องของแหล่งกำเนิดมาก เพราะมีการพัดมามาจากแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกันไป
4552
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4552
ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า/การแปลงลาปลาซ/Transfer Functions
ฟังก์ชันการถ่ายโอน. ฟังก์ชันการถ่ายโอน (หรือที่เรียกว่าฟังก์ชันระบบ หรือฟังก์ชันเครือข่าย) เป็นตัวแทนทางคณิตศาสตร์ในแง่ของความถี่เชิงพื้นที่หรือความถี่ชั่วขณะเวลาของความสัมพันธ์ระหว่างอินพุทและเอาท์พุทของระบบเวลาเชิงเส้นคงที่กับเงื่อนไขเริ่มต้นศูนย์และสมดุลจุดศูนย์ โดยในส่วนของอุปกรณ์ถ่ายภาพแสง ยกตัวอย่างเช่นมันเป็นการแปลงฟูริเยร์ของฟังก์ชั่นการแพร่กระจายจุด (เพราะฉะนั้นก็คือฟังก์ชันของความถี่เชิงพื้นที่) คือการกระจายความเข้มที่เกิดจากการเล็งหาวัตถุในด้านการมองเห็น
4554
11997
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4554
ภาษาจีน/สรรพนาม
คำสรรพนามในภาษาจีนมีอยู่ด้วยกันไม่น้อย สามารถจำแนกระดับฐานะของบุคคลได้ ตามคำสรรพนามที่ใช้ สรรพนาม. ฉัน,ผม. 我 หว่อ เธอ,คุณ. 你 หนี่ เขา(ผู้ชาย)เขา(ผู้หญิง). 他,她 ทา,ทา เรา. 我们 อั่วเมิน พวกเธอ. 你們,หนี่เมิน พวกเขา,พวกมัน. 他們,她們 ทาเมิน,ทาเมิน
4590
3075
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4590
การจัดการองค์ความรู้
ทฤษฎีพื้นฐานด้านการจัดการความรู้ (Theory in Knowledge Management) ศท.ดร.701(952701) บทนำ. การจัดการความรู้และแนวคิดเกี่ยวกับความรู้ - 张宏菊(Zhang hongju) รูปแบบการจัดการองค์ความรู้โดยปกติจะถูกจัดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรและประสงค์ที่จะได้ผลลัพธ์เฉพาะด้าน เช่น เพื่อแบ่งปันภูมิปัญญา,เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, เพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน, หรือเพื่อเพิ่มระดับนวัตกรรมให้สูงขึ้น แผนผังอิชิกะวะ (Ishikawa diagram) หรือแผงผังก้างปลา (หรือในชื่ออื่นของไทยเช่น ตัวแบบทูน่า หรือตัวแบบปลาตะเพียน) เป็นกรอบแนวคิดอย่างง่ายในการจัดการความรู้ โดยให้การจัดการความรู้เปรียบเสมือนปลา ซึ่งประกอบด้วยส่วนหัว ลำตัว และหาง แต่ละส่วนมีหน้าที่ที่ต่างกันดังนี้: สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ในประเทศไทย ได้พัฒนาตัวแบบทูน่าเป็น "ตัวแบบปลาตะเพียน" โดยมองว่าองค์การมีหน่วยงานย่อย ซึ่งมีความแตกต่างกัน รูปแบบความรู้แต่ละหน่วยจึงต้องปรับให้เหมาะสมกับบริษัทของตน แต่ทั้งฝูงปลาจะหันหน้าไปทิศทางเดียวกัน กรอบความคิดของ Holsapple Holsapple ได้ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับพัฒนาการของแนวคิดของการจัดการความรู้ 10 แบบมาประมวลซึ่งแสดงถึงส่วนประกอบของการจัดการความรู้ (KM elements) เพื่อนำไปจัดระบบเป็นองค์ประกอบหลัก 3 ด้านของการจัดการความรู้ (Three-fold framework) ได้แก่ ทรัพยการด้านการจัดการความรู้ กิจกรรมการจัดการความรู้ และอิทธิพลของการจัดการความรู้ และให้ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ให้ข้อคิดเห็น วิจารณ์และข้อเสนอแนะ ได้ผลออกมาเป็นกรอบความร่วมมือ (Collaborative Framework) การจัดการความรู้ หรือเคเอ็ม (KM = Knowledge Management) คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ 1) ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้งจึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม 2) ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ระบุว่าการจัดการความรู้สามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ 1) บรรลุเป้าหมายของงาน 2) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน 3) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรเรียนรู้ 4) บรรลุความเป็นชุมชน เป็นหมู่คณะ ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน การจัดการความรู้เป็นการดำเนินการอย่างน้อย 6 ประการต่อความรู้ ได้แก่: โดยที่การดำเนินการ 6 ประการนี้บูรณาการเป็นเนื้อเดียวกัน ความรู้ที่เกี่ยวข้องเป็นทั้งความรู้ที่ชัดแจ้ง อยู่ในรูปของตัวหนังสือหรือรหัสอย่างอื่นที่เข้าใจได้ทั่วไป (Explicit Knowledge) และความรู้ฝังลึกอยู่ในสมอง (Tacit Knowledge) ที่อยู่ในคน ทั้งที่อยู่ในใจ (ความเชื่อ ค่านิยม) อยู่ในสมอง (เหตุผล) และอยู่ในมือ และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (ทักษะในการปฏิบัติ) การจัดการความรู้เป็นกิจกรรมที่คนจำนวนหนึ่งทำร่วมกันไม่ใช่กิจกรรมที่ทำโดยคนคนเดียว เนื่องจากเชื่อว่า “จัดการความรู้” จึงมีคนเข้าใจผิด เริ่มดำเนินการโดยรี่เข้าไปที่ความรู้ คือ เริ่มที่ความรู้ นี่คือความผิดพลาดที่พบบ่อยมาก การจัดการความรู้ที่ถูกต้องจะต้องเริ่มที่งานหรือเป้าหมายของงาน เป้าหมายของงานที่สำคัญ คือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ ที่เรียกว่า Operation Effectiveness และนิยามผลสัมฤทธิ์ ออกเป็น 4 ส่วน คือ 1) การสนองตอบ (Responsiveness) ซึ่งรวมทั้งการสนองตอบความต้องการของลูกค้า สนองตอบความต้องการของเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้น สนองตอบความต้องการของพนักงาน และสนองตอบความต้องการของสังคมส่วนรวม 2) การมีนวัตกรรม (Innovation) ทั้งที่เป็นนวัตกรรมในการทำงาน และนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการ 3) ขีดความสามารถ (Competency) ขององค์กร และของบุคลากรที่พัฒนาขึ้น ซึ่งสะท้อนสภาพการเรียนรู้ขององค์กร และ 4) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ซึ่งหมายถึงสัดส่วนระหว่างผลลัพธ์ กับต้นทุนที่ลงไป การทำงานที่ประสิทธิภาพสูง หมายถึง การทำงานที่ลงทุนลงแรงน้อย แต่ได้ผลมากหรือคุณภาพสูง เป้าหมายสุดท้ายของการจัดการความรู้ คือ การที่กลุ่มคนที่ดำเนินการจัดการความรู้ร่วมกัน มีชุดความรู้ของตนเอง ที่ร่วมกันสร้างเอง สำหรับใช้งานของตน คนเหล่านี้จะสร้างความรู้ขึ้นใช้เองอยู่ตลอดเวลา โดยที่การสร้างนั้นเป็นการสร้างเพียงบางส่วน เป็นการสร้างผ่านการทดลองเอาความรู้จากภายนอกมาปรับปรุงให้เหมาะต่อสภาพของตน และทดลองใช้งาน จัดการความรู้ไม่ใช่กิจกรรมที่ดำเนินการเฉพาะหรือเกี่ยวกับเรื่องความรู้ แต่เป็นกิจกรรมที่แทรก/แฝง หรือในภาษาวิชาการเรียกว่า บูรณาการอยู่กับทุกกิจกรรมของการทำงาน และที่สำคัญตัวการจัดการความรู้เองก็ต้องการการจัดการด้วย การจัดการความรู้นับเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย หลายองค์กรวางแผนที่จะนำการจัดการความรู้มาใช้ในองค์กร เพื่อนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จ ผู้บริหารเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการจัดการความรู้ในองค์กร ผู้บริหารยุคใหม่จะต้องทราบหลักการและขั้นตอนการจัดการความรู้ รวมถึงปัญหาและปัจจัยสู่ความสำเร็จ ที่จะทำให้ผู้บริหารได้ตระหนักทราบถึงบทบาทของตนเองว่าควรทำอย่างไร จึงจะทำให้การบริหารจัดการความรู้ในองค์กรของตนประสบความสำเร็จ ทางสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติจึงได้กำหนด หลักสูตรพื้นฐานการจัดการความรู้ (KM Overview) ให้กับผู้บริหารและทีมงานการจัดการความรู้ เพื่อให้เข้าใจหลักการและขั้นตอนของการจัดการความรู้ และบทบาทของผู้บริหารต่อความสำเร็จของการจัดการความรู้ หลักสูตรการจัดการความรู้จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติ (KM Implementation) เป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการให้กับคณะทำงาน เพื่อให้เข้าใจหลักการและขั้นตอนของการจัดการความรู้ และนำความรู้ไปใช้เป็นแนวทางในการประเมินความพร้อมขององค์กร รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและวางแผนในการดำเนินการในเรื่องการจัดการความรู้ในองค์กร ซึ่งเมื่อเข้าใจหลักการและวิธีการแล้วก็จะนำเข้าสู่การจัดทำแผนการจัดการความรู้ โดยสามารถศึกษารายละเอียดการจัดทำแผนการจัดการความรู้ได้จาก คู่มือการจัดทำแผนการจัดการความรู้ นอกจากนี้ยังสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ด้วยตนเองในเรื่องการจัดการความรู้ จากรายละเอียดใน KM Tool Kits เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีและแนวคิดต่างๆ ทางด้านการจัดการความรู้การจัดการ (management) เป็นกระบวนการของการวางแผน การอำนวยการและ การควบคุม เพื่อให้งานนี้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ซึ่ง ชุชาติ ประชากล (2513, หน้า 4-6) ได้อธิบายว่า: การบริหาร หมายถึง การทำงานของคณะบุคคล (group) ตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่ร่วมกันปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน ฉะนั้นคำว่าการบริหารนี้จึงใช้สำหรับแสดงให้เห็นลักษณะการบริหารงานแต่ละประเภทได้เสมอแล้วแต่กรณีไป แต่ถ้าเป็นการทำงานโดยบุคคลคนเดียวเรียกว่า เป็นการทำงานตามธรรมดาเท่านั้น จากความหมายของการบริหารดังกล่าวมาแล้ว จะเห็นว่าการบริหารมีลักษณะเด่น เป็นสากลอยู่หลายประการ ในสังคมหนึ่ง ๆ มนุษย์ย่อมมีพฤติกรรมร่วมกันในอันที่จะกระทำการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสมาชิกในสังคมมากที่ชุด มีการแบ่งงานกันทำช่วยเหลือเกื้อกูล การปรับปรุงการบริหารของกลุ่มให้เกิดประสิทธิภาพและมีความเป็นระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการและข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของประชาชน พยายามหามรรควิธี (means) ที่จะเป็นเครื่องมือในการบริหารให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ฉะนั้นการบริหารจึงมีความสำคัญ ดังนี้ (สมพงษ์ เกษมสิน, 2514, หน้า 4-5) จึงกล่าวได้ว่าการบริหาร คือ การใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการนำเอาทรัพยากรการบริหารมาประกอบการ ตามกระบวนการบริหารให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ปัจจัยในการบริหาร โดยทั่วไปการบริหารงานจะต้องมีปัจจัยพื้นฐาน 4 ประการ หรือเรียกว่า ทรัพยากรการบริหาร (administration resources) คือ คน (man) เงิน (money) วัสดุอุปกรณ์ (material) และการจัดการ (management) หรือเรียกสั้นๆ ว่า 4M ปัจจัยทั้ง 4 ประการ นับว่าเป็นปัจจัยพื้นฐาน ทั้งนี้เพราะว่าการบริหารทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือเอกชนก็ตาม จำเป็นต้องอาศัย เงิน วัสดุ และการจัดการองค์การ เป็นองค์ประกอบที่ขาดเสียมิได้ แต่ปัจจุบัน ได้มีพิจารณาขยายขอบเขตของปัจจัยการบริหารกว้างขวางออกไปอีก เช่น Greenwood (อ้างถึงใน มัฆวาฬ สุวรรณเรือง, 2536, หน้า 52) ได้เสนอความเห็นว่า ปัจจัยในการบริหารไม่ได้มีเพียง 4 อย่างเท่านั้น แต่อย่างน้อยควรมี 7 อย่าง คือ คน เงิน พัสดุ อุปกรณ์ อำนาจหน้าที่ เวลา กำลังใจในการทำงาน และความสะดวกต่าง ๆ เป็นการแน่นอนว่า การบริหารงานจะต้องมีปัจจัยทั้ง 4M เป็นส่วนประกอบสำคัญ เพราะการที่จะดำเนินการให้สำเร็จตามนโยบายตามแผน หรือโครงการก็ต้องอาศัย กำลังคน เงิน วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการจัดการที่ดี โดยนำปัจจัยเหล่านี้มาผสมผสานกันอย่างเหมาะสม เพราะจะเห็นได้ว่า แม้องค์การหรือบริษัทหรือส่วนราชการต่าง ๆ จะมีขนาดและปัจจัยต่าง ๆ เท่า ๆ กัน แต่ผลงานที่ได้ออกมาไม่เท่ากัน ปัญหาจึงมีว่า หัวใจของการบริหารมิได้อยู่ที่ปริมาณมากน้อยของปัจจัยการบริหารเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการจัดการ ภาวะความเป็นผู้นำ สภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่จะทำให้เกิดผลงานที่ดีทั้งปริมาณและคุณภาพ ดังนั้น การบริหารงานใด ๆ ก็ตาม การที่จะไดัผลงานออกมา (output) ก็จำเป็นจะต้องปัจจัย 3 อย่าง ที่ใส่เข้าไปในงานก่อน (input) คือ คน เงิน และวัสดุ และมีกระบวนการในการจัดการให้ input factors ต่าง ๆ ผสมกลมกลืนกันเป็นอย่างดี ผลงานจะออกมาดีมีประสิทธิภาพ (อมร รักษาสัตย์ และขัตติยา กรรณสูต, 2515, หน้า 289) บรรณานุกรม
4592
8183
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4592
ปังย่า
<table class="plainlinks noprint messagebox notice" style="width:250px; float:right; clear:right; margin:0px; margin-left:10px;"> <tr style="vertical-align:middle;"><td style="padding:0.1em; text-align:center; vertical-align:middle; width:45px; border:none;"> </td> <td style="color:black; text-align:left; vertical-align:middle; padding:0.5em; padding-left:0em; border:none;"> วิกิพีเดียมีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับตำราที่ #เปลี่ยนทาง </td></tr></table> ปังย่า คือเกมกอล์ฟแฟนตาซีออนไลน์ ออกแบบและพัฒนาโดยบริษัท NtreevSoft และเปิดให้บริการโดย HanbitSoft การเล่น. ปังย่ามีระบบการเล่นที่คล้ายเกมกอล์ฟหลายเกม โดยความแรงและความแม่นยำในการตีกำหนดโดยเกจที่อยู่ด้านล่างของจอ โดยใช้การกดสามครั้ง ครั้งแรกเพื่อเริ่มตี ครั้งที่สองเพื่อกำหนดพลัง และครั้งที่สามเพื่อกำหนดความแม่นยำ โดยสามารถใช้ได้ทั้งเมาส์หรือเคาะสเปซบาร์บนคีย์บอร์ด หากผู้เล่นกดความแม่นยำสมบูรณ์แบบ ช็อตนั้นเรียกว่า "ปังย่า" หากพลาด ก็จะตีได้ระยะที่สั้นลง และทิศทางที่ผิดไปทางซ้ายหรือขวา (ฮุคหรือสไลซ์) ระบบภาพของปังย่านั้น จะมีลักษณะคล้ายการ์ตูนมากกว่าเน้นความเหมือนจริง และมีส่วนประกอบหลายอย่างที่มาจากจินตนาการ เช่น ช็อตที่เป็นไปไม่ได้ในทางฟิสิกส์ สนามกอล์ฟและอุปกรณ์ในโลกแฟนตาซี เป็นต้น ค่าเงินในเกม. ค่าเงินหลักในเกมปังย่าคือ "ปัง" โดยปกติจะได้มาจากการตีจบหลุมที่พาร์หรือต่ำกว่า การตีช็อตที่ยากหรือการตีลงหลุมจากระยะไกล เงินปังสามารถใช้ในการซื้อของต่างๆในเกม พัฒนาอุปกรณ์และความสามารถของตัวละคร และค่าเงินคุกกี้ ซึ่งผู้เล่นสามารถซื้อของในเกมได้ด้วยเงินจริง อุปกรณ์ที่ใช้คุกกี้ซื้อจะมีความได้เปรียบอุปกรณ์ที่ใช้ปังซื้อเล็กน้อย ในประเทศไทยสามารถซื้อบัตรเติมเงินได้ที่ร้านซี-พลัส แฟมิลี่มาร์ท ซีเอ็ด บุ๊คเซ็นเตอร์ ฯลฯ (ซึ่งในปัจจุบันที่ 7-11 ต้องเติมเพื่อซื้อออนไลน์เท่านั้นเช่น RTB, MOL, Zest) ไม้กอล์ฟ. ผู้เล่นจะได้รับไม้กอล์ฟ Air Knight มาใช้เริ่มต้นก่อนเริ่มแรกและสามารถซื้อไม้กอล์ฟอื่นๆได้ หากมีจำนวนเงินในเกมพอ โดยมีทั้งใช้เงินปัง และเงินคุกกี้ (สำหรับเซิพเวอร์โกลบอลใช้ พ้อย) ในการซื้อไม้กอล์ฟนั้นๆ ไม้กอล์ฟสามารถอัพเกรดค่าสถานะต่างๆ เพื่อให้สามารถควบคุม และตีได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น ท่าตี. ภายในการแข่งขัน ผู้เล่นสามารถใช้ท่าตีพิเศษได้ จากการกดลูกศรเพื่อให้ตีได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น หรือควบคุมได้ดีขึ้น หากผู้เล่นกดความแม่นยำสมบูรณ์แบบ ช็อตนั้นเรียกว่า "ปังย่า" หากพลาด ก็จะตีได้ระยะที่สั้นลง หรือทิศทางที่ผิดไปทางซ้ายหรือขวา (ฮุคหรือสไลซ์) ท่าพิเศษต่างๆมีดังต่อไปนี้ - ใช้ 1 เกจ กด Alt จะทำให้สามารถเพิ่มระยะการตีได้ 10 หลา - ใช้ 2 เกจ กด Alt ติดต่อกัน 2 ครั้ง ทำให้เพิ่มระยะการตีได้ 20 หลา (ยกเว้นใช้ไอเทมพิเศษหรือการ์ดเพิ่มค่าสถานะ) มีท่าต่อไปนี้ ท่าพิเศษ. ในปังย่าเวอร์ชันปัจจุบัน มีการตีช็อทท่าพิเศษ (สำหรับการตีปังย่าธรรมดา) รวม 2 แบบ คือ Top spin: การสปินหน้าทำให้ระยะทางในการตีครั้งต่อไปยังหลุมสั้นลง Back spin: การสปินหลังทำให้ระยะทางในการตีครั้งต่อไปยังหลุมสั้นลง (สำหรับระยะทางการตีไกลกว่าหลุม) Left curve: การเคิฟซ้ายทำให้หลบสิ่งกีดขวางระหว่าหลุม(สิ่งกีดขวางด้านขวา)ได้ Right curve: การเคิฟขวาทำให้หลบสิ่งกีดขวางระหว่างหลุม (สิ่งกีดขวางด้านซ้าย)ได้ ตัวละครและแคดดี้. ตัวละคร. ตัวละครในปังย่าแบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ ตัวละครแบบ Classic มีทั้งหมด 11 ตัว แบ่งเป็นตัวละครชาย 4 ตัว ตัวละครหญิง 7 ตัว และตัวละคร Renovation ปัจจุบันมี 3 ตัว แบ่งเป็น ตัวละครชาย 1 ตัว ตัวละครหญิง 2 ตัว และมีตัวละครเพิ่มเติมในฉบับเครื่องเล่น PSP ชอบที่จะหวดลูกกอล์ฟให้ไกลเท่าที่เขาจะทำได้ แถมนูริยังหลงเสน่ห์ ในกีฬากอล์ฟอย่างมาก วันหนึ่งนูริได้รู้เข้าถึงเรื่องราวของหมู่เกาะปังย่า จากพิพพิ้น นูริจึงได้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการแข่งขันของเกาะปังย่า จุดเด่นของนูริอยู่ที่บุคลิกที่นุ่มนวล สุขุมเยือกเย็น ประกอบกับการเล่น ที่ละเอียดอ่อน พื้นฐานการเล่นที่ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้นูริสามารถ ควบคุมลูกกอล์ฟได้อย่างแน่นอนและแม่นยำ จุดเด่น ตัวละครเริ่มต้นที่มีการเติบโตด้าน power และ control อย่างค่อยเป็น ค่อยไป เสื้อผ้าถูกออกแบบให้มีทิศทางให้เพิ่ม power และ controlมากขึ้น ในะระยะแรกสำหรับคนเล่นสาย power อาจปรับค่าสถานะให้ชินกับการเติบโต ส่วนคนที่จะหันไปเล่นสาย control ก็ควรจะเลือกใช้ไม้กอล์ฟให้เข้ากับ การปรับค่าสถานะตัวละครไปด้วย จุดด้อย เนื่องจากเป็นตัวละครในระยะต้น เมื่อระยะยาวแล้ว ค่าสถานะจะยิ่งแตกต่างสำหรับผู้เล่นสาย power ในระดับ Senior ขึ้นไป หรือสาย control ในระดับ Junior ขึ้นไป ควรพิจารณา ใช้ตัวละครในแต่ละสายตัวอื่นแทน ได้รับเชิญชวนเข้าสู่หมู่เกาะปังย่าโดยคุม่า เธอได้พยายามอย่างหนัก ที่จะพัฒนาทักษะการเล่นของเธอ ในโลกอันสวยงามแห่งนี้ ฮาน่าเป็นคน ที่มีความสุขุมและเยือกเย็นในการเล่นได้อย่างคงเส้นคงวา แต่ว่าอาจ จะมีกำลังที่น้อยไปนิด แต่เธอก็ฝึกทักษะอื่นมาทดแทนนั่นคือการตีลูกโค้ง ต่างๆ ได้อย่างใจ จุดเด่น ฮานะ กับนูริ ถือได้ว่า เป็นตัวละครที่มีลักษณะ แทบจะเหมือนกันทุกอย่างในระยะแรก แต่เมื่อเติบโตไปถึงระดับนึง ทั้งเสื้อผ้า และค่าสถานะของฮานะจะเน้นไปทางด้าน control - impact มากกว่าที่จะเน้น power ในการตี เพราะฉะนั้น เกจที่วิ่งช้าจะช่วยผู้เล่นที่หัดใหม่ได้ดีเลย จุดด้อย เนื่องจากเป็นตัวผู้หญิง ความแรงในการตี ย่อมสู้ตัวละครชายไม่ได้ ทำให้ฮานะเมื่อเลเวลอัพ ไปถึงจุดนึง จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปใช้ ตัวละครที่มีค่าการเติบโตของตัวละครที่ดีกว่า มาช่วยงานที่เกาะปังย่าได้ก็เพราะคำเชิญของโลโล่ ซึ่งสมัยก่อนเขามี อาชีพเป็นตำรวจ ถึงแม้ว่าเขาเข้ามาทำงานที่ปังย่าได้ไม่ถึง 3 เดือน เขาก็เป็นนักกีฬามือโปรคนหนึ่ง แต่ว่าเขามีนิสัยใจร้อน และเป็นคน แปลกๆ จึงชอบทำเรื่องผิดพลาดอยู่เสมอแต่ก็จะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงมาให้ แปลกใจอยู่เสมอ ท่าที่เขาถนัดมากก็คือการใช้ลูก Power Spin จุดเด่น พลังแห่งสปิน เป็นจุดเด่นที่ไม่มีใครทำได้ อย่างอาเธอร์เลยในเกาะปังย่าตัวละครนี้ค่าสถานะ เต็มเปี่ยมไปด้วยการเอื้ออำนวย ในการใช้เทคนิคในการตี คนที่กดท่าแม่นๆ เวลาใช้อาเธอร์แล้วจะรู้สึกได้ทันทีว่า พลังของท่าพิเศษจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เคยมีคนพูดว่า อาเธอร์คือคนที่สามารถทำให้ลูกบอลอยู่บนน้ำได้นานที่สุด และว่ากันว่า ไม่ใช่แค่อาเธอร์ไม่กลัวน้ำแต่ยังใช้น้ำจนได้เปรียบคนอื่นด้วยซ้ำ จุดด้อย การที่มีพลังสปินสูง ทำให้การกะระยะเมื่อใช้ท่าพิเศษ จะแตกต่างกันออกไป จำเป็นต้องอาศัยการฝึกเล่นสาย power-spin พอสมควร อีกทั้งหากเลือกเล่นสาย power แบบเต็มที่ ก็จะทำให้เกจวิ่งเร็ว จึงควรพกไอเทมลงสนามมากกว่าปกติ เพื่อความปลอดภัยในการเล่นช็อตที่เสี่ยง เธอชอบเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องจักรกลต่างๆ มีความมั่นใจในตัวเองสูง เวลาที่เธอตัดสินใจจะมีความรวดเร็วและเฉียบขาด และด้วยรูปร่าง หน้าตาที่สวยเป็นเหตุทำให้เธอนั้น ชอบตกเป็นข่าวลือกับพวกแฟนคลับ ของเธอ จุดเด่น สาวมั่นแห่งเกาะปังย่าที่มีความแข็งแรง ของการบิดข้อมือสูงมาก ทำให้วงสวิงของเธอที่เน้น การตีโค้ง สามารถอ้อมสิ่งกีดขวาง และหลบหลีกสิ่งต่างๆ ได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับ ตัวละครอื่นๆ คนที่เล่นสาย control - impact จะได้เปรียบในเรื่องของการกะระยะ การตกของลูกได้ดีกว่าคนเลือสาย control - curve อย่างไรก็ดี การตีโค้งคู่กับคุม่าและไม้เบสบอล นับได้ว่า แทบไม่แตกต่างกับ การใช้ไอเทม (กล้วย) เลยเคยมีคนได้ยินเซซีเลีย คุยโวให้ฟังว่า ปราสาท Wiz Wiz เป็นแค่สนามเด็กเล่นของเธอ จุดด้อย การเติบโตของเซซิเลีย มีปัญหาเรื่องของค่า power และ spin แทบจะเรียกได้ว่า เกือบจะตรงกันข้ามกับ อาเธอร์สาย power - spin เลยทีเดียวเพราะฉะนั้นจำเป็นจะต้อง ใช้อุปกรณ์เสริมในจุดที่ด้อยให้ดี แม็กซ์เป็นนักเทนนิสระดับมือโปรมาจากประเทศอังกฤษ ถึงแม้ว่าเขา จะเป็นนักเทนนิสที่มีชื่อเสียงมาก แต่เขาก็มีความฝันที่ซ่อนอยู่ เนื่องจาก ในสมัยเด็กๆ ทางครอบครัวของเขามีฐานะที่ไม่ค่อยดีนัก เขาเลย หันมาเอาดีทางด้านการเล่นกีฬา ด้วยแรงกายที่ขยันและบวกกับ พรสวรรค์ในการฝึกซ้อม ทำให้เขานั้นประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งความฝันที่เขาฝันมาโดยตลอดก็คือ การได้ขับเครื่องบินรบ และต่อมาเขาได้เก็บเงินจนสามารถซื้อเครื่องบินส่วนตัวมาขับ ถึงแม้ว่า จะไม่ใช่เครื่องบินรบอย่างที่เขาต้องการ แต่เขาก็ภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และในเวลาที่เขามีเรื่องไม่สบายใจ เขาก็ชอบที่จะขับเครื่องบินส่วน ตัวท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ วันหนึ่งขณะที่เขาขับเครื่องบินอยู่ เครื่องบิน เกิดขัดข้องจนทำให้เขาไม่สามารถบังคับเครื่องได้ จึงตกลงไปในทะเล แต่โชคดีที่ได้ชาวโครโนสช่วยเหลือเขาไว้ได้จึงรอดตาย เขาจึงได้มาพัก ที่เมืองปังย่ามากกว่า 1 เดือนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากกลับไปโลก ของเขาเลย และเขาก็ได้ตัดสินใจหันมาจับไม้กอล์ฟ ฝึกฝนกีฬายอดนิยม ของเกาะปังย่า เพื่อเข้าร่วมแข่งขันในรายการที่เก่าแก่ของเกาะปังย่า และเขาก็ได้เป็นหนึ่งในดาวรุ่งพุ่งแรงเลยทีเดียว จุดเด่น Max เป็นตัวละครที่เต็มเปี่ยมไปด้วยค่า power ทั้งค่าเริ่มต้น และที่จะเติบโต เมื่อเลเวลเพิ่มขึ้น จัดได้ว่า ไม่มีตัวละครอื่นใด ที่สามารถตีไกลได้เท่า Max อีกแล้ว เมื่อหันมาเล่นสาย Pure Power แล้ว ถ้าเจอสนาม Par 5 ไกลๆ เมื่อไหร่ ตัวละครนี้จะแสดงความแตกต่าง อย่างเห็นได้ชัดทีเดียว จุดด้อย เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า เมื่อตัดสินใจเลือกเล่นสาย power เกจก็จะวิ่งเร็ว ตัว Max เองไม่เก่งเรื่อง spin และ curve จึงต้องอาศัยอุปกรณ์เสริมในจุดนี้ให้หนักกว่าตัวละครอื่นพอสมควร เธอมีนิสัยที่ดื้อรั้น เป็นเด็กผู้หญิงที่มีความน่ารักและมีเสน่ห์อยู่ในตัวมาก เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ที่มีชื่อเสียงและมีอำนาจในเกาะปังย่า ตัวเธอนั้นมีพละกำลังมหาศาล สามารถยกและลากอาวุธหนักๆ อย่าง ปืนใหญ่ได้ด้วยมือเดียว ในการต่อสู้ของพ่อครั้งสุดท้าย ทำให้พ่อของเธอนั้นหายไปอย่างไร้ ร่องรอย ทำให้ผู้คนในเกาะปังย่าคิดว่าพ่อเธอนั้นเป็นคนที่ขี้ขลาด หลบหนีการต่อสู้ ดังนั้นเธอจึงต้องออกตามหาพ่อและไขปริศนาว่า ทำไมพ่อของเธอจึงหายตัวไปจากการต่อสู้ จุดเด่น สาวน้อยแสนน่ารัก ที่โดดเด่นในเรื่องพลังสาย Control จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทุกประเทศ ที่สาวน้อยผู้นี้ไปถึง อัตราการเติบโตเน้นไปที่ ค่าพลัง control เพียงอย่างเดียว ถึงแม้ จะมีพลังของ power ไม่มาก แต่จุดเด่นในเรื่องเกจวิ่งช้า ไม่มีใครในเกาะปังย่า ทำได้เท่าเธออีกแล้ว จุดด้อย ถึงแม้จะเด่นในเรื่องเกจวิ่งช้า แต่เรื่องเทคนิคต่างๆ ต้องอาศัยการปรับแต่งจากอุปกรณ์ และเสื้อผ้าที่สวมใส่พอสมควร จุดด้อยนอกจากค่า curve และ spin ที่ไม่มากแล้ว นั่นก็คือ การเลือกซื้อเสื้อผ้า และของตกแต่งซึ่งล้วนแล้วแต่มีราคาทั้งนั้น “อาริน” เป็นชื่อของลูกสาวนักเวทย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับ เวทมนต์ เธอเรียนจบจากโรงเรียน สอนเวทมนต์ “WizWiz”ภายใน 10 ปี ทำให้เธอขึ้นชื่อว่ามีความ สามารถทางด้านเวทมนต์มาก “อาริน” มีความสามารถเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเสก นกพิราบให้กลายเป็น ไม้กอล์ฟได้ แต่เธอสามารถทำแบบนี้ได้ก็แค่ตอนเธออารมณ์ดีเท่านั้นนะ เมื่อไม่นานมานี้เธอได้พบกับ “แมกซ์” ในขณะที่เขากำลังตีกอล์ฟอยู่ที่ ปังย่า “อาริน” ตกหลุมรัก “แมกซ์” ทันที ดังนั้นเธอจึงเข้าร่วมแข่งขัน ปังย่ารุ่นอายุ 20 ปี เพื่อที่จะได้พบกับ “แมกซ์” อีกครั้ง “อาริน” นั่งนับวัน เฝ้ารอให้วันของการแข่งขันมาถึงเร็วๆ เธอขยันฝึกซ้อมอย่างหนัก เพราะกลัวจะอับอายต่อหน้า “แมกซ์” ในวันแข่งขัน แต่ “อาริน” ไม่เคยรู้เลยว่า “แมกซ์” เองก็แอบมองดูเธออยู่ห่างๆ เพราะสนใจ ในตัวเธออยู่ไม่น้อยเหมือนกัน จุดเด่น เป็นตัวละครที่มีค่า Status เมื่อเริ่มต้นมากเมื่อเทียบกับตัวละครอื่นๆเหมาะมากสำหรับผู้เล่นที่ไม่ต้องการปรับแต่งค่า Status ให้วุ่นวาย จุดด้อย ถึงแม้ว่าชุดของอาริน +Impact ได้สูงสุดก็จริง แต่เวลาอัพจะได้ไม่เยอะเมื่อเทียบกับตัวละครตัวอื่นๆ แคซเป็นทายาทของจอมปิศาจ เขาถูกกักขังให้อยู่ในเกาะปังย่าโดยผู้กล้า มานานแสนนานมาแล้ว ข้างกายของแคซจะมีวิญญาณดวงหนึ่งคอยอยู่ ข้างๆ ตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะไปไหนหรือทำอะไร ชื่อของดวงวิญญาณ ดวงนั้นคือ คาเรน เธอเป็นหญิงสาวคนเดียวที่แคซรักมากที่สุดขณะเธอ ยังมีชีวิต เมื่อ 1 ปีก่อนหน้านี้ในขณะที่แคซได้กลายร่างเป็นปิศาจ คาเรน แฟนสาวของแคซก็ได้พลีชีพของตนเองเพื่อรักษาชีวิตของแคซเอาไว้ และเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอต้องเสียชีวิตลงเพื่อปกป้องชีวิตของคนรัก อีกทั้งยังทำให้แคซสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไปด้วย แต่ถึงเธอจะเป็น ดวงวิญญาณเธอก็ยังวนเวียนคอยปกป้องแคซอยู่เสมอ จุดเด่น เป็นตัวละครที่มีค่าสเตตัสเริ่มต้นที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เหมาะกับผู้เล่นทั้งเก่าและใหม่ อีกทั้งยังเป็นตัวละครผู้ชายที่มีความเท่อยู่ในตัว หากใครต้องการความแปลกใหม่ไม่ควรพลาด จุดด้อย หากเทียบระยะของสนามใหม่ Deep Inferno ค่าพาวเวอร์ที่ให้มายังถือว่าต้องอัพเพิ่มอีกมากเลยทีเดียว แต่ไม่น่าเป็นห่วงเพราะสามารถเพิ่มได้จากชุดเสื้อผ้ารวมไปถึงหัวไม้ต่างๆ ลูเซียสาวน้อยอายุ 17 ปีเป็นไอดอลที่เก่งทั้งร้องเพลงและเต้น ปกติแล้วนอกจากการร้องเพลงเธอจะชื่นชอบการผลิตเครื่องประดับเกี่ยวกับเพชรพลอย จนเมื่อ 1 เดือนที่แล้วทิกิได้ชวนเธอเข้าสู่สโมสรกอล์ฟคลับแห่งปังย่า พูดง่ายๆคือเธอมีประสบการณ์ได้ 1 เดือนเอง แต่จุดหมายที่แท้จริงที่เธอหันมาเล่นกอล์ฟก็เพราะ เธอได้ยินมาว่าเกาะปังย่ามีขุมทรัพย์ที่ซ่อนเพชรพลอยในตำนานเอาไว้ เธอจึงหวังจะค้นหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่นั้นด้วยนั่นเอง ลูเซียจึงเป็นตัวละครที่อาจไม่เก่งในเรื่องกอล์ฟเท่าใดนัก แต่ถ้าเป็นความน่ารักล่ะก็ เธอมั่นใจไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง คู อาริน และเซซิเรียแน่นอน เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก แต่เธอไม่ค่อยจะแสดงสีหน้าออกมาสักเท่าไหร่ หลายๆ ครั้งเหมือนกับว่าเธอแสดงสีหน้าออกมาไม่เป็นเสียเลย เธอเป็นนักเรียนของ Wiz Wiz แต่เธอมากจากไหน แล้ว ไปเรียนอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ไม่มีใครทราบแน่ชัด แคสเคยพบเธอครั้งนึง ในตอนที่เธอมาสู่เกาะปังย่าแรกๆ แต่แคสได้สัมผัสอะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งมากจากตัวเธอ สิ่งนั้นคืออะไรกันนะ...? สถานที่เกิดบนดาว WZ 818c แคดดี้. แคดดี้แต่ละตัวจะมีความสามารถเฉพาะซึ่งจะเพิ่มความสามารถให้ผู้เล่น และบางครั้งก็จะให้คำแนะนำ โดยเมื่อผู้เล่นเล่นกับแคดดี้ แคดดี้จะได้รับค่าประสบการณ์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้แคดดี้สามารถแสดงสิ่งต่างๆได้มากขึ้น และให้คำแนะนำมากขึ้น แคดดี้มีทั้งที่ซื้อด้วยเงินปังและคุกกี้ แคดดี้ที่ใช้เงินปังซื้อจะต้องจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนด้วยเงินปัง ในขณะที่แคดดี้ตระกูลน้องถุง น้องถ้วย แคดดี้ที่ใช้คุกกี้ซื้อรวมไปถึงแคดดี้ที่ได้มาโดยกรณีพิเศษ(เช่น ได้มาจากกิจกรรม)จะไม่มีการจ่ายค่าจ้าง ชื่อแคดดี้ในปังย่ามีดังนี้ (ตามชื่อที่ปรากฏในปังย่าเซิร์ฟเวอร์ไทย) ปังแบ๊กหรือที่เรียกกันแบบว่าน้องถุง เป็นแคดดี้สำหรับผู้เริ่มเล่นที่เข้ามา อยู่ในเกาะปังย่า การที่จะได้น้องถุงมาเป็นแคดดี้คู่ใจนั้น ต้องเข้าไป ผ่านการฝึกฝนที่ยากลำบาก... สำหรับผู้เล่นใหม่ ในการฝึกกับแคดดี้ ทำตามขั้นตอนที่แคดดี้แนะนำ เมื่อจบการฝึกก็จะได้ ปังแบ๊กหรือน้องถุง ที่น่ารักมาครอบครอง! พิพพิ้น เป็นเทพธิดาน้อย "โครโรส โครโรโนส" ผู้ซึ่งเชิญชวนคุณเข้ามา สู่ยังโลกของปังย่า "โครโรส โครโรโนส" สามารถเดินทางระหว่างเวลา และอวกาศได้ เทพธิดา "โครโรส โครโรโนส" จะเป็นคนพาวีรบุรุษผู้ที่ จะปกป้องปังย่า มายังโลกของปังย่า เพราะฉะนั้นเราสามารถพูดได้ว่า นี่คือเรื่องราวของเทพธิดา "โครโรส โครโรโนส" ผู้อยู่เบื้องหลัง เรื่องราวของวีรบุรุษ พิพพิ้นกำลังมองหาใครบางคนที่จะมาเป็นวีรบุรุษ ในงานเทศกาล นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเธอจึงต้องเดินทางทะลุเวลา และอวกาศไปยังโลก มองดูรอบๆ ตัวคุณสิ อาจจะมี เทพธิดา "โครโรส โครโรโนส" แอบอยู่รอบๆ ตัวคุณก็ได้นะ ทุกๆ สิ่งในปังย่าแปลกใหม่และลึกลับ สำหรับพิพพิ้นเป็นเหมือนคู่หู ที่คอยให้ความช่วยเหลือคุณได้มาก เลยดีเดียว พิพพิ้นอยากให้คุณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นี่เป็นความสุขที่สุดของพิพพิ้น ดอลฟินี่ ฝึกฝนการบินอยู่เป็นประจำ แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่จะเกิด ความผิดพลาด เพราะว่าการบินสำหรับพวกปลาโลมาอย่างดอลฟินี่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ยังไงก็เหอะ ดอลฟินี่ก็ยังคงฝึกฝนต่อไป ด้วยความเชื่อและความหวังที่ว่า ซักวันหนึ่งจะได้พบกับแม่ที่จากหาย กันไปนาน เมื่อเธอสามารถบินสู้ท้องฟ้าสีครามได้ตอนนี้เธอยังไม่สามารถ บินได้ แต่เธอก็ได้เตรียมร่มชูชีพติดตัวไว้เสมอสำหรับการลงพื้น เมื่อเธอ บินได้ จริงๆ แล้วน่ะนะ...ความจริงแล้วมันเป็นความเข้าใจผิดของดอลฟินี่เองน่ะแหละ เมื่อตอนเด็ก ๆ เขาเห็นจรวดบินผ่านท้องฟ้าไปแล้วก็เชื่อว่านั่นคือแม่ของเขา... ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดอลฟินี่ก็พยายามหัดบินเพื่อตามหาแม่...เอาเถอะ ตอนนี้เขาก็ท่องเที่ยวไปกับคุม่า ดอลฟินี่ดูน่ารักน่ากอดตลอดเวลา ความน่ารักของเขานี่เองที่ทำให้ ความกังวลของคุณละลายหายไปได้ คุม่า เป็นเด็กประเภทชอบทำมากกว่าชอบพูด เขาเป็นคนเงียบ ๆ และแสดงออกด้วยการกระทำมากกว่า บางครั้งก็ดูเหมือนบ้าระห่ำ เขาเคยกระโดดเข้าสู่โลกต่างมิติตามลำพังโดยปราศจากพิพพิ้น โดยไม่คิดก่อนทำและเมื่อใดที่เขาตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว เค้าจะมุ่งหน้าตรงสู่จุดหมาย โดยไม่มีการมองข้างทางให้เสียเวลา เลยทำให้บางครั้งออกจะเป็นคน ที่ร่วมงานได้ยากนิดหน่อยอย่างไรก็ตามคุม่าไม่มีทางที่จะทำให้คุณผิดหวัง เขาจะคอยดูแลคุณ ตลอด คู่ม่าและ สัตว์เลี้ยงของเขา ที่ชื่อดอลฟินี่ จะเป็นเพื่อนที่ดี และเชื่อใจได้ในโลกของปังย่า ทิกิ เป็นคนที่ทำอะไรพลาดบ่อยมาก(ซุ่มซ่าม) เธอเป็นแม่มดตัวน้อยๆ ที่มีความฝันว่าโตขึ้นจะต้องเป็นแม่มดที่แท้จริงเพื่อปกป้องป่าของปังย่า เธอฝึกซ้อมทักษะการบินด้วยไม้กวาดที่ตกทอดมาจากคาดี้ ที่เป็นพี่สาว ของเธอ ซึ่งทุกครั้งเธอก็ตกไม้กวาดแล้วหล่นมากระแทกนู่นกระแทกนี่ เป็นประจำ แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อ เธอไม่สามารถใช้เวทย์มนต์พื้นๆ ที่ใช้กับไม้กวาดได้ดีนักในขณะนี้ แต่ความต้องการของเธอที่จะต้อง ปกป้องผืนป่านั้น ไม่เป็นรองใครแน่นอน ตอนนี้เธอยังเป็นแค่ แม่มดมือใหม่ เธอมีความฝันที่จะใช้เวทย์มนต์ได้อย่างคล่องแคล่วแบบพี่สาวของเธอ ทิกิ!! สู้ๆ... ไททั่นบู ยักษ์ใหญ่แห่งป่า กำลังมีความสุดที่ซู้ดดด มีความสุข... เพราะช่วงนี้มีงานเลี้ยงฉลองที่หมู่บ้านเวนทัส ในดินแดนของไททั่น เราสามารถได้ยินเสียง "บู~" ดังก้องไปทั่วป่า ไททั่นบูจะต้องมีความสุข มากแน่ ๆ เพราะเขาได้รอคอยการฉลองนี้มานานมากแล้วไททั่นบูเป็นคนที่ไม่ค่อยจะพูดเท่าไหร่ แต่เขาสามารถพูดกับธรรมชาติได้ ดังนั้นเมื่อเขาเชียร์คุณก็หมายความได้ว่าทั้งผืนป่า ได้ร่วมเชียร์คุณด้วย พลังเสียงของเขาสามารถเพิ่มพลังให้คุณ อีกทั้งบรรดาต้นไม้ในป่าก็จะคอยสร้างร่มเงาให้คุณพักผ่อนเมื่อคุณมีปัญหาถามไททั่นบูได้ เขาจะทำทุกอย่างที่เขาทำได้เพื่อ ช่วยเหลือคุณ โลโล่ พร้อมอยู่เสมอที่จะช่วยคุณ ถึงแม้คุณจะทำพลาดก็ไม่ต้องเป็นห่วง เธอจะคอยเชียร์คุณด้วยรอยยิ้มอันสดใส เธอเป็นลูกสาวของผู้นำหมู่บ้าน ลิเบอร์รา แต่เธอก็ดูไม่เหมือนพวกเจ้าหญิงในเทพนิยายหรอกนะ เธอไม่ต้องการเสื้อผ้าสวยหรูหรือการปฏิบัติอย่างเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อยถ้าคุณสามารถเป็นเพื่อนกับโลโล่ได้ เธอจะคอยช่วยคุณในทุกๆเรื่อง ที่เธอทำได้ เธอเป็นพี่สาวของทิกิ ผู้เชี่ยวชาญในการใช้เวทมนตร์ ความเชี่ยวชาญ ของเธอทำให้เธอสามารถใช้เวทย์มนต์เพื่อบิน โดยไม่ต้องพึ่งไม้กวาด เธอจึงยกไม้กวาดของเธอให้น้องสาวของเธอทิกิไปใช้ แต่ก่อนเธอเป็น หนึ่งในบรรดาจอมเวทย์ผู้คิดค้นลูกบอลเวทย์ Aztech เพื่อใช้ในการ ต่อต้านความชั่วร้าย หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเธอได้เป็นคนที่ใจเย็น ลงและเริ่มคิดถึงผู้อื่น แต่ก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเก่าซึ่งค่อนข้างจะทำอะไร ตามใจตัวเอง รู้สึกเธอจะดีใจนะที่ได้เจอคุณ เธอบินไปบินมาแจกจ่าย ความสุขไปทั่วคาดี้สามารถใช้มนต์ดำ มนต์ขาว และมนต์อื่นๆ รับรองว่าเธอจะเป็นคู่หู ที่ดีของคุณในการเดินทางในปังย่า เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยเวทมนต์ของเธอ ช่วยให้คุณหายเหนื่อยได้ แคดดี้พิเศษสำหรับร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ที่เป็นสมาชิกเท่านั้น ลักษณะเป็นถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เห็นแล้วทำให้ผู้เล่นหิวได้ทันที ถึงจะมีลักษณะเช่นนั้น แต่ก็ยังมีอุปนิสัยเป็นห่วงเป็นใยทุกคน อีกทั้งยังเป็นแคดดี้ที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยมช่วยเหลือผู้เล่นใหม่ๆ ได้อย่าดี ควบคุมลูกได้ดียึ่งขึ้น ถ้าเลือก น้องถ้วยเป็นคูหู รับรองได้ว่าไม่มีผิดหวังแน่นอน "มิ้นตี้" สาวน้อยแม่มดที่แสนน่ารักไม่แพ้กับ "ทิกิ"น้องสาวฝาแฝด เธอเลย ถึงแม้ว่าสาวน้อย "มินตี้" จะมีหน้าตาเหมือนกับ "ทิกิ" อย่างกับแกะ แต่เธอไม่ซุ่มซามเหมือนกับน้องสาวของเธอหรอกนะ จากการฝึกฝนอันยาวนานที่ ทุ่ง White Wiz ทำให้ "มินตี้" เป็นแม่มด ที่ยอดเยี่ยมพอๆ กับ"คาดี้" พี่สาวของเธอเลยล่ะ และด้วยความสามารถ ที่เธอมีทำให้ "มินตี้" ก้าวเข้ามาเป็นแคตดี้ของเกาะปังย่าได้ไม่ยาก ถ้าคุณพา"มินตี้"ไปออกรอบด้วย เะอจะช่วยให้คุณควบคุมลูกได้ง่ายขึ้น และตีสปินได้ยาวเพิ่มขึ้นด้วยเวทมนต์ของ "มินตี้" ทำให้เรื่องยากๆ กลายเป็นเรื่องง่ายๆ เสมอล่ะ น้องถุงใส เป็นน้องสาวของน้องถุงบงดาริ ลักษณะเป็นถุงใสมีบอลดอลฟินี่อยู่ภายใน มีความน่ารักเป็นอย่างมาก ด้วยความน่ารักนี้เอง ทำให้น้องถุงใสเหมาะกับตัวละครผู้หญิงมากกว่าตัวละครชาย อีกทั้งยังมีความสมดุลของ Control ที่ดีเยี่ยม ใช้ได้ทุกสถานการณ์ "วิงเกิ้ลพิพพิ้น" แคดดี้สาวน้อยที่เดินทางมาจากญี่ปุ่น หน้าตาละม้ายคล้ายกับพิพพิ้น แต่อุปนิสัยเธอนั้นต่างกับพิพพิ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกหรือการพูดจา วิงเกิ้ลพิพพิ้นนั้นก็มีจุดเด่นเป็นอย่างมากด้วยความน่ารัก กล้าแสดงออก และ ยังช่วยเหลือผู้เล่นได้อีกมากมายด้วยสเตตัสของเธอ แต่ เธอนั้นไม่ได้เดินทางมาที่ปังย่าบ่อยๆ ถ้ามาครั้งใดอย่าลืมชักชวนเธอให้อยู่นานๆ ด้วยล่ะ แคดดี้ที่หน้าตาไม่ดี แต่มีคุณสมบัติที่เยียมยอด เหมาะกับสายสปินเป็นอย่างมาก เมื่อออกรอบร่วมกับน้องถุงดำ คุณจะสามารถตีสปินได้ไกลกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าคำนวนเก่งๆ จะทำสถิติดีๆ ไม่ยากเลย "น้องถุงยักษ์" แคดดี้ที่เป็นญาติของน้องถุงบงดาริ ได้รับการเชิญชวนจากน้องถุงบงดาริให้เดินทางมาที่เกาะปังย่า เพื่อช่วยเหลือผู้กล้าที่ต้องการจะนำพา Aztec เข้าไปสู่ม่านพลังของธรรมชาติ ได้มาพร้อมกันถึง 3 ตัวเลยทีเดียว แต่ละตัวจะมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ชักชวนให้เป็นแคดดี้คู่ใจได้ตามต้องการเลย ระบบช่วยเหลือผู้เล่นในสนาม. Assist Mode. เป็นโหมด Guide Line สำหรับผู้เล่นใหม่ เลเวล Rookie F จนถึง Beginner A จะไม่มีผลต่อเงินที่เสียไป ถ้าเลเวลตั้งแต่ Junior E ขึ้นไปจะมีผลต่อเงินปังที่ได้ โดยถ้าเล่นจบเกมจะได้เงินปังลดลงจากเดิม 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกที่จะใช้โหมดนี้หรือไม่ใช้ก็ได้ สนาม. สนามกอล์ฟในเกมปังย่า มีการแบ่งระดับเป็นทั้งหมด 5 ระดับ คือระดับ 1-5 ดาว โดยยิ่งมีจำนวนดาวบ่งบอกมากเท่าไร ระดับความยากของสนามก็จะยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น (ใน Season ที่ 1-3 ของเกมปังย่านั้น การแบ่งระดับสนามจะแบ่งทั้งหมด 3 ระดับ คือ 1-3 ดาว) โดยสนามในเกมปังย่า มี ดังนี้ Libara. สนามกอล์ฟที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลทางทิศใต้ของเกาะปังย่า ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามกับบรรยากาศริมทะเล ฟังเสียงเกลียวคลื่นซัดเข้าสู่ชายหาด และรับไออุ่นจากแสงแดดได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งที่นี่ยังมีรีสอร์ทที่งดงามที่สุดในเกาะปังย่าอีกด้วย Ventus. สนามกอล์ฟที่แวดล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ตั้งอยู่บนใจกลางของเกาะปังย่า มีกังหันลมที่ตั้งเรียงรายอยู่มากมาย เพราะกังหันลมถือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดบนพื้นที่แห่งนี้ Maga Valley. สนามกอล์ฟที่เป็นที่ตั้งของโรงเรียนเวทมนตร์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะปังย่า ตามตำนานของปังย่ากล่าวไว้ว่า เหล่าบรรดาแม่มดทั้งหลายต่างพากันเข้ามาฝึกวิชาเวทมนตร์ที่โรงเรียนแห่งนี้ Oriens. สนามกอล์ฟที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนที่มีอุณหภูมิสูงตลอดปีของเกาะปังย่า พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยผืนทะเลทรายที่กว้างไกล สามารถชื่นชมความงดงามของปิระมิด สถาปัตยกรรมชิ้นเอกที่ตั้งอยู่โดยรอบบริเวณบนพื้นที่แห่งนี้ อุณหภูมิที่ร้อนแรงนั้นจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการออกรอบของคุณเลยแม้แต่น้อย คุณจะได้เพลิดเพลิน และดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพที่งดงามในแบบทะเลทรายเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยแหล่งโอเอซิสเล็กๆ ที่อุดมสมบูรณ์กระจายอยู่รอบบริเวณ นอกจากลายกรีนที่ง่ายต่อการพัตต์แล้ว คุณยังจะได้พบกับ Warp Gate แท่นพลังแห่งแสงจากดวงอาทิตย์ที่สามารถ เพิ่มระยะของลูกกอล์ฟเมื่อเข้ามาอยู่ในเขตพลังได้ที่สนามแห่งนี้เพียงที่เดียวเท่านั้น Narakas. ดินแดนอันลึกลับที่เพิ่งถูกค้นพบได้ไม่นาน ภายในสนามจะพบกับบรรยากาศดินแดนภูเขาไฟอันร้อนระอุ มีลาวาเหลวอันร้อนแรงไหลตามลำธารทอดยาวไป สุดตา และพร้อมที่จะปะทุระเบิดอยู่ตลอดเวลา สนามกอล์ฟที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ได้รับการขนานนามว่าเป็นดินแดนที่มีอุณหภูมิสูงตลอดปีของเกาะปังย่า พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วย ผืนทะเลทรายที่กว้างไกล สามารถชื่นชมความงดงามของปิระมิด สถาปัตยกรรมชิ้นเอกที่ตั้งอยู่โดยรอบ บริเวณบนพื้นที่แห่งนี้ เลเวลและค่าประสบการณ์. เมื่อเริ่มต้นเข้าสู่เกมครั้งแรกผู้เล่นจะมีเลเวลเริ่มต้นที่ Rookie F เมื่อเล่นเกมจบในแต่ละครั้งจะได้รับค่าประสบการณ์สะสม เมื่อได้ค่าประสบการณ์ครบตามที่กำหนดจะได้รับการเลื่อนระดับและเลเวลตามลำดับ โดยในเกมมีทั้งหมด 14 เลเวล เลเวลละ 5 ระดับ ยกเว้นเลเวล Rookie ที่มี 6 ระดับ
4593
8183
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4593
สิบสองหางออนไลน์
สิบสองหางออนไลน์ เป็นเกมออนไลน์แนวแอ็คชั่นอาร์พีจีสัญชาติไทย พัฒนาโดยบริษัท Bigbug Studio เริ่มการพัฒนาเกมเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 โดยใช้เวลาพัฒนาถึง 3 ปี และมีทีมพัฒนาเกมชาวไทยเพียง 4 คนเท่านั้น โดยในปัจจุบันบริษัท ไอ ดิจิตอล คอนเนคท์ จำกัด ได้ลิขสิทธิ์เกมสำหรับการเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ การเล่นให้ถึงเลเวล 40 อย่างรวดเร็ว. แบ่งเวลาเล่นไปเรื่อยๆ จนครบ 36 ชั่วโมงของระยะเวลาเล่นมาทั้งหมดโดยประมาณ ทั้งนี้ จำเป็นต้องมีคนช่วย ดังนั้น ให้หาคนที่มีเวลาเล่นพร้อมกับเราเข้าห้องเควสต์เพื่อกดเริ่มได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ และต้องเป็นอาชีพที่ซัพพอร์ตกัน สูตรคำนวณค่า KO. สูตร 10 + (Def รวมทั้งหมด/3) ค่า Def มาจากค่า 2 ค่า โดยค่าแรกมาจากค่าสเตตัสของเรา และค่าหลังมาจากของสวม/สกิล/การตีต่างๆ เมื่อคำนวน จะนำเลขหน้าและเลขหลังมารวมกัน แหล่งข้อมูลอื่น. <table class="plainlinks noprint messagebox notice" style="width:250px; float:right; clear:right; margin:0px; margin-left:10px;"> <tr style="vertical-align:middle;"><td style="padding:0.1em; text-align:center; vertical-align:middle; width:45px; border:none;"> </td> <td style="color:black; text-align:left; vertical-align:middle; padding:0.5em; padding-left:0em; border:none;"> วิกิพีเดียมีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับตำราที่ #เปลี่ยนทาง </td></tr></table>
4599
3075
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4599
ลา ฟลอร่า บอร์ดเกม
ลา ฟลอร่า บอร์ดเกม เป็นเกมกระดานที่นำตัวละครจากการ์ตูนเรื่อง ลา ฟลอร่า โรงเรียนป่วนก๊วนเจ้าหญิง ซึ่งเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย โดยในปัจจุบันทางสำนักพิมพ์อีคิวพลัส ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้จัดทำออกมาเป็น 2 เวอร์ชัน คือ: ประวัติ. เกมดังกล่าวผลิตขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2553 ในชุด "ผจญภัยในแดนสยาม" ซึ่งกำหนดให้สถานที่สำคัญในประเทศไทยเป็นฉากประกอบเกม และต่อมาในพ.ศ. 2554 ได้มีการจัดทำชุด "ท่องแดนอาทิตย์อุทัย" ที่ใช้ประเทศญี่ปุ่นมาเป็นเหตุการณ์ประกอบเกม ในเบื้องต้น ผู้เล่นอาจยังไม่สามารถเข้าใจถึงกติกาของเกมดังกล่าว แต่ในภายหลัง ทางผู้ผลิตได้ออกกติกาใหม่ พร้อมกับเสนอสื่ออธิบายเสริมในรูปแบบต่างๆในเวลาต่อมา แหล่งข้อมูลอื่น. <table class="plainlinks noprint messagebox notice" style="width:250px; float:right; clear:right; margin:0px; margin-left:10px;"> <tr style="vertical-align:middle;"><td style="padding:0.1em; text-align:center; vertical-align:middle; width:45px; border:none;"> </td> <td style="color:black; text-align:left; vertical-align:middle; padding:0.5em; padding-left:0em; border:none;"> วิกิพีเดียมีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับตำราที่ #เปลี่ยนทาง </td></tr></table>
4600
1703
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4600
สารสนเทศศาสตร์สุขภาพ
สารสนเทศศาสตร์สุขภาพ (Health Informatics ชื่อย่อ HI) เป็นขอบเขตของงานวิชาการหรือวิชาชีพในด้าน 1) การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการแพทย์ 2) การศึกษาและทฤษฎีการพัฒนาของข้อมูล, กระบวนการความรู้และความคิดของผู้ประกอบการและผู้ใช้ ซึ่งเป็นความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมความรู้ของแพทย์, พยาบาลและผู้ใช้ทั้งหมดของอุปกรณ์สารสนเทศเหล่านี้ สารสนเทศศาสตร์สุขภาพเป็นรากฐานที่ลึกซึ้งในเวชศาสตร์ปริวรรต ซึ่งเป็นการปฏิบัติในการวิเคราะห์ชุดข้อมูลที่ได้จากบันทึกของคลินิก และข้อมูลการวิจัยทางคลินิก ตลอดจนการแปลผลไปสู่การตัดสินใจในอนาคตในหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวกับสุขภาพ รวมทั้งการปฏิบัติทางคลินิก, การวิจัยทางคลินิก, วิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมศาสตร์, ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ (HCI), ประชานศาสตร์, จิตวิทยาและอื่น ๆ ครอบคลุมคลื่นความถี่จากการประยุกต์ (ได้รับบางสิ่งบางอย่างในการทำงาน) กับทฤษฎี (เรียนรู้วิธีการทำงานหรือทำไมถึงไม่เป็นเช่นนั้น) มีเรื่องที่น่าสนใจพิเศษมากมายภายในสารสนเทศศาสตร์สุขภาพ ซึ่งตรงกับความเชี่ยวชาญพิเศษหลายอย่างในการแพทย์ เช่น การพยาบาล, รังสีวิทยา, ภาพวินิจฉัย, เวชศาสตร์ชันสูตร (เวชศาสตร์) เช่นเดียวกับเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
4603
1703
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=4603
คู่มือการเป็นนักเรียนที่ดี
คู่มือการเป็นนักเรียนที่ดี เป็นคู่มือสู่การเป็นนักเรียนที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถ หากคุณพยายามอย่างหนักพอ คุณก็จะประสบความสำเร็จได้ บทนำ. เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักเรียนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในระดับประถมศึกษา หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับปริญญาบัณฑิต ที่จะตระหนักถึงพื้นฐานของการเป็นนักเรียนที่ดี ทักษะเหล่านี้ หากทำได้ดีในโรงเรียน ย่อมสามารถนำไปใช้สู่ด้านอื่นๆในหลายส่วนของชีวิตได้เช่นกัน คู่มือนี้มีวัตถุประสงค์สำหรับผู้ที่กำลังมองหาแนวทางบางประการเกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถของตน ในฐานะที่นักเรียนเป็นบุคคลหนึ่ง หากปฏิบัติตามแนวคิดเหล่านี้ในด้านวิชาการ ก็จะช่วยให้นักเรียนสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ในห้องเรียน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้เรียนรู้ถึงบางสิ่งที่จะนำไปสู่การเป็นนักเรียนที่ดีและจะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น บทที่ 1 - สร้างแรงจูงใจ. เพื่อเป็นนักเรียนที่ดี คุณต้องมีแรงจูงใจ การสร้างแรงจูงใจอาจทำได้โดยการมองสภาพของเด็กหลายคนที่ไม่มีโอกาส ที่พวกเขาไม่โชคดีพอที่ได้รับการศึกษา นี่เป็นสิ่งที่สามารถระลึกขึ้นได้ในช่วงที่คุณไม่ต้องการเข้าชั้นเรียนหรือทำการศึกษาที่บ้าน สาเหตุในการสร้างแรงจูงใจในการศึกษาคือ การที่คุณจะมีความสุขในการยกคุณภาพชีวิตในฐานะเป็นคนที่มีการศึกษา คุณสามารถไปที่เว็บการศึกษาเช่นนี้ และเข้ากลุ่มกับผู้ที่มีความสนใจ โดยไม่จำเป็นต้องบังคับตนเอง เช่นนี้จะช่วยลดความน่าเบื่อ และจะรู้สึกได้ว่าไม่เหมือนกับการเปิดหนังสือของคุณ คุณจะได้รับความรู้ด้านวิชาการเป็นจำนวนมากในหลักสูตร ลองเป็นเพื่อนกับพวกเขา หรือส่งเสริมเพื่อนในปัจจุบันของคุณให้เป็นนักเรียนที่ดีขึ้น และคุณจะได้สัมผัสถึงสภาพแวดล้อมทางวิชาการ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกมีแรงบันดาลใจ เหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องมั่นใจสำหรับการที่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเราทำเพื่อตนเองมิใช่เพื่อใครอื่น ขอให้โชคดี บทที่ 2 - ตั้งใจศึกษา. ความเอาใจใส่ต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณมีพื้นฐานด้านความตั้งใจแน่วแน่ และยังให้คำแนะนำอันเป็นการกระตุ้นด้วยการเอาใจใส่ คุณต้องเอาใจใส่ในชั้นเรียน ไม่พูดคุยเล่นกับเพื่อนเมื่อครูผู้สอนหันหลังให้กับคุณ อาจดียิ่งขึ้น หากไม่ไปข้องเกี่ยวกับคนที่ทำให้เสียสมาธิ คุณควรตระหนักว่าผู้คนในชั้นเรียนของคุณล้วนมีผลสำคัญต่อระดับความก้าวหน้าของทุกคน อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นนักเรียนที่ดีขึ้น คุณก็จะทำได้ดีกว่าและประสบความสำเร็จในเป้าหมายของคุณ เพื่อนของคุณจะมีเวลาให้กับคุณในช่วงนั้น หากพวกเขายังคงเชื่อใจ ส่วนที่บ้าน การศึกษาเล่าเรียนและทำการบ้านควรเลือกบริเวณที่ไม่ทำให้คุณนอนหลับ แนะนำให้มีตารางเรียนอยู่ที่โต๊ะ ไม่ทบทวนบทเรียนบนเตียงหรือหน้าจอโทรทัศน์, วิทยุ, สเตอริโอ หรืออื่นๆ เพราะจะไม่มีเป้าหมายสู่การศึกษาของคุณ ถ้าคุณรู้สึกมีความฟุ้งซ่าน ให้ใช้เวลาพัก 15 นาทีหรือน้อยกว่า อาจจะลองอ่านหนังสือที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ควรมุ่งเน้นกับหนังสืออื่นในระยะเวลาที่มากกว่า ทำเครื่องกั้นหน้ากระดาษและคุณจะสามารถอ่านได้ในภายหลัง นอกจากนี้คุณควรจะมีตารางเวลา/ตารางกิจวัตรประจำนำทางให้กับคุณ และคุณต้องทำตามรายการ มันอาจจะยากที่จะเริ่มต้น แต่การเริ่มต้นที่ยากมักจบลงด้วยดี หลีกเลี่ยงการทุจริตในห้องสอบ นี่จะส่งผลให้ผู้สอนของคุณยกย่อง ได้ศูนย์คะแนนดีกว่าการได้หนึ่งร้อยคะแนนจากการลอกข้อสอบ หลีกเลี่ยงการโกงข้อสอบ จงซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่นเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ หากคุณไม่ทราบคำตอบให้ข้ามไปก่อน แล้วใช้มันเป็นช่องทางที่จะเพิ่มพูนความรู้ในวิชาของคุณ โปรดจำไว้ว่าการศึกษาที่ดีในตอนนี้ จะส่งผลให้คุณได้รับโอกาสและได้รับความสนุกหลังจากบรรลุเป้าหมายของคุณ บทที่ 3 - ความประพฤติ (ความประพฤติอย่างเต็มกำลัง) #เปลี่ยนทาง. หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่เป็นส่วนตัดสินถึงอนาคตของบุคคลหรือเด็กคือพฤติกรรมของพวกเขา การเรียนรู้จากตำราและได้คะแนนเต็มร้อยอาจยังไม่พอ ทำให้ผู้คนควรคิดว่าคุณเท่านั้นที่มีกิริยาดีงาม เชื่อฟังผู้ปกครอง ไม่เป็นอันธพาลต่อเพื่อนร่วมชั้นของคุณที่โรงเรียน โปรดจำไว้ว่า ให้ลองจินตนาการตัวเองว่าอยู่ในสถานการณ์ของคนอื่น และคุณจะรู้ได้ว่าคุณได้ทำร้ายพวกเขามากน้อยเพียงใดจากการกระทำของคุณ กล่าวสวัสดีกับครูที่โรงเรียนเมื่อคุณพบพวกเขา ผู้คนจะได้ชื่นชมความเป็นมิตรของคุณและมอบความเป็นมิตรกลับคืนมา มีมารยาทที่ดีในชั้นเรียน รู้จักยกมือตอบคำถาม ไม่ขัดจังหวะขณะที่ใครกำลังสนทนา และหากคุณไม่มีสิ่งดีที่จะพูดคุย ก็จงอย่าคุย จากข้างต้นทั้งหมด พยายามช่วยเหลือเพื่อนของคุณในทุกสถานการณ์ และคุณจะเป็นที่จดจำในฐานะเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโรงเรียน ไม่เพียงแต่เพื่อชื่อเสียงที่ดี หากแต่เป็นเพื่ออนาคตที่ดีสำหรับคุณเอง คุณควรรู้ด้วยว่าคำพูดจากปากยังเพียงพอที่จะทำลายความสัมพันธ์หรือทำให้แย่ลง ดังนั้นอย่าทำให้เน่าเหม็น, ทำให้หมดกำลังใจ หรือใช้คำพูดดูถูก หากใครบางคนมีพฤติกรรมหยาบคาย อย่าสนับสนุนพวกเขาด้วยการหัวเราะ เพราะว่าจะทำให้พวกเขายังคงมีพฤติกรรมที่ไม่ดีอยู่อีก อย่าใช้สิ่งนี้เป็นการปราศัย หากแต่ใช้เป็นแนวทาง! พฤติกรรมควรมาเป็นอันดับแรกแล้วตามมาด้วยการเป็นนักวิชาการ แม้ว่าคุณจะทำได้ไม่ดีที่โรงเรียน แต่คุณก็จะมีชื่อเสียงในทางที่ดีในด้านพฤติกรรมของคุณ และเพื่อนที่ดีของคุณก็มีค่ามากกว่าทอง พฤติกรรมของคุณควรเป็นในลักษณะของการสร้างความประทับใจต่อผู้อื่น บทที่ 4 - การบริหารจัดการ. นี่เป็นหนึ่งในหลายๆ คำถามที่เด็กถามครูของพวกเขา "คุณครู หนูไม่สามารถเรียนได้!" กรุณาไตร่ตรองในสิ่งต่อไปนี้: คุณทุ่มเทต่อการเรียนหรือไม่? หรือคุณเพียงเรียนเพื่อเอาใจพ่อแม่ของคุณ? หรือคุณโกงข้อสอบเพื่อให้ได้คะแนนที่ดี? ก็ขอให้ดูในรายการต่อไป ก่อนอื่น รายการดังข้างกล่าวต้น อาจเป็นการเรียนตามตารางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โปรดอย่าทำการศึกษาหรืออ่านในที่แสงสลัว หากคุณเริ่มเบื่อต่อการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้ศึกษาสิ่งอื่นที่คุณสนใจเป็นอย่างมากแทน คุณต้องค้นหาทางเลือกที่คุณต้องการอยู่เสมอ! เราทุกคนรู้ว่า "การทำแต่งาน โดยที่ไม่มีการเล่นเลย ก็ทำให้โง่ได้" ใช่ การศึกษาตลอดทั้งคืนและไม่ได้เล่นโดยมุ่งแต่งานจะทำให้คุณลืมทุกอย่างในเช้าวันรุ่งขึ้น ออกไปเล่นข้างนอก 2 สักชั่วโมงหรือตามแต่ มันจะเป็นที่พึงพอใจเมื่อคุณออกไปเล่นในช่วงเย็น พูดคุยตอน 5 โมงเย็น การกระทำนี้จะช่วยให้คุณมีความแข็งแรงเป็นพิเศษสำหรับทุกสิ่งที่คุณทำ ให้ทำตารางเวลา และนั่นคือทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง จัดตารางเวลาโดยให้วิชาที่ยากสำหรับคุณอยู่ในคอลัมน์แรก กำหนดเวลาพักในทุกช่วงหลัง 2 วิชาเพื่อไม่ให้คุณเกิดความตึงเครียด ศึกษาแต่ละวิชาประมาณหนึ่งชั่วโมง แบ่งช่วงหยุดย่อยประมาณ 10-15 นาทีระหว่างนั้น ซึ่งคุณจะได้มีการฟื้นพลัง ใช้เวลากับสิ่งที่นำมาซึ่งความคิดของคุณในสิ่งพยายามที่จะทำ และมีอาหารว่างเสริม ลองมีการนอนหลับที่ดี มนุษย์มีการนอนหลับ 8 - 10 ชั่วโมงในแต่ละวัน (มันลดลงไปตามอายุ) หากคุณไม่ได้นอนหลับอย่างเพียงพอ มันจะส่งผลให้เกิดการเกียจคร้าน เกิดความบกพร่องในการจำ และจิตใจของคุณจะเต็มไปด้วยความกระหายสำหรับส่วนที่ขาดหายไป บทที่ 5 - ช่วยเหลือผู้อื่นและให้คำปรึกษา. นอกเหนือจากการปรับปรุงตัวเอง ลองกระจายทักษะของคุณให้แก่ผู้อื่น นี่เป็นส่วนให้คุณมีทุกสิ่งที่จำเป็นในการใช้ร่วมกับการแบ่งปันทักษะของคุณ การร่วมทำงานจะเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อประโยชน์แก่ทุกคน มันเป็นสิ่งตรงข้ามของการแข่งขันที่ทุกคนต้องการชนะสำหรับตัวเอง การเรียนรู้ได้มากที่สุดคือการช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้นการเรียนรู้เพื่อร่วมมือย่อมเป็นทักษะที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน คู่คิดทางการศึกษาเป็นเครื่องมือที่น่าอัศจรรย์ พวกเขาช่วยประหยัดเวลาและเสริมสร้างต่อสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ แบ่งการอ่านออกเป็นครึ่งหนึ่ง ศึกษาในส่วนของคุณและใช้กลยุทธจดบันทึกที่คุณมีทั้งหมด (เช่น แผนภาพของเวนน์, สรุป, บัตรบันทึก, เน้นสี) เมื่อพวกคุณมีความเข้าใจจากการอ่าน ลองผลัดกันสอน/อธิบายแก่คนอื่น เมื่อคุณปรับการอธิบายแก่คู่หูของคุณ คุณจะสามารถเสริมสร้างแนวคิดสำหรับตัวคุณเอง มันได้ผลเพราะเมื่อคุณคิดเกี่ยวกับวิธีการที่จะอธิบายหัวข้อ คุณต้องเข้าใจมันเสียก่อน! คุณครูต่างชอบบรรดานักเรียนที่มีความรู้พิเศษอยู่บ้าง เพื่อให้ได้ความรู้เหล่านี้ให้เข้าห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือพิเศษ หากคุณกำลังสับสนหนังสือที่คุณอ่านอยู่ให้ถามคุณครูของคุณ มันช่วยได้จริงๆ ข้อสรุป. คุณจะต้องประสบความสำเร็จในทุกชั้นเรียน และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพูดคุยกับเพื่อน รวมทั้งให้ความสำคัญต่อกฎระเบียบของโรงเรียน คุณสามารถประสบความสำเร็จที่โดยการตั้งเป้าหมายสำหรับตัวเอง และปฏิบัติงานในเรื่องดังกล่าว ไม่มีใครสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง คุณมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่คุณต้องยอมรับ ตราบใดที่คุณพยายามอย่างหนักทุกวัน คุณจะประสบความสำเร็จ บางครั้งความสำเร็จก็คือการเข้านอนเวลากลางคืนเมื่อรู้ว่าคุณไม่สามารถทำได้ดีที่สุดอีกแล้ว นั่นคือทั้งหมดที่ใครๆก็สามารถสอบถามคุณได้ แหล่งข้อมูลอื่น. การมีพันธมิตรทางการศึกษาถือเป็นสิ่งดี เพราะทุกคนมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต่างกัน ดังนั้น หากคุณมีความชำนาญทางคณิตศาสตร์แต่มีความอ่อนทางภาษาอังกฤษคุณก็สามารถค้นหาเพื่อนที่มีคุณสมบัติในทางตรงกันข้ามได้ ขอให้จำไว้ว่าควรถามเขา และการถามของครูผู้สอนจะไม่ทำให้คุณรู้สึกเขลา ซึ่งหมายถึงว่าคุณกล้าที่จะรู้ถึงสิ่งที่ถูกต้อง
9802
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9802
เวลา ศักราช วิธีการทางประวัติศาสตร์/ศักราช
ศักราช คือ ช่วงเวลาที่จัดตั้งขึ้นตามการอ้างอิงของช่วงเวลานั้น โดยแบ่งได้ตามการอ้างอิงหรือการเรียก ศักราชทุกชนิดไม่มีศักราช 0 เช่น ก่อนค.ศ. 1 คือ 1 ปีก่อนคริสตกาลเป็นวิธีนับแบบบูรณสังขยา ยกเว้น พุทธศักราชที่นับอย่างไทย เป็นการนับแบบปกติสังขยา เป็นต้น
9803
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9803
เวลา ศักราช วิธีการทางประวัติศาสตร์/วิธีการทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการสืบค้นเรื่องราวในอดีตของสังคมมนุษย์ เริ่มต้นที่ความอยากรู้อยากเห็นของผู้ต้องการศึกษาและต้องการสอบสวนค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง จากร่องรอยที่คนในอดีตได้ทำไว้และตกทอดเหลือมาถึงปัจจุบัน โดยไม่หลงเชื่อคำพูดของใครคนใดคนหนึ่ง หรืออ่านหนังสือเพียงเล่มใดเล่มหนึ่งแล้วเชื่อว่าเป็นจริง สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกของการสืบค้นอดีต เมื่อมีประเด็นที่ต้องการสืบค้นแล้ว คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างกว้างขวางและละเอียดลออ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สอบถามผู้รู้ ศึกษาเอกสาร เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ด้วยตนเอง ตรวจสอบข้อมูลจากหลักฐานทุกชิ้นด้วยจิตสำนึกว่า หลักฐานไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด หรือบอกความจริงเสมอไป แล้วรวบรวมข้อเท็จจริงที่ได้ จากนั้นนำเสนอผลที่ศึกษาได้พร้อมอ้างอิงหลักฐานให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้อื่นตรวจสอบ หรือศึกษาค้นคว้าต่อไปได้ ขั้นตอนของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย. 1. การกำหนดหัวข้อเรื่องที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจน (เรื่องอะไร ช่วงเวลาใด ที่ไหน) 2. รวบรวมข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้ครบถ้วน ครอบคลุม 3.  ตรวจสอบความจริงจากหลักฐาน ที่เรียกว่า การวิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์ 4.  วิเคราะห์ข้อมูลและตีความเพื่อค้นหาข้อเท็จจริง 5.  นำเสนอผลงานความรู้ที่ค้นพบ โดยปราศจากอคติและความลำเอียง วิธีการทางประวัติศาสตร์กับวิธีการทางวิทยาศาสตร์. วิธีการทางประวัติศาสตร์ กับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีบางส่วนที่คล้ายคลึงกัน และมีบทส่วนแตกต่างกันดังนี้ 1. วิธีการทางประวัติศาสตร์มีการกำหนดประเด็นปัญหา เพื่อสืบค้นหาคำตอบ เช่นเดียวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่มีการสร้างสมมติฐานขึ้นแล้วทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐานนั้น 2. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ใช้วิธีการสร้างสถานการณ์ใหม่ หรือ ทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐานที่ตั้งขึ้น แต่นักประวัติศาสตร์ไม่สามารถสร้างสถานการณ์ขึ้นใหม่ให้เหมือนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอดีตได้  เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจะเกิดขึ้นครั้งเดียว มีลักษณะเฉพาะ และไม่สามารถสร้างซ้ำได้อีก แต่นักประวัติศาสตร์จะรวบรวมข้อมูลจากหลักฐานอย่างหลากหลาย ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหลักฐาน จนกระทั่งได้ข้อมูลที่จะสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถอธิบายและสรุปเป็นหลักการได้ ดังนั้นแม้นักประวัติศาสตร์จะมิได้เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตรง แต่พยายามหาข้อมูลให้มาก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงให้ถูกต้องตามความเป็นจริงที่น่าเป็นไปได้ แต่นักวิทยาศาสตร์จะทดสอบหรือทดลองให้ได้ผลสรุปด้วยตนเอง 3. การนำเสนอผลงานของนักวิทยาศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ก็อาศัยหลักการความเป็นไปได้มาคาดคะเน และสรุปผลเช่นกัน แต่ผลสรุปทางวิทยาศาสตร์ จะสามารถนำไปทดลองซ้ำๆ ก็จะได้ผลเช่นนั้นทุกครั้ง แต่ผลสรุปทางประวัติศาสตร์ไม่สามารถนำไปทดลองได้ และมีความแตกต่างที่เป็น “มิติของเวลา” เช่นเดียวกับศาสตร์ทางสังคมศาสตร์อื่นๆ ที่ไม่สามารถควบคุมปัจจัยที่เป็นตัวแปรได้ทั้งหมด 4. ประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ไม่สามารถนิยามคำเฉพาะ เพราะความหมายจะไม่ชัดเจนตายตัวในทุกกาลและเทศะ เช่น ประชาธิปไตยของท้องถิ่นหนึ่ง กับอีกท้องถิ่นหนึ่งจะมีนัยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับผู้ใช้หรือผู้นิยาม  ซึ่งแตกต่างกับวิทยาศาสตร์ที่สามารถให้นิยามคำเฉพาะที่มีความหมายตายตัวไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลา และสถานที่ คุณค่าของวิธีการทางประวัติศาสตร์. คุณค่าของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ได้แก่ 1.  วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นวิธีการวิจัยเอกสารและหลักฐานอื่นๆ ที่เป็นร่องรอยจากอดีตอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมาอย่างเป็นระบบ และมีเหตุมีผล             2.  ขั้นตอนการวิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร์หรือการตรวจสอบความจริงจากข้อมูลและหลักฐาน ซึ่งเป็นขั้นตอนของการค้นหาความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ในหลักฐานจะทำให้ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ระมัดระวัง และคิดพิจารณาข้อเท็จ และข้อจริงที่แฝงอยู่ในหลักฐานให้ชัดเจน             3. วิธีการทางประวัติศาสตร์เน้นการเข้าใจอดีต  คือ การให้ผู้ศึกษาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ต้องทำความเข้าใจยุคสมัยที่ตนศึกษา เพื่อให้เข้าถึงความคิดของผู้คนในยุคนั้น โดยไม่นำความคิดของปัจจุบันไปตัดสินอดีต
9804
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9804
เอแม็ท
เอแม็ท (A-MATH) เป็นเกมต่อเลขคำนวณ ทักษะของการเล่นนั้นคือการต่อตัวเลขตามหลักการคำนวณคณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการบวก ลบ คูณ หาร ลงบนช่องตารางให้เกิดผลดีที่สุด เมื่อจบการแข่งขันผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุดเป็นผู้ชนะ คะแนนจะเกิดจากค่าประจำตัวเบี้ยแต่ละตัวในการลงเล่นแต่ละครั้งรวมกับช่องตารางต่างๆ ที่มีค่าแตกต่างกันไป ผู้เล่นอาจจะเล่นแบบฝ่ายละ 1 คน หรือจับคู่เป็นทีมแข่งกันก็ได้
9805
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9805
เอแม็ท/อุปกรณ์และความหมาย
1.กระดาน (BOARD) กระดานจะมีทั้งสิ้น 225 ช่อง แบ่งออกเป็นช่องคะแนนธรรมดาและช่องคะแนนพิเศษต่างๆ - สีแดง (Triple Equation 3X) หมายถึง เบี้ยตัวใดที่ผู้เล่นลงช่องนี้ จะมีผลทำให้สมการที่มีตัวเบี้ยนี้เป็นส่วนประกอบจะได้คะแนนเป็น 3 เท่า ทั้งสมการ - สีเหลือง (Double Equation 2X) หมายถึง เช่นเดียวกับช่องสีแดงแต่คะแนนที่ได้เป็นเพียง 2 เท่าของสมการ - สีฟ้า (Triple Piece 3X) หมายถึง เบี้ยตัวใดที่ทับช่องนี้ เฉพาะเบี้ยตัวนั้นจะได้คะแนนเป็น 3 เท่า - สีส้ม (Double Piece 2X) หมายถึง เช่นเดียวกับช่องสีฟ้า แต่คะแนนที่ได้จะเป็นเพียง 2 เท่าเฉพาะเบี้ยนั้น 2.เบี้ย (TILES) มีทั้งสิ้น 100 ตัว จะมีค่าของตัวเลขแต่ละตัวปรากฏอยู่ตามความยากง่ายของการเล่น ดังนี้ ตัวเลข 0 มี 5 ตัว มี 1 คะแนน ตัวเลข 1 มี 6 ตัว มี 1 คะแนน ตัวเลข 2 มี 6 ตัว มี 1 คะแนน ตัวเลข 3 มี 5 ตัว มี 1 คะแนน ตัวเลข 4 มี 5 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข 5 มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข 6 มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข 7 มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข 8 มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข 9 มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข 10 มี 2 ตัว มี 3 คะแนน ตัวเลข 11 มี 1 ตัว มี 4 คะแนน ตัวเลข 12 มี 2 ตัว มี 3 คะแนน ตัวเลข 13 มี 1 ตัว มี 6 คะแนน ตัวเลข 14 มี 1 ตัว มี 4 คะแนน ตัวเลข 15 มี 1 ตัว มี 4 คะแนน ตัวเลข 16 มี 1 ตัว มี 4 คะแนน ตัวเลข 17 มี 1 ตัว มี 6 คะแนน ตัวเลข 18 มี 1 ตัว มี 4 คะแนน ตัวเลข 19 มี 1 ตัว มี 7 คะแนน ตัวเลข 20 มี 1 ตัว มี 5 คะแนน ตัวเลข + มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข - มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข +/- มี 5 ตัว มี 1 คะแนน ตัวเลข × มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข ÷ มี 4 ตัว มี 2 คะแนน ตัวเลข ×/÷ มี 4 ตัว มี 1 คะแนน ตัวเลข = มี 11 ตัว มี 1 คะแนน ตัวเลข BLANK มี 4 ตัว หมายเหตุ - เบี้ย +/- หรือ ×/÷ ให้เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเลือกแล้วจะ เปลี่ยนแปลไม่ได้ - BLANK ใช้แทนตัวอะไรก็ได้ตั้งแต่ 0-20 รวมทั้ง +, -, ×, ÷, = เมื่อกำหนดแล้วจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้
9806
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9806
เอแม็ท/วิธีเล่น
1.ผู้เล่นจะต้องจับเบี้ยมาฝ่ายละ 1 ตัวเพื่อจะดูว่าฝ่ายใดได้เล่นก่อน โดยมีหลักคือเรียงตามตัวเลขจากมากไปหาน้อย เครื่องหมายทั้งหลายถือว่าต่ำกว่า 0 ทั้งหมด และตัว BLANK ถือว่าใกล้ที่สุด ใครใกล้ 20 กว่าจะได้เริ่มเล่นก่อน 2.ผู้เล่นจับตัวเบี้ยขึ้นมาฝ่ายละ 8 ตัว วางบนแป้น โดยที่ผู้เล่นก่อนจับก่อน 3.ผู้เล่นที่ได้เริ่มเล่นก่อนจะต้องจัดตัวเลขเป็นสมการในลักษณะหนึ่งลักษณะใด (เช่น 7x2 = 5+9หรือ 7*7=42+7 หรือ 6=6 ก็ได้) วางลงบนกระดานในแนวนอนหรือแนวตั้งเท่านั้น โดยต้องมีตัวเบี้ยตัวใดตัวหนึ่งทับบนช่องดาวกลางกระดาน ตัวเบี้ยที่ทับช่องดาวจะได้คะแนนเป็น 3 เท่า เพราะช่องดาวกลางกระดานเป็นช่องสีฟ้า 4.ผู้เล่นคนแรกจะต้องจับตัวเบี้ยในถุงขึ้นมาใหม่เท่ากับจำนวนตัวเบี้ยที่ใช้ไป จากนั้นจะเป็นตาเล่นของผู้เล่นคนที่สอง ซึ่งจะต้องต่อเบี้ยที่มีอยู่ให้เป็นสมการโดยมีตัวเบี้ยที่ลงไปใหม่อย่างน้อยหนึ่งตัวสัมผัสกับตัวเบี้ยที่มีอยู่ในกระดานแล้วอาจจะเป็นการเพิ่มจำนวนตัวเลขในสมการเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว เช่น นาย A ลง 3+4 = 7 นาย B อาจจะเล่น 9-3+4 = 7+3 ก็ถือเป็นสมการใหม่ก็ได้
9807
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9807
เอแม็ท/การคิดและทำคะแนน
1.จากช่องคะแนนพิเศษทั้ง 4 แบบ คือ ช่องสีแดง (ทั้งสมการx3) ช่องสีเหลือง (ทั้งสมการx2) ช่องสีฟ้า (คูณ 3 เฉพาะตัวที่ทับช่อง) และช่องส้ม (คูณ 2 เฉพาะตัวที่ทับช่อง) หากเกิดกรณีที่ผู้เล่นลงสมการที่มีเบี้ยตัวเลขที่เล่นใหม่ทับช่องพิเศษมากกว่า 1 ช่องแล้ว คะแนนที่ได้จะนับคะแนนพิเศษเบี้ยแต่ละตัวก่อนแล้วค่อยนำมาคิดช่องพิเศษ ขอทั้งสมการ ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เล่นเล่น 7x7 = 6x0 ตัวเลข 7 มีค่า 2 แต้ม ทับบนช่องสีฟ้า (เฉพาะตัวคูณ 3) เครื่องหมาย = มีค่า 1 แต้มทับช่องสีส้ม (เฉพาะตัวคูณ 2) เครื่องหมายคูณทับช่องสีเหลือง (ทั้งสมการคูณ 2) คะแนนของการเล่นครั้งนี้เท่ากับ [(2×3) +2+2+ (1×2) +2+2+1]×2=17×2=34 แต้ม 2.ช่องพิเศษต่างๆนั้น สามารถใช้ในการเล่นทับลงไปครั้งแรกเท่านั้น ในการเล่นครั้งต่อมเบี้ยที่ทับอยู่บนช่องพิเศษแล้วนั้นให้นับคะแนนเฉพาะค่าเบี้ยเท่านั้น
9808
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9808
เอแม็ท/การสิ้นสุดเกมส์
1.เกมจะสิ้นสุดเมื่อผู้เล่นใช้เบี้ยที่มีอยู่จนหมด (หลังจากเบี้ยในถุงหมดแล้ว) 2.ในขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามยังคงมีเบี้ยเหลืออยู่ ให้หาคะแนนรวมของตัวเบี้ยนั้นแล้วคูณด้วย 2 นำไปบวกให้กับผู้เล่นที่เป็นคนลงเบี้ยหมดก่อน (ยกเว้น BLANK ไม่ต้องติดลบ) 3.ในกรณีที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถเล่นตัวเบี้ยที่เหลือในแป้นของเขาทั้งสองแล้ว และบอกผ่านครบสามครั้ง ก็ถือว่าเกมการเล่นสิ้นสุดลง การนับคะแนนโดยที่เอาคะแนนของเบี้ยที่เหลืออยู่ในแป้นลบออกจากคะแนนของตนเองโดยที่ไม่ต้องคูณ 2 (คะแนนของ BLANK เท่ากับศูนย์)
9809
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9809
เอแม็ท/ส่วนพิเศษในการเล่น
1.การขอเปลี่ยนตัว ผู้เล่นสามารถขอเปลี่ยนเบี้ยได้โดยต้องเสียการเล่น 1 ตา การเปลี่ยนสามารถเปลี่ยนได้ตั้งแต่ 1-8 ตัว ยกเว้นถ้าตัวเบี้ยในถุงไม่ถึง 5 ตัว ไม่สามารถเปลี่ยนเบี้ยได้อย่างเด็ดขาด 2.การทำบิงโกเอแม็ท ในระหว่างการเล่นผู้เล่นคนใดสามารถลงเบี้ยได้ครบ 8 ตัวลงบนแป้นพร้อมกันในตาเดียว ผู้เล่นคนนั้นจะได้รับคะแนนพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 40 คะแนน นอกเหนือจากคะแนนที่ได้จากตาเล่นปกติ 3.การขอชาเล้นจ์ (CHALLENGE) หากผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเล่นลงสมการแล้วอีฝ่ายเห็นว่าผิดพลาดผู้เล่นขอเรียกชาเล้นจ์ได้เพื่อดูว่าถูกหรือเปล่าโดยอาจใช้เครื่องคิดเลขช่วย หากถูกต้องแล้วผู้ขอตรวจจะเสียตาเล่นไปหนึ่งตา แต่หากผิด ผู้ที่ลงผิดจะต้องยกตัวเบี้ยทั้งหมดในตานนั้นออกและได้คะแนนเป็นศูนย์ 4.เวลา ควรกำหนดเวลาในการลงแต่ละครั้งเพื่อความสนุกสนานในปกติไม่เกิน 3 นาทีในการเล่นแต่ละครั้ง 5.การผสมตัวเลข การลงเบี้ยแต่ละครั้งนั้นสามารถนำเลขโดด (0-9) จำนวน 2-3 ตัวมาวางติดกันเพื่อประกอบเป็นเลข 2 หลักได้ เช่น ใช้เบี้ย 1และ 2 มาประกอบเป็นเลข 12ได้ หรือใช้เบี้ย 1,8และ5 มาต่อเป็น185 6.การเปลี่ยนค่าเป็นเลขลบ สามารถเอาเครื่องหมายลบ มาวางไว้หน้าเบี้ย 1-20 และจำนวนต่างๆที่เกิดจากข้อ 5 เพื่อให้เป็นค่าลบได้ เช่น -6 = 4-10 หรือ -5 = -5 แต่ห้ามวางเครื่องหมายบวกลบคูณหารไว้ติดกัน เช่น -7 = 6+ -3 ไม่ได้ 7.ห้ามใช้ 0 ไปต่อหน้าตัวเลขทุกจำนวน เช่น 07,012 ถือว่าใช้ไม่ได้ทั้งหมด 8.ห้ามใช้เครื่องหมาย (+) หรือเครื่องหมาย (-) เติมหน้าตัวเลข 0 9.ห้ามใช้เครื่องหมาย (+) เติมหน้าตัวเลข เช่น +7 = 5+2
9810
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9810
เอแม็ท/หลักการคำนวณเบื้องต้น
1.หาก “เครื่องหมาย × และ ÷ ”หรือ เครื่องหมาย + และ – อยู่ด้วยกัน ต้องทำตามลำดับก่อนหลัง เช่น 8×3÷6 = 1+1+2 = 4 หรือ 7-4+5 = 3+5 = 8 2.ต้องกระทำเครื่องหมายคูณและหารก่อนเครื่องหมายบวกลบ เช่น 4×3+4 ต้องคิดเป็น (4×3) +4 = 12+4 = 16 4×9÷2+5 = 23 ต้องคิดเป็น (4×9÷2) +5 = 18+5 = 8 3.ห้ามนำ 0 เป็นตัวหาร แต่หากใช้เป็นตัวตั้งแล้วจะหารด้วยเลขอะไรผลลัพธ์ได้ 0 เสมอ เช่น 5÷0 = หาค่าไม่ได้ แต่ 0÷5 = 0 4.ตัวอย่างการลงตัวโดยขยายสมการที่มีอยู่แล้วเมื่อผู้เล่นไม่มีเครื่องหมาย = เช่น จาก 2×2+1 = 10×1-5 เป็น 12÷3+1×1 = 10×1-5÷1 นอกจากนี้สามารถขยายต่อไปได้อีกโดยคงให้สมการสมดุล รวมถึงการทำให้สมมูลกัน เช่น 4+5 = 3×3÷1 เป็น 4+5 = 3×3÷1 = 81÷9 5.สมการสามารถคิดเป็นเศษส่วนได้ เช่น 2÷4 = 4÷8 น้อย น้อย
9824
9242
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9824
ภาษาจีน/ประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ประโยคภาษาจีนที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มีประโยชน์สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศจีนหรือพื้นที่ที่มีคนพูดภาษาจีนกลาง และผู้สนใจทั่วไปที่ต้องการฝึกฝนภาษาจีนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการพูดในสถานการณ์ต่าง ๆ การใช้คำศัพท์ การท่องจำคำศัพท์โดยง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งการศึกษาโครงสร้างประโยคภาษาจีน ประโยคต่าง ๆ ถูกจัดอยู่ในหัวข้อแบ่งตามสถานการณ์ แสดงอักษรจีนตัวย่อ (ตัวหนา) — พินอิน — คำอ่านภาษาไทย — คำแปล (ตัวหนา) แลกเปลี่ยนเงิน 换钱. 饭店里可以换钱吗? Fàndiàn lǐ kěyǐ huànqián ma? ฟ่านเตี้ยน หลี เขออี่ ฮ่วนเฉียน มะ ในโรงแรมสามารถแลกเงินได้ไหม 可以换钱。 Kěyǐ huànqián. เขออี่ ฮ่วนเฉียน แลกเงินได้ครับ 我要换钱。 Wǒ yào huànqián. หว่อ เย่า ฮ่วนเฉียน ฉันจะแลกเงิน 这里能换钱吗? Zhèlǐ néng huànqián ma? เจ้อหลี่ เหนิง ฮ่วนเฉียน มะ ที่นี่แลกเงินได้ไหม 你带什么钱? Nǐ dài shénme qián? หนี่ ไต้ เสินเมอ เฉียน คุณนำเงินอะไรมา 只能用泰币。 Zhǐ néng yòng tài bì. จื่อ เหนิง โย่ง ไท่ ปี้ ใช้เงินไทยอย่างเดียว 机场里可以换钱吗? Jīchǎng lǐ kěyǐ huànqián ma? จีฉาง หลี่ เขออี่ ฮ่วนเฉียน มะ ในสนามบินสามารถแลกเงินได้ไหม 我要换回人民币。 Wǒ yào huàn huí rénmínbì. หว่อ เย่า ฮ่วน หุย เหรินมินปี้ ฉันอยากแลกกลับเป็นเงินหยวน 能兑换欧元吗? Néng duìhuàn ōuyuán ma? เหนิง ตุ้ยฮ่วน โอวหยวน มะ แลกเงินยูโรได้ไหม 能兑换人民币吗? Néng duìhuàn rénmínbì ma? เหนิง ฮุ่ย ฮ่วน เหรินมินปึ้ มะ แลกเงินหยวนได้ไหม 换现金。 Huàn xiànjīn. ฮ่วน เซี่ยน จิน แลกเงินสด 换多少? Huàn duōshǎo? ฮ่วน ตัวเส่า แลกเท่าไหร่ 今天汇率是多少? Jīntiān huìlǜ shì duōshǎo? จินเทียน ฮุ่ยลวี่ ซื่อ ตัวเส่า อัตราแลกเปลี่ยนของวันนี้เท่าไหร่ 美元换人民币。 Měiyuán huàn rénmínbì. เหม่ยหยวน ฮ่วน เหรินมินปี้ USดอลล่าแลกเปลี่ยนเป็นเงินหยวน 一美元换多少人民币。 Yī měiyuán huàn duōshǎo rénmínbì. อี เหม่ยหยวน ฮ่วน ตัวเส่า เหรินมินปี้ 1us แลกได้กี่หยวน 在哪里换钱? Zài nǎlǐ huànqián? จ้าย หนาหลี่ ฮ่วนเฉียน แลกเงินที่ไหน ร้านซักรีด 洗衣店. 这件西服要干洗。 Zhè jiàn xīfú yào gānxǐ. เจ้อ เจี้ยน ซีฝู เย่า กานสี่ ต้องการซักแห้งสูทชุดนี้ 这个领带要干洗。 Zhège lǐngdài yào gānxǐ. เจ้อเก้อ หลิ่งไต้ เย่า กานสี่ เน็คไทเส้นนี้ต้องการซักแห้ง 可以水洗吗? Kěyǐ shuǐxǐ ma? เขออี่ สุย สี่ มะ ซักน้ำได้ไหม 这是丝绸的。 Zhè shì sīchóu de. จ้อ ซื่อ ซือโฉว เตอ นี่เป็นผ้าไหม 费用贵吗? Fèiyòng guì ma? เฟ้ย โย่ง กุ้ย มะ ค่าซักรีดแพงไหม 丝绸贵一点。 Sīchóu guì yīdiǎn. ซือโฉว กุ้ย อี้ เตี่ยน ผ้าไหมแพงเล็กน้อย 干洗贵一点。 Gānxǐ guì yīdiǎn. กานสี่ กุ้ย อี้ เตี่ยน ซักแห้งแพงกว่าเล็กน้อย 这里洗棉被子吗? Zhèlǐ xǐ mián bèizi ma? เจ้อ หลี สี่ เหมียน เป้ยจื่อ มะ ที่นี่ซักผ้าห่มไหม 几天可以取? Jǐ tiān kěyǐ qǔ? จี่เทียน เขอ อี่ ฉวี่ กี่วันมารับได้ 不超过三天。 Bù chāoguò sān tiān. ปู้ เชากั้ว ซาน เทียน ไม่เกิน3วัน 可以提前吗? Kěyǐ tíqián ma? เขออี่ ถี เฉียน มะ เร็วกว่านั้นหน่อยได้ไหม 两天可以吗? Liǎng tiān kěyǐ ma? เหลี่ยงเทียน เขอ อี่ มะ 2วันได้ไหม 明天可以吗? Míngtiān kěyǐ ma? เหลี่ยง เทียน เขออี่ มะ พรุ่งนี้ได้ไหม 来不及。 Láibují. ไหลปู้จี๋ ไม่ทัน 现在付钱吗? Xiànzài fù qián ma? เซี่ยนจ้าย ฟู่ เฉียน มะ จ่ายเงินตอนนี้เลยไหม 取衣服的时候付钱。 Qǔ yīfú de shíhou fù qián. ฉวี่ อีฝู่ เตอ สือโฮ่ว ฟู่ เฉียน จ่ายเงินเมื่อมารับเสื้อผ้า 这是取衣单。 Zhè shì qǔ yī dān. เจ้อ ซื่อ ฉวี่ อี้เตี่ยน นี่คือใบรับเสื้อผ้า 上午来取好吗? Shàngwǔ lái qǔ hǎo ma? ซ่างอู่ ไหล ฉวี ห่าว มะ มารับตอนเช้าได้ไหม 下午来取好吗? Xiàwǔ lái qǔ hǎo ma? เซี่ยอู่ ไหล ฉวี่ ห่าว มะ มารับตอนบ่ายได้ไหม 最好上午来。 Zuì hǎo shàngwǔ lái. จุ้ย ห่าว ซ่างอู่ ไหล มารับตอนเช้าดีที่สุด ธนาคาร 银行. 有什么要帮忙吗? Yǒu shén me yào bāngmáng ma?  โหย่ว เสินเมอ เย่า ปางหมาง มะ มีอะไรให้ช่วยไหม 我想开个户头。 Wǒ xiǎng kāi gè hùtóu. หวอ เสี่ยง คาย เก้อ ฮู่โถว ฉันต้องการจะเปิดบัญชี 请到这边来。 Qǐng dào zhè biān lái. ฉิ่ง เต้า เจ้อ เปียน ไหล เชิญทางนี้ค่ะ 要存哪一类款? Yào cún nǎ yī lèi kuǎn? เย่า ฉุน หน่า อี๋ เล่ย ข่วน ต้องการฝากประเภทไหน 定期存款 Dìngqí cúnkuǎn ติ้งฉี ฉุนข่วน ฝากประจำ 儲蓄存款 Chúxù cúnkuǎn ฉุน ซวี่ ฉุนข่วน ฝากออมทรัพย์ 利息多少? Lìxí duōshǎo? ลี่ สี ตัว เส่า ดอกเบี้ยเท่าไหร่ 请给我一张存款单。 Qǐng gěi wǒ yī zhāng cúnkuǎn dān. ฉิง เกย หว่อ อี้ จาง ฉุนข่วน ตาน ขอแบบฟอร์มฝากเงินด้วยค่ะ 我想把美金换成泰币。 Wǒ xiǎng bǎ měijīn huàn chéng tài bì. หวอ เสียง ป๋า เหม่ยจิน ฮ่วนเฉิง ไท่ปี้ ผมต้องการแลกเงินดอลล่าเป็นเงินไทยครับ 我想把旅行支票换成现金。 Wǒ xiǎng bǎ lǚxíng zhīpiào huàn chéng xiànjīn. หวอ เสียง ป่า ลวี๋สิง จือเพี้ยว ฮ่วน เฉิง เซี่ยนจิน ฉันต้องการแลกเช็คเดินทางเป็นเงินสดค่ะ 请在支票签字。 Qǐng zài zhīpiào qiānzì. ฉิ่ง จ้าย จือเพี่ยว เชียนจื้อ กรุณาเซ็นที่เช็คด้วยค่ะ 我想买一本支票。 Wǒ xiǎng mǎi yī běn zhīpiào. หว่อ เสี่ยง หม่าย อี้ เปิ่น จือเพี่ยว ฉันอยากซื้อสมุดเช็คหนึ่งเล่ม 这种没有利息 Zhè zhǒng méiyǒu lìxí เจ้อ จ่ง เหมยโหย่ว ลี่ซี แบบนี้ไม่มีดอกเบี้ย 开户头最少要一万铢以上。 Kāi hùtóu zuìshǎo yào yī wàn zhū yǐshàng. คาย ฮู่โถว จุ้ยเส่า เย่า อี๋ ว่าน จู อี่ ซ่าง เปิดบัญชีอย่างน้อยหนึ่งหมื่นบาท 你需要支票吗? Nǐ xūyào zhīpiào ma? หนี่ ซวี เย่า จือเพี้ยว มะ คุณต้องการใช้เช็คไหม 请您填写这张表格。 Qǐng nín tiánxiě zhè zhāng biǎogé. ฉิ่ง หนิน เถียน เสี่ย เจ้อ จาง เปี่ยว เก้อ เชิญคุณกรอกแบบฟอร์มนี้ด้วยค่ะ 你能教我怎么填吗? Nǐ néng jiào wǒ zěnme tián ma? หนี่ เหนิง เจี้ยว หว่อ เจิ่นเมอ เถียน มะ คุณช่วยแนะนำฉันกรอกได้ไหม 每次存款的时候别忘带存折 Měi cì cúnkuǎn de shíhou bié wàng dài cúnzhé เหม่ย ชื่อ ฉุนข่วน เตอ สือโฮ่ว เปี๋ย ว่าง ไต้ ฉุนเจ๋อ ทุกครั้งที่จะฝากเงินอย่าลืมนำสมุดคู่ฝากมาด้วย 存款的时候别忘带护照。 Cúnkuǎn de shíhou bié wàng dài hùzhào. ฉุนข่วน เตอ สือโฮ่ว เปี๋ย ว่าง ไต้ ฮู้เจ้า เวลาถอนเงินอย่าลืมนำพาสปอร์ตมาด้วย  กีฬา 运动. 你喜欢运动吗? Nǐ xǐhuan yùndòng ma?  หนี สี่ ฮวน ยุ่นต้ง มะ คุณชอบกีฬาไหม 你喜欢什么运动? Nǐ xǐhuan shénme yùndòng? หนี สี่ ฮวน เสิน เมอ ยุ่นต้ง คุณชอบเล่นกีฬาอะไร 早晨锻炼。 Zǎochen duànliàn. เจ่าเฉิน ต้วนเลี่ยน ออกกำลังกายตอนเช้า 你喜欢打高尔夫吗? Nǐ xǐhuan dǎ gāo'ěrfū ma? หนี สี่ฮวน ต่า เกาเอ่อฟู มะ คุณชอบตีกอล์ฟไหม 我没打过高尔夫球。 Wǒ méi dǎguò gāo'ěrfū qiú. หว่อ เหมย ต่ากั้ว เกาเอ่อฟูฉิว ฉันยังไม่เคยตีกอล์ฟเลย 爬山,滑冰,游泳 我都喜欢。 Páshān, huábīng, yóuyǒng wǒ dōu xǐhuan. ผาซาน หวาปิง โหยวโหยง หว่อ สี่ฮวน ปีนเขา เล่นสเก็ต  ว่ายน้ำ ฉันชอบหมด 我经常打篮球。 Wǒ jīngcháng dǎ lánqiú. หว่อ จิงฉาง ต่า หลาน ฉิว ฉันเล่นบาสเกตบอลบ่อยมาก 我喜欢打排球。 Wǒ xǐhuan dǎ páiqiú. หวอ สี่ ฮวน ต่า ไผฉิว ฉันชอบเล่นวอลเลย์บอล 你会打吗? Nǐ huì dǎ ma? หนี่ ฮุ่ย ต่า มะ คุณเล่นเป็นไหม 你会游泳吗? Nǐ huì yóuyǒng ma? หนี่ ฮุ่ย โหยวโหย่ง มะ คุณว่ายน้ำเป็นไหม 你游的好吗? Nǐ yóu de hǎo ma? หนี่ โหยว เตอ ห่าว มะ คุณว่ายเก่งไหม 我游得不太好。 Wǒ yóu dé bù tài hǎo. หว่อ โหยว เตอ ปู๋ ไท่ ห่าว ฉันว่ายได้ไม่ค่อยดี 明天有排球比赛。 Míngtiān yǒu páiqiú bǐsài. หมิงเทียน โหย่ว ไผฉิว ปี่ไส้ พรุ่งนี้มีการแข่งขันวอลเลย์บอล 谁跟谁比赛。 Shuí gēn shuí bǐsài. เสย เกิน เสย ปี่ ไส้ ใครแข่งกับใคร 谁赢了。 Shuí yíngle. เสย หยิงเลอ ใครชนะ 结果一比一平。 Jiéguǒ yī bǐ yīpíng. เจี๋ยกั่ว อีปี่อี ผิง เสมอกัน หนึ่งต่อหนึ่ง 我很想看。 Wǒ hěn xiǎng kàn. หวอ เหิน เสี่ยง ค่าน ฉันอยากดูมาก พูดคุยเรื่องภาษา 谈谈语言. 我正在学中文。 Wǒ zhèngzài xué zhōngwén.  หว่อ เจิ้งจ้าย เสีย จงเหวิน ฉันกำลังเรียนภาษาจีน 我可以说但不会写。 Wǒ kěyǐ shuō dàn bù huì xiě. หว่อ เขออี่ ซัว ต้าน ปู๋ ฮุ่ย เสี่ย ฉันพูดได้แต่เขียนไม่เป็น 我不会说泰语。 Wǒ bù huì shuō tàiyǔ. หว่อ ปู๋ ฮุ่ย ซัว ไท่ ยวี๋ ฉันพูดภาษาไทยไม่ได้ 这个东西中文怎么说? Zhège dōngxi zhōngwén zěnme shuō? เจ้อ เก้อ ตงซี จงเหวิน เจิ่นเมอ ซัว ของสิ่งนี้ภาษาจีนเรียกว่าอะไร 你懂英语吗? Nǐ dǒng yīngyǔ ma? หนี ต่ง อิงหยี่ มะ คุณรู้ภาษาอังกฤษไหม 你会说中文吗? Nǐ huì shuō zhōngwén ma? หนี่ ฮุ่ย ซัว จงเหวิน มะ คุณพูดภาษาจีนได้ไหม 你会说泰语吗? Nǐ huì shuō tàiyǔ ma? หนี่ ฮุ่ย ซัว ไท่ หยี่ มะ คุณพูดภาษาไทยได้ไหม 你懂我说的吗? Nǐ dǒng wǒ shuō de ma? หนี ต๋ง หว่อ ซัว เตอ มะ คุณเข้าใจที่ฉันพูดไหม 你懂吗? Nǐ dǒng ma? หนี ต่ง มะ คุณเข้าใจไหม 那是什么意思? Nà shì shénme yìsi? น่า ซื่อ เสินเมอ อี้ซือ นั่นหมายความว่าอย่างไร 我会说一点。 Wǒ huì shuō yīdiǎn. หว่อ ฮุ่ย ซัว อี้เตี่ยน ฉันพูดได้นิดหน่อย 你说的不错。 Nǐ shuō de bùcuò. หนี่ ซัว เตอ ปู๋ ชั่ว คุณพูดได้ไม่เลว 你的发音还不太好。 Nǐ de fǎ yīn hái bù tài hǎo. หนี่ เตอ ฟา อิน ไห ปู๋ ไท่ ห่าว การออกเสียงของคุณยังไม่ค่อยดี 泰语很容易是吗? Tàiyǔ hěn róngyì shì ma? ไท่ หยี่ เหิ่น หรง อี้ ซื่อ มะ ภาษาไทยง่ายมากใช่ไหม 泰语难吗? Tàiyǔ nán ma? ไท่ หยี่ หนาน มะ ภาษาไทยยากไหม 请再说一遍。 Qǐng zàishuō yībiàn. ฉิ่ง จ้าย ซัว อี๋ เปี้ยน กรุณาพูดอีกครั้งค่ะ 请你说慢一点 Qǐng nǐ shuō màn yīdiǎn ฉิง หนี่ ซัว ม่าน อี้ เตี่ยน กรุณาพูดช้าๆหน่อยค่ะ 我听不懂。 Wǒ tīng bù dǒng. หว่อ ทิง ปู้ ต่ง ฉันฟังไม่เข้าใจ 你的汉语说的不错。 Nǐ de hànyǔ shuō de bùcuò. หนี่ เตอ ฮ่าน หยี่ ซัว เตอ ปู๋ ชั่ว คุณพูดภาษาจีนได้ดีนะ 泰文很难看懂。 Tàiwén hěn nánkàn dǒng. ไท่ เหวิน เหิ่น หนานค่าน ต่ง ภาษาไทยอ่านยาก 我学习中文有两年了。 Wǒ xuéxí zhōngwén yǒu liǎng niánle. หว่อ เสียสี จงเหวิน โหยว เลี่ยง เหนียน เลอ ฉันเรียนภาษาจีนมาสองปีแล้ว 我会说泰文 中文 英文。 Wǒ huì shuō tàiwén zhōngwén yīngwén. หว่อ ฮุ่ย ซัว ไท่เหวิน จงเหวิน อิงเหวิน ฉันสามารถพูดภาษาไทย จีน อังกฤษ 你学了汉语学了多久? Nǐ xuéle hànyǔ xuéle duōjiǔ? หนี่ เสีย เลอ ฮ่าน หยี่ เสีย เลอ ตัวจิ่ว คุณเรียนภาษาจีน เรียนมานานเท่าไหร่แล้ว 你在哪学汉语? Nǐ zài nǎ xué hànyǔ? หนี่ จ้าย หน่า เสีย ฮ่าน หยี่ คุณเรียนภาษาจีนที่ไหน 你发音很准确 Nǐ fāyīn hěn zhǔnquè หนี่ ฟาอิน เหิน จุ่นเชี่ย คุณออกเสียงได้ชัดดี  ผลไม้ 水果. 你喜欢吃水果吗? Nǐ xǐhuan chī shuǐguǒ ma?  หนี สี่ ฮวน ชือ สุ่ยกั่วมะ คุณชอบทานผลไม้ไหม 我喜欢吃山竹。 Wǒ xǐhuan chī shānzhú. หวอ สี่ ฮวน ชือ ซานจู๋ ฉันชอบทานมังคุด 你喜欢吃榴莲吗? Nǐ xǐhuan chī liúlián ma? หนี สี่ ฮวน ชือ หลิวเหลียน มะ คุณชอบทานทุเรียนไหม 不太习惯,味道很大。 Bù tài xíguàn, wèidào hěn dà. ปู๋ไท่ สีกว้าน เว่ยเต้า เหิ่นต้า ไม่ค่อยคุ้นเคย กลิ่นแรงมาก 常吃就习惯的。 Cháng chī jiù xíguàn de. ฉาง ชือ จิ้ว สี กว้าน เตอ กินบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชอบเอง 中国的桃子很好吃。 Zhōngguó de táozi hěn hào chī. จงกั๋ว เตอ เถาจือ เหิน ห่าว ชือ ลุกท้อของประเทศจีนอร่อยมาก 泰国有卖吗? Tàiguó yǒu mài ma? ไท่ กั๋ว โหย่ว ม่าย มะ ประเทศไทยมีขายไหม 有不过很贵。 Yǒu bùguò hěn guì. โหย่ว ปู๋ กั้ว เหิ่น กุ้ย มีแต่แพงมาก 红毛丹很好吃。 Hóng máo dān hěn hào chī. หง เหมา ตาน เหิน ห่าว ชือ เงาะอร่อยมาก 芒果也很好吃。 Mángguǒ yě hěn hào chī. หมางกั่ว เหย่ เหิน ห่าว ชือ มะม่วงก็อร่อยมาก 你吃过了吗? Nǐ chīguòle ma? หนี่ ชือ กั้ว เลอ มะ คุณเคยกินไหม 泰国水果很多。 Tàiguó shuǐguǒ hěnduō. ไท่ กั๋ว สุยกั่ว เหิ่นตัว ประเทศไทยมีผลไม้มากมาย 四月到八月水果最多。 Sì yuè dào bā yuè shuǐguǒ zuìduō. ซื่อ เย่ เต้า ปา เย่ สุยกั่ว จุ้ย ตัว เดือนเมษาถึงเดือนสิงหามีผลไม้เยอะที่สุด 我要买山竹和芒果。 Wǒ yāomǎi shānzhú hé mángguǒ. หว่อ เย่า หม่าย ซานจู๋ เหอ หมางกั่ว ฉันจะซื้อมังคุดและมะม่วง 山竹多少钱一公斤? Shānzhú duōshǎo qián yī gōngjīn? ซานจู๋ ตัว เส่า เฉียน อี้ กง จิน มังคุดกิโลกรัมละเท่าไหร่ 芒果一公斤四十铢。 Mángguǒ yī gōngjīn sìshí zhū. หมางกั่ว อี้ กง จิน ซื่อสือ จู มะม่วงกิโลกรัมละ40บาท 你尝尝。 Nǐ cháng cháng. หนี่ ฉาง ฉาง คุณลองชิมดู 还要别的吗? Hái yào bié de ma? ไห เย่า เปี๋ย เตอ มะ ยังต้องการอะไรอีกไหม สถานีรถไฟ 火车站. 火车站在哪里? Huǒchē zhàn zài nǎlǐ?  หั่วเชอจ้าน จ้าย หนา หลี่ สถานีรถไฟอยู่ที่ไหน 收票处在哪里? Shōu piào chù zài nǎlǐ? โซว เพี่ยว ชู่ จ้าย หนาหลี่ ที่จำหน่ายตั๋วอยู่ที่ไหน 在五号窗口。 Zài wǔ hào chuāngkǒu. จ้าย อู่ ห้าว ชวงโข่ว อยู่ช่องหมายเลข5 买到票了没有? Mǎi dào piàole méiyǒu? หม่าย เต้า เพี่ยว เลอ เหมย โหย่ว ซื้อตั๋วได้หรือยัง 还没有买到。 Hái méiyǒu mǎi dào. ไห เหมย โหย่ว หม่าย เต้า ยังไม่ได้ซื้อเลย 买两去清迈的车票。 Mǎi liǎng qù qīng mài de che piào. หมาย เหลี่ยง ชวี่ ชิงม่าย เตอ เชอ เพี่ยว ซื้อตั๋วสองใบไปเชียงใหม่ 我想白天到。 Wǒ xiǎng báitiān dào. หวอ เสี่ยง ไป๋เทียน เต้า ฉันต้องการถึงตอนกลางวัน 你要哪天呢? Nǐ yào nǎ tiān ne? หนี่ เย่า หน่า เทียน เนอ คุณต้องการไปวันไหน 有卧部票吗? Yǒu wò bù piào ma? โย่ว ว่อ ปู้ เพี่ยว มะ มีตั๋วตู้นอนไหม 对不起 卖完了 Duìbùqǐ mài wánle ตุ้ย ปู้ ฉี่ ม่ายหวาน เลอ ขอโทษค่ะ ขายหมดแล้ว 几点开车? Jǐ diǎn kāichē? จี๋ เตี่ยน คาย เชอ รถไฟจะออกกี่โมง 几点到站? Jǐ diǎn dào zhàn? จี๋ เตี่ยน เต้า จ้าน รถไฟจะมากี่โมง 一等票还是二等票? Yī děng piào háishì èr děng piào? อี เติ่ง เพี่ยว ไห ซื่อ เอ้อ เติ่ง เพี่ยว ตั๋วชั้นหนึ่งหรือตั๋วชั้นสอง เช่าบ้าน 租房子. 请问这里有出租房吗? Qǐngwèn zhè li yǒu chūzū fáng ma?  ฉิ่งเวิ่น เจ้อ หลี โหย่ว ชูจู ฝาง มะ ขอถามหน่อย ที่นี่มีห้องให้เช่าไหม 是什么样的房子? Shì shénme yàng de fángzi? ซื่อ เสินเมอ ย่าง เตอ ฝางจื่อ เป็นห้องแบบไหน 多大面积 Duōdà miànjī ตัวต้า เมี่ยนจี เนื้อที่เท่าไหร่ 八十五平方米 Bāshíwǔ píngfāng mǐ ปาสืออู่ ผิงฟางหมี่ 85ตารางเมตร 有家具吗? Yǒu jiājù ma? โหย่ว เจีย จวี้ มะ มีเฟอร์นีเจอร์ไหม 租金一个月多少钱? Zūjīn yīgè yuè duōshǎo qián? จูจิน อี๋เก้อ เย่ ตัวเส่า เฉียน ค่าเช่าเดือนละเท่าไหร่ 水电费另外算。 Shuǐdiàn fèi lìngwài suàn. สุ่ยเตี้ยน เฟ่ย ลิ่งว่าย ซ่วน ค่าน้ำค่าไฟคิดต่างหาก 水费贵吗? Shuǐ fèi guì ma? สุ่ย เฟ่ย กุ้ย มะ ค่าน้ำแพงไหม 水一度三铢 Shuǐ yīdù sān zhū สุ่ย อี๋ ตู้ ซาน จู น้ำหน่วยละสามบาท 一度电 五铢 Yīdù diàn wǔ zhū อี๋ตู้ เตี้ยน อู่ จู ไฟหน่วยละ5บาท 这附近有菜市场吗? Zhè fùjìn yǒu cài shìchǎng ma? เจ้อ ฟู่จิ้น โหย่ว ช่าย ซื่อฉ่าง มะ ไกล้แถวนี้มีตลาดไหม 这里环境不错。 Zhèlǐ huánjìng bùcuò. เจ้อหลี่ หวนจิ้ง ปู๋ชั่ว บริเวณนี้สิ่งแวดล้อมไม่เลว 好 我在考虑一下。 Hǎo wǒ zài kǎolǜ yīxià. ห่าว, หว่อ จ้าย เข่า ลวี่ อี๋เซี่ย ดีครับ ผมขอคิดดูก่อน 租房定金多少。 Zūfáng dìngjīn duōshǎo. จูฝาง ติ้งจิน ตัวเส่า เช่าห้องต้องวางมัดจำเท่าไหร่ 先付三个月的订金 Xiān fù sān gè yuè de dìngjīn เซียน ฟู่ ซาน เก้อ เย่ เตอ ติ้งเฉียน จ่ายมัดจำล่วงหน้าสามเดือน 明天我给你答复。 Míngtiān wǒ gěi nǐ dáfù. หมิงเทียน หว่อ เก๋ยหนี่ ต๋าฟู่ พรุ่งนี้ฉันจะให้คำตอบคุณ 你看别的地方了吗? Nǐ kàn bié de dìfāngle ma? หนี่ ค่าน เปี๋ย เตอ ตี้ฟาง มะ คุณไปดูที่อื่นมาหรือยัง 还没有,附近还有房子租吗? Hái méiyǒu, fùjìn hái yǒu fángzi zū ma? ไห เหมย โหย่ว  ฟู่จิ้น ไห โหย่ว ฝางจื่อ จู มะ ยังเลยครับ แถวนี้ยังมีห้องเช่าอีกไหม 你到那个公寓问。 Nǐ dào nàgè gōngyù wèn. หนี่ เต้า น่า เก้อ กง ยวี่ เวิ่น คุณลองไปถามอาคารโน้นดู <br> ร้านกาแฟ 咖啡馆. 你要喝点什么? Nǐ yào hē diǎn shénme?  หนี่ เย่า เฮอ เตี๋ยน เสินเมอ คุณต้องการดื่มอะไร 我要一杯咖啡。 Wǒ yào yībēi kāfēi. หว่อ เย่า อี้เปย คาเฟย ฉันขอกาแฟหนึ่งด้วย 你也要咖啡吗? Nǐ yě yào kāfēi ma? หนี่ เหย่ เย่า คา เฟย มา คุณต้องการกาแฟด้วยไหม 我要一杯冰咖啡。 Wǒ yào yībēi bīng kāfēi. หว่อ  เย่า อี้เปย ปิง คาเฟย ฉันขอกาแฟเย็นหนึ่งถ้วย 这里有热咖啡和冰咖啡。 Zhè li yǒu rè kāfēi hé bīng kāfēi. เจ้อ หลี โหย่ว เร่อ คาเฟย เหอ ปิง คาเฟย ที่นี่มีกาแฟร้อนและกาแฟเย็น 要加糖吗? Yào jiātáng ma? เย่า เจียถัง มะ ใส่น้ำตาลไหม 不要加糖。 Bùyào jiātáng. ปู๋ เย่า เจีย ถัง ไม่ใส่น้ำตาล 有其他饮料吗? Yǒu qítā yǐnliào ma? โหย่ว ฉีทา หยิ่งเลี่ยว มะ มีเครื่องดื่มอย่างอื่นไหม 有什么小吃吗? Yǒu shé me xiǎochī ma? โหย่ว เสินเมอ เสี่ยว ชือ มะ มีของว่างอะไรบ้าง 这里的咖啡味很香。 Zhèlǐ de kāfēi wèi hěn xiāng. เจ้อหลี่ เตอ คาเฟย เว่ย เหิ่น เซียง กาแฟที่นี่หอมมาก 有绿茶吗? Yǒu lǜchá ma? โหย่ว ลวี่ฉา มะ มีชาเขียวไหม 没有绿茶只有红茶。 Méiyǒu lǜchá zhǐyǒu hóngchá. เหมยโหย่ว ลวี่ฉา จื๋อโหย่ว หงฉา  ชาเขียวไม่มี มีแต่ชาแดง 你要红茶还是咖啡? Nǐ yào hóngchá háishì kāfēi? หนี่ เย่า หงฉา หายซื่อ คาเฟย คุณต้องการชาแดงหรือกาแฟ 情稍等。 Qíng shāo děng. ฉิ่ง เซา เติ่ง รอสักครู่นะคะ บนเครื่องบิน 在飞机上. 靠窗户的座位。 Kào chuānghù de zuòwèi. เค่า ชวงหู่ เตอ จั้วเว่ย ที่นั่งติดริมหน้าต่าง 靠边的座位。 Kàobiān de zuòwèi. เค่าเปียน เตอ จั้วเว่ย ที่นั่งติดด้านข้าง 中间的座位。 Zhōngjiān de zuòwèi. จงเจียน เตอ จั้วเว่ย ที่นั่งติดตรงกลาง 几号座位 Jǐ hào zuòwèi จี่ ห้าว จั้ว เว่ย เลขที่นั่งเท่าไหร่ 五排B座 Wǔ pái B zuò อู่ ไผ บี จั้ว แถว 5 ที่นั่ง B  请坐这边。 Qǐng zuò zhè biān. ฉิ่ง จั้ว เจ้อ เปียน เชิญนั่งทางนี้ 是哪个座位。 Shì nǎge zuòwèi. ซื่อ หน่า เก้อ จั้วเว่ย คือที่นั่งตรงนั้น 请记好安全带 Qǐng jì hǎo ānquán dài ฉิ่ง จี้ ห่าว อานฉวน ไต้ กรุณารัดเข็มขัด 行李可以放在前面吗? Xínglǐ kěyǐ fàng zài qiánmiàn ma? สิงหลี่ เขออี่ ฟ่างจ้าย เฉียนเมี่ยน มะ สัมภาระวางข้างหน้าได้ไหม 行李放上面。 Xínglǐ fàng shàngmiàn. สิงหลี่ ฟ่าง ซ่างเมี่ยน วางสัมภาระด้านบน 飞机准期起飞吗 Fēijī zhǔn qí qǐfēi ma เฟยจี จู่นชี ฉี่ เฟย มะ เครื่องออกตรงเวลาไหม 飞机上禁止抽烟 Fēijī shàng jìnzhǐ chōuyān เฟยจี ซ่าง จิ้นจื่อ โชวเยียน บนเครื่องบินห้ามสูบบุหรี่ค่ะ 还要多长时间到达? Hái yào duō cháng shíjiān dàodá? ไห เย่า ตัว ฉาง สือเจียน เต้าต๋า อีกนานแค่ไหนถึง 卫生间在前面吗? Wèishēngjiān zài qiánmiàn ma? เว่ยเซิงเจียน จ้าย เฉียนเมี่ยน มะ ห้องน้ำอยู่ด้านหน้าไหมครับ 卫生间在后面吗? Wèishēngjiān zài hòumiàn ma? เว่ยเซิงเจียน จ้าย โฮ่วเมี่ยน มะ ห้องน้ำอยู่ด้านหลังไหม 有中文报纸吗? Yǒu zhong wén bàozhǐ ma? โหย่ว จงเหวิน เป้าจื่อ มะ มีหนังสือพิมพ์จีนไหม 您需要什么饮料 Nín xūyào shénme yǐnliào หนิน ซวีเย่า เสินเมอ หยิ่นเลี่ยว ท่านต้องการดื่มอะไรคะ 你需要吃什么? Nǐ xūyào chī shénme? หนี่ ซวีเย่า ชือ เสินเมอ คุณต้องการทานอะไรครับ ประโยคภาษาจีนที่ใช้บ่อยที่ด่านศุลกากร. <br> <br> 你来泰国有什么事儿?<br> Nǐ lái tàiguó yǒu shén me shì er? <br> หนี่ ไหล ไท่กั๋ว โหย่ว เสินเมอ ซื่อร์<br> คุณมาเมืองไทยมีธุระอะไรหรือครับ<br> <br> 我是来做生意的。<br> Wǒ shì lái zuò shēngyì de.<br> หว่อ ซื่อไหล จั้ว เซิงอี้<br> ผมมาทำธุรกิจครับ<br> <br> 我是来开会的.<br> Wǒ shì lái kāihuì de.<br> หว่อ ซื่อ ไหล คายฮุ่ย เตอ<br> ฉันมาประชุมค่ะ<br> <br> 我是来留学的。<br> Wǒ shì lái liúxué de.<br> หว่อ ซื่อ ไหล หลิวเสีย เตอ<br> ฉันมาเรียนหนังสือค่ะ<br> <br> 我是来旅游的。<br> Wǒ shì lái lǚyóu de.<br> หว่อ ซื่อ ไหล หลี่โหยว เตอ<br> ฉันมาท่องเที่ยวค่ะ<br> <br> 请出示护照<br> Qǐng chūshì hùzhào<br> ฉิ่ง ชูซื่อ ฮู่เจ้า<br> ขอดูพาสปอร์ตหน่อย<br> <br> 请出示签证。<br> Qǐng chūshì qiānzhèng.<br> ฉิ่ง ชูซื่อ เชียนเจิ้ง<br> ขอดูวีซ่าหน่อย<br> <br> 情填写入进卡。<br> Qíng tiánxiě rù jìn kǎ.<br> ฉิ่ง เถียน เสี่ย รู่จิ้น ข่า<br> กรุณากรอกแบบฟอร์มตรวจคนเข้าเมืองด้วยครับ<br> <br> 你的签证只有60天<br> Nǐ de qiānzhèng zhǐyǒu 60 tiān<br> หนี่ เตอ เชียนเจิ้ง จื๋อโหย่ว ลิ่วสือเทียน<br> วีซ่าของคุณมีอายุ60วันเท่านั้น<br> <br> 你的签证只有三个月。<br> Nǐ de qiānzhèng zhǐyǒu sān gè yuè.<br> หนี่ เตอ เชียนเจิ้ง จื๋อโหย่ว ซาน เก้อ เย่<br> วีซ่าของคุณมีอายุ3เดือนเท่านั้น<br> <br> 有未进品吗?<br> Yǒu wèi jìn pǐn ma?<br> โหย่ว เว่ย จิ้น ผิ่น มะ<br> มีของห้ามนำเข้าไหม<br> <br> 箱子里有什么东西?<br> Xiāngzi li yǒu shén me dōngxi?<br> เซียงจือ หลี่ โหย่ว เสินเมอ ตงซี<br> ในกระเป๋าเดินทางนี้มีอะไร<br> <br> 纸箱里装什么?<br> Zhǐxiāng lǐ zhuāng shénme?<br> จื่อเซียงหลี่ จวง เสินเมอ<br> ในกล่องกระดาษนี้มีอะไรบ้าง<br> <br> 衣服和礼品<br> Yīfú hé lǐpǐn<br> อีฝู่ เหอ หลีผิ่น<br> มีเสื้อผ้าและของฝาก<br> <br> 请大开这箱子看看。<br> Qǐng dà kāi zhè xiāngzi kàn kàn.<br> ฉิง ต้า คาย เจ้อ เซียงจื่อ ค่าน ค่าน<br> ขอเปิดกระเป๋าใบนี้หน่อย<br> <br> 这些可以免税吗?<br> Zhèxiē kěyǐ miǎnshuì ma?<br> เจ้อเซีย เขออี่ เหมี่ยนซุ่ย มะ<br> ของพวกนี้ยกเว้นภาษีได้ไหม <br> แท็กซี่ 出租车. 去这个地址 Qù zhège dìzhǐ  ชวู่ เจ้อเก้อ ตี้จื่อ ไปตามที่อยู่นี้ 去地铁车站 Qù dìtiě chēzhàn ชวู่ ตี้ เถี่ย เชอจ้าน ไปรถไฟฟ้าใต้ดิน 二十分钟可以到吗? Èrshí fēnzhōng kěyǐ dào ma? เอ้อสือ เฟินจง เขออี่ เต้ามะ 20นาทีไปถึงไหม 不塞车可以到。 Bù sāichē kěyǐ dào. ปู้ ไซเชอ เขออี่ เต้า รถไม่ติดไปถึง 堵车吗? Dǔchē ma? ตู่เชอมะ รถติดไหม 不是这个地址 Bùshì zhège dìzhǐ ปู๋ซื่อ เจ้อเก้อ ตี้จื่อ ไม่ใช่ที่นี่ 去机场 Qù jīchǎng ชวู่ จี ฉ่าง ไปสนามบิน 走别的路可以吗? Zǒu bié de lù kěyǐ ma? โจ่ว เปี๋ย เตอ ลู่ เขออี่มะ ไปทางอื่นได้ไหม 走什么路好? Zǒu shénme lù hǎo? โจ่ว เสินเมอ ลู่ ห่าว ไปทางไหนดี 上高速路吗? Shàng gāosù lù ma? ซ่าง เกาซู่ลู่ มะ ขึ้นทางด่วนไหม 不要上高速路。 Bùyào shàng gāosù lù. ปู๋เย่า ซ่าง เกาซู่ลู่ ไม่ต้องขึ้นทางด่วน 你要去哪里? Nǐ yào qù nǎlǐ? หนี่เย่า ชวู่ หนาหลี่ คุณจะไปไหนครับ 靠右边停车。 Kào yòubiān tíngchē. เข้าโย่วเปียน ถิงเชอ ชิดขวาแล้วจอดด้วย 快到了请慢点开 Kuài dàole qǐng màn diǎn kāi ไค่ว เต้า เลอ ฉิ่งม่านเตี่ยน คาย จะถึงแล้วขับช้าๆหน่อย 开过了 kāi guòle คายกั้วเลอ ขับเลยแล้ว 过红绿灯就到了。 Guò hónglǜdēng jiù dàole. กั้ว หง ลวู่ เติง จิ้ว เต้า เลอ เลยไฟแดงก็ถึงแล้ว 过十字路口就到了 Guò shízìlù kǒu jiù dàole กั้ว สือจื้อลู่โข่ว จิ้ว เต้าเลอ เลยสี่แยกก็ถึงแล้ว 在这里下车。 Zài zhèlǐ xià chē. จ้าย เจ้อหลี่ เซี่ย เชอ ขอลงตรงนี้ สนามบิน 机场. 我要过道的座位. Wǒ yào guòdào de zuòwèi.  หว่อ เย่า กั้วเต้า เตอ จั้วเว่ย ผมต้องการที่นั่งริมทางครับ 我要靠窗口的座位. Wǒ yào kào chuāngkǒu de zuòwèi. หว่อ เย่า เข้า ชวงโข่ว เตอ จั้วเว่ย ฉันต้องการที่นั่งใกล้หน้าต่าง 对不起 位置满了。 Duìbùqǐ wèizhì mǎnle. ตุ้ย ปู้ ฉี่ เว่ย จื้อ หมั่น เลอ ขอโทษค่ะที่นั่งเต็มแล้วค่ะ 出入进卡写了吗? Chūrù jìn kǎ xiěle ma? ชูรู่ จิ้น ขา เสี่ย เลอ มา บัตรขาเข้าออกเขียนหรือยังครับ 您还要填写出入金卡。 Nín hái yào tiánxiě chūrù jīn kǎ. หนิน ไห เย่า เถียน เสี่ย ชูรู่ จิ้น ข่า ท่านยังต้องเขียนบัตรขาเข้าออกค่ะ 请出示您的护照 Qǐng chūshì nín de hùzhào ฉิ่ง ชูซื่อ หนิน เตอ ฮู้เจ้า ขอดูพาสปอร์ตหน่อยครับ 是直航的航班吗? Shì zhí háng de hángbān ma? ซื่อ จื๋อ หาง ปาน เตอ หางปาน มา เป็นเที่ยวบินตรงใช่ไหม CZ34航班几点到? CZ34 hángbān jǐ diǎn dào? CZ34 หางปาน จี๋เตี่ยน เต้า เที่ยวบินที่CZ34จะมาถึงเมื่อไหร่ CZ55航班什么时候起飞? CZ55 hángbān shénme shíhou qǐfēi? CZ55 หางปาน เสินเมอ สือโฮ่ว ฉี่เฟย เที่ยวบิน CZ55ออกเมื่อไหร่ครับ 机场税多少钱? Jīchǎng shuì duōshǎo qián? จีฉ่าง ซุ่ย ตัวเส่า เฉียน เสียค่าสนามบินเท่าไหร่คะ 500铢情到那边购买。 500 Zhū qíng dào nà biān gòumǎi. อู๋ป่ายจู ฉิ่ง เต้า น่า เปียน กั้วหม่าย 500บาทค่ะ เชิญทางโน้นค่ะ 对不起 你的行李超重了。 Duìbùqǐ nǐ de xínglǐ chāozhòngle. ตุ้ยปู้ฉี่ หนี่เตอ สิงหลี่ เชาจ้งเลอ ขอโทษค่ะ น้ำหนักสัมภาระของคุณเกินจำนวนแล้วค่ะ 有几件行李? Yǒu jǐ jiàn xínglǐ? โหย่ว จี่ เจี้ยน สิง หลี่ มีสัมภาระกี่ชิ้น 去北京航班在哪个登机口登机? Qù běijīng hángbān zài nǎge dēng jī kǒu dēng jī? ชวู่ เป่ยจิง หางปาน จ้าย หน่าเก้อ จี โข่ว เติงจี เที่ยวบินไปปักกิ่งอยู่ประตูไหน 在23登机口 Zài 23 dēng jī kǒu จ้าย เอ้อสือซาน เติง จี โข่ว ประตูที่23 飞机费用共晚餐吗? Fēijī fèiyòng gòng wǎncān ma? เฟยจี เฟ่ยโย่ง ก้ง หว่านชาน มะ มีอาหารเย็นบนเครื่องบินไหม 飞机要晚点几个小时 Fēijī yào wǎndiǎn jǐ gè xiǎoshí เฟยจี เย่า หวานเตี่ยน จี่ เก้อ เสี่ยว สือ เที่ยวบินนี้จะล่าช้ากี่ชั่วโมง 飞机要延误多长时间起飞 Fēijī yào yánwù duō cháng shíjiān qǐfēi เฟยจี เย่า เหยียนอู้ ตัว ฉาง สือเจียน ฉี่เฟย เที่ยวบินนี้จะเลื่อนเวลาไปอีกกี่ชั่วโมง 天气不好飞机不能按时起飞 Tiānqì bù hǎo fēijī bùnéng ànshí qǐfēi เทียนชี่ ปู้ เห่า เฟยจี ปู้เหนิง อ้านสือ ฉี่เฟย อากาศไม่ดีเครื่องบินไม่สามารถออกตรงเวลา 我们几点到北京? Wǒmen jǐ diǎn dào běijīng? หวิอเมิน จี๋เตี๋ยน เต้า เป่ยจิง เราจะถึงปักกิ่งกี่โมง 在哪里取行李? Zài nǎlǐ qǔ xínglǐ? จ้าย หนาหลี่  ฉวู่ สิงหลี่ รับกระเป๋าที่ไหน ถามทาง 问路. 对不起,请问  地铁站在哪里? Duìbùqǐ, qǐngwèn dìtiě zhàn zài nǎlǐ? ตุ้ยปู้ฉี่ ฉิ่งเวิ่น ตี้เถี่ยจ้าน จ้ายหนาหลี่ ขอโทษครับ ขอถามหน่อย สถานีรถไฟใต้ดินอยู่ที่ไหนครับ 对不起,请问  汽车站在哪里? Duìbùqǐ, qǐngwèn qìchē zhàn zài nǎlǐ? ตุ้ยปู้ฉี่ ฉิ่งเวิ่น ชี่เชอจ้าน จ้ายหนาหลี่ โทษครับ ขอถามหน่อย ที่หยุดรถประจำทางอยู่ที่ไหนครับ 对不起,请问  公共汽车站在哪里? Duìbùqǐ, qǐngwèn gōnggòng qìchē zhàn zài nǎlǐ? ตุ้ย ปู้ ฉี่  ฉิ่งเวิ่น กงก้ง ชี่เชอจ้าน จ้ายหนาหลี่ โทษครับ ขอถามหน่อย ป้ายรถเมล์อยู่ที่ไหนครับ 机场远吗? Jīchǎng yuǎn ma? จี ฉ่าง เหยี่ยน มะ สนามบินไกลไหม 火车站远吗? Huǒchē zhàn yuǎn ma? หั่ว เชอ จ้าน หย่วน มะ สถานีรถไฟอยู่ไกลไหม 现在我们在哪里? Xiànzài wǒmen zài nǎlǐ? เซี่ยน จ้าย หว่อ เมิน จ้าย หน่า หลี่ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน 我不认识路。 Wǒ bù rènshi lù. หว่อ ปู๋ เริ่น ชือ ลู่ ฉันไม่รู้จักทาง 我迷路了 Wǒ mílùle. หว่อ หมี่ ลู่ เลอ ฉันหลงทาง 一直走能到吗? Yīzhí zǒu néng dào ma? อี้ จื๋อ โจ่ว เหนิง เต้า มะ ตรงไปถึงไหม 在对面。 Zài duìmiàn. จ้าย ตุ้ย เมี่ยน อยู่ตรงข้าม 我要去这个地方。 Wǒ yào qù zhège dìfāng. หว่อ เย่า ชวี่ เจ้อ เก้อ ตี้ ฟาง ฉันอยากไปสถานที่นี้ 方向反了。 Fāngxiàng fǎnle. ฟาง เซี่ยง ฝ่าน เลอ มาผิดทางแล้ว 你走错路了。 Nǐ zǒu cuò lùle. หนี โจ่ว ชั่ว ลู่ เลอ คุณมาผิดทางแล้ว 到清迈路怎么走? Dào qīng mài lù zěnme zǒu? เต้า ชิง ม่าย ลู่ เจิ่น เมอ โจ่ว ไปถนนเชียงใหม่ไปยังไง 可以走路去吗? Kěyǐ zǒulù qù ma? เขอ อี่ โจ่ว ลู่ เต้า มะ เดินไปได้ไหม 一直走到十字路口往左拐 Yīzhí zǒu dào shízìlù kǒu wǎng zuǒ guǎi. อี้ จื๋อ โจ่ว เต้า สือ จื้อ ลู่ โข่ว หว่าง จั๋ว ไก่ว เดินตรงไปถึงสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้าย 离这里远吗? Lí zhèlǐ yuǎn ma? หลี คาย เจ้อ หลี เหยี่ยน มา ไกลจากที่นี่ไหม 这附近有卫生间吗? Zhè fùjìn yǒu wèishēngjiān ma? เจ้อ ฟู่ จิ้น โหย่ว เว่ย เซิง เจียน มา แถวนี้มีห้องน้ำไหม 这附近有商店吗? Zhè fùjìn yǒu shāngdiàn ma? เจ้อ ฟู่จิ้น โหย่ว ซาง เตี้ยน มา แถวนี้มีร้านค้าไหม 你能帮我一下吗? Nǐ néng bāng wǒ yīxià ma? หนี่ เหนิง ปาง หว่อ อี๋ เซี่ย มะ คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม  在哪里能买到? Zài nǎlǐ néng mǎi dào?  จ้าย หนาหลี่ เหนิง หม่าย เต้า จะหาซื้อได้ที่ไหน 下车过马路就到了。 Xià chēguò mǎlù jiù dàole. เซี่ย เชอ กั้ว หม่า ลู่ จิ้ว เต้า เลอ ลงจากรถข้ามถนนก็ถึงแล้ว 要座车吗? Yào zuò chē ma? เย่า จั้ว เชอ มา ต้องนั่งรถไหม ประโยคความรักภาษาจีน 爱情. 我爱你  Wǒ ài nǐ  หว่อ อ้าย หนี่ ฉันรักเธอ 想你喔  Xiǎng nǐ ō  เสียง หนี่ โอ คิดถึงนะ 好担心你哦 Hǎo dānxīn nǐ ó    ห่าว ตาน ซิน หนี่ โอ เป็นห่วงคุณจังเลย 我会永远爱你的  Wǒ huì yǒngyuǎn ài nǐ de       หว่อ ฮุ่ย โหยงเหยี่ยน อ้าย หนี่ เตอ ฉันจะรักเธอตลอดไป 我就喜欢这样的你  Wǒ jiù xǐhuan zhèyàng de nǐ       หว่อ จิ้ว สี่ ฮวน เจ้อ ย่่าง เตอ หนี่ ฉันชอบเธอที่เป็นเธอ 为什么我那么想你呢?  Wèishéme wǒ nàme xiǎng nǐ ne?       เว่ย เสิน เมอ หว่อ น่า เมอ เสียง หนี่ เนอ ทำไมฉันคิดถึงคุณจัง 你是我生命的一部分  Nǐ shì wǒ shēngmìng de yībùfèn       หนี่ ซื่อ หว่อ เซิงมิ่ง เตอ อี๋ปู้เฟิ่น คุณคือชีวิตส่วนหนึ่งของฉัน 爱你,但不表现出来  Ài nǐ, dàn bù biǎoxiàn chūlái       อ้าย หนี่,ต้าน ปู้ เปี่ยวเซี่ยน ชู ไหล รักนะ แต่ไม่แสดงออก 我不知道该怎么跟你说我爱你  Wǒ bù zhīdào gāi zěnme gēn nǐ shuō wǒ ài nǐ         หว่อ ปู้ จือ เต้า กาย เจิ่นเมอ เกิน หนี่ ซัว หว่อ อ้าย หนี่ ฉันไม่รู้จะบอกกับคุณยังไงว่ารักคุณ 永远相爱、天长地久  Yǒngyuǎn xiāng'ài, tiānchángdìjiǔ         โหยงเหยี่ยน เซียงอ้าย  เทียนฉางตี้จิ่ว รักกันตลอดไป 我将永远爱你一个  Wǒ jiāng yǒngyuǎn ài nǐ yīgè       หว่อ เจียง โหยงเหยี่ยน อ้าย หนี่ อี๋เก้อ ฉันจะรักคุณคนเดียวตลอดไป 我会永远把你放在我的心里  Wǒ huì yǒngyuǎn bǎ nǐ fàng zài wǒ de xīnlǐ       หว่อ ฮุ่ย โหยงเหยียน ป๋า หนี่ ฟ่าง จ้าย หว่อ เตอ ซินหลี่ ฉันจะเก็บเธอไว้ในความทรงจำและหัวใจตลอดไป 我爱你胜过任何人  Wǒ ài nǐ shèngguò rènhé rén       หว่อ อ้าย หนี่ เซิ่ง กั้ว เริ่น เหอ เหริน ฉันไม่เคยรักใครมากเท่าเธอ 你遇到你的真爱了吗? Nǐ yù dào nǐ de zhēn'àile ma      หนี่ ยวี่ เต้า หนี่ เตอ เจินอ้าย เลอ มะ คุณได้พบรักแท้ของเธอหรือยัง 你知道吗?我已经爱上你了  Nǐ zhīdào ma? Wǒ yǐjīng ài shàng nǐle       หนี่ จือ เต้า มะ หวอ อี่จิง อ้าย ซ่าง หนี่ เลอ คุณรู้ไหมฉันหลงรักคุณซะแล้ว 能够想你让我的生活每一天都充满阳光  Nénggòu xiǎng nǐ ràng wǒ de shēnghuó měi yītiān dou chōngmǎn yángguāng       เหนิงกั้ว เสียง หนี่ ร่าง หว่อ เตอ เซิงหัว เหม่ย อี้เทียน โตว ชงหม่าน หยางกวาง การได้คิดถึงคุณทำให้ทุกวันของฉันสว่างไสว 无法守候的真爱 Wúfǎ shǒuhòu de zhēn'ài       อู๋ ฝา โส่ว โฮ่ว เตอ เจิน อ้าย รักแท้ดูแลไม่ได้ 你就是点亮我生命的人 Nǐ jiùshì diǎn liàng wǒ shēngmìng de rén       หนี่ จิ้ว ซื่อ เตี่ยน เลี่ยง หว่อ เซิงมิ่ง เตอ เหริน เธอเป็นผู้จุดประกายให้ชีวิตของฉัน 爱是付出 Ài shì fùchū       อ้าย ซื่อ ฟู่ ชู รักคือการให้ 你是我的真爱 Nǐ shì wǒ de zhēn'ài      หนี่ ซื่อ หว่อ เตอ เจิน อ้าย เธอคือรักแท้ของฉัน 爱胜过一切  Ài shèngguò yīqiè  อ้าย เซิ่งกั้ว อี๋เชี่ย ความรักชนะทุกสิ่ง 爱用眼睛是看不到的,但是可以用心去感受  Àiyòng yǎnjīng shì kàn bù dào de, dànshì kěyǐ yòngxīn qù gǎnshòu  อ้าย โย่ง เหยี่ยนจิง ซื่อ ค่าน ปู๋ เต้า เตอ,ต้านซื่อ เขออี่ โย่งซิน ชวี่ ก่านโซ่ว ความรักไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ 爱你一点点,但是会爱你很久哦  Ài nǐ yīdiǎn diǎn, dànshì huì ài nǐ hěnjiǔ ó       อ้าย หนี่ อี้เตี่ยน,ต้านซื่อ ฮุ่ย อ้าย หนี เหิน จิ่ว โอ รักเธอน้อยๆแต่จะรักนานๆนะ 对你的爱从来没有减少 Duì nǐ de ài cónglái méiyǒu jiǎnshǎo       ตุ้ย หนี่ เตอ อ้าย ฉง ไหล เหมยโหยว เจี๋ยน เส่า ไม่เคยรักเธอน้อยไปกว่าเมื่อวาน ประโยคภาษาจีน สภาพอากาศ 天气. 今天比昨天冷一点 Jīntiān bǐ zuótiān lěng yīdiǎn จิน เทียน ปี่ จั๋ว เทียน เหลิ่ง อี้ เตี่ยน วันนี้เย็นกว่าเมื่อวานวันนิดหน่อย 明天会比今天冷得多 Míngtiān huì bǐ jīntiān lěng de duō หมิงเทียน ฮุ่ย ปี่ จิน เทียน เหลิ่ง เตอ ตัว พรุ่งอาจจะเย็นกว่าวันนี้มาก 今天有点冷 Jīntiān yǒudiǎn lěng   จินเทียน โหยว เตี๋ยน เหลิ่ง วันนี้เย็นนิดนึง 今天很冷 Jīntiān hěn lěng จินเทียน เหิน เหลิ่ง วันนี้เย็นมาก 好像要下雨 Hǎoxiàng yào xià yǔ ห่าวเซี่ยง เย่า เซี่ย อยู่ร์ ดูเหมือนฝนจะตก 外面在下大雨 Wàimiàn zàixià dàyǔ ว่ายเมี่ยน จ้ายเซี่ย ต้า ยวี่ ข้างนอกฝนกำลังตกอย่างหนัก 明天的天气怎么样 Míngtiān de tiānqì zěnme yàng หมิง เทียน เตอ เทียน ชี่ เจิ่น เมอ ย่าง พรุ่งนี้อากาศเป็นไงบ้าง 说是明天晴天 Shuō shì míngtiān qíngtiān ซัว ซื่อ หมิงเทียน ฉิงเทียน พรุ่งนี้อากาศแจ่มใส 天气预报说明天会下雨 Tiānqì yùbào shuōmíng tiān huì xià yǔ เทียนชี่ ยวี่ เป้า ซัว หมิงเทียน ฮุ่ย เซี่ย อยู่ร์ การพยากรณ์อากาศบอกว่าพรุ่งนี้ฝนอาจตก 纽约比这儿冷多了 Niǔyuē bǐ zhè'er lěng duōle หนิ่วเย ปี่ เจ้อร์ เหลิ่ง ตัว เลอ นิวยอร์กเย็นกว่าที่นี่ 今天天气很好。 Jīntiān tiānqì hěn hǎo. จินเทียน เทียนชี่ เหิน ห่าว วันนี้อากาศดีมาก 今天天气怎么样? Jīntiān tiānqì zěnme yàng? จิน เทียน เทียนชี่ เจิ่น เมอ ย่าง วันนี้อากาศเป็นไงบ้าง 你听天气预报了吗? Nǐ tīng tiānqì yùbàole ma? หนี่ ทิง เทียน ชี่ ยวี เป้า เลอ มะ คุณได้ฟังพยากรณ์อากาศหรือยัง ภาษาจีนสำหรับโรงแรม 饭店. 我是今晚已经订房 Wǒ shì jīn wǎn yǐjīng dìngfáng  หว่อ ซื่อ จิน หวาน อี่ จิง ติ้ง ฝาง เย็นนี้ตอนเย็นฉันได้ทำการจองห้องแล้ว 我预定了. Wǒ yùdìng le. หว่อ ยวี่ ติ้ง เลอ ฉันจองแล้ว 我预订了三天的房间.  Wǒ yùdìngle sān tiān de fángjiān. หว่อ ยวี่ ติ้ง เลอ ซาน เทียน เตอ ฝางเจียน ฉันจองห้องพักสามวัน 有空房吗? Yǒu kong fáng ma? โหย่ว คง ฝาง มะ มีห้องว่างไหมคะ 住一晚多少钱? Zhù yī wǎn duōshǎo qián? จู้ อี้ หว่าน ตัว เส่า เฉียน พักหนึ่งคืนเท่าไหร่ 我要单人房。 Wǒ yào dān rén fáng. หว่อ เย่า ตาน เหริน ฝาง ฉันอยากได้ห้องเตียงเดี่ยว 请给我一个双人房。 Qǐng gěi wǒ yīgè shuāngrén fáng. ฉิ่ง เก๋ย หว่อ อี๋เก้อ ซวงเหริน ฝาง กรุณาให้ห้องเตียงคู่กับฉันหนึ่งห้อง 请给我看看房间,好吗? Qǐng gěi wǒ kàn kàn fángjiān, hǎo ma? ฉิ่ง เก๋ย หว่อ ค่าน ค่าน ฝางเจียน ห่าวมะ ให้ฉันดูห้อง ได้ไหม 我可以看一下别的房间吗? Wǒ kěyǐ kàn yīxià bié de fángjiān ma? หว่อ เขอ อี่ ค่าน อี๋ เซี่ย เปี๋ย เตอ ผางเจียนมะ ฉันสามารถดูห้องอื่นๆได้ไหมคะ 这个饭店能上网吗? Zhège fàndiàn néng shàngwǎng ma? เจ้อเก้อ ฟ่าน เตี้ยน เหนิง ซ่าง หว่าง มะ โรงแรมนี้เล่นอินเตอร์เน็ตได้ไหมคะ 这个房间能从房间里面上网吗? Zhège fángjiān néng cóng fángjiān lǐmiàn shàngwǎng ma? เจ้อเก้อ ฝางเจียน เหนิง ฉง ฝางเจียน หลี่เมี่ยน ซ่างหว่าง มา ห้องนี้เล่นอินเตอร์เน็ตจากข้างในห้องได้ไหมคะ 我想住四星级的饭店 Wǒ xiǎng zhù sì xīng jí de fàndiàn หวอ เสี่ยง จู้ ซื่อ ซิง จี๋ เตอ ฟ่านเตี้ยน ฉันอยากพักโรงแรมสี่ดาว 能用信用卡支付吗? Néng yòng xìnyòngkǎ zhīfù ma? เหนิง โย่ง ซิ่น โหย่ง ข่า จือ ฟู่ มะ รับบัตรเครดิตไหม 早餐几点开始? Zǎocān jǐ diǎn kāishǐ? เจ่า ชาน จี๋ เตี่ยน คาย สื่อ อาหารเช้าเริ่มกี่โมงคะ 早饭是几点? Zǎofàn shì jǐ diǎn? เจ่าฟ่าน ซื่อ จี๋ เตี่ยน อาหารเช้ากี่โมงคะ 我能不能换房间. Wǒ néng bùnéng huàn fángjiān หว่อ เหนิง ปู้ เหนิง ฮ่วน ฝางเจียน ฉันจะเปลี่ยนห้องได้ไหม 早饭在哪儿吃。 Zǎofàn zài nǎ'er chī. เจ่า ฟ่าน จ้าย หน่าร์ ชือ อาหารเช้าต้องไปทานที่ไหนคะ 住宿费里包括早餐吗? Zhùsù fèi li bāokuò zǎocān ma จู้ซู่ เฟ่ย หลี่ เปาคั่ว เจ่าชาน มะ ค่าที่พักรวมอาหารเช้าไหมครับ ประโยคภาษาจีน การนัดหมาย约会. 我想约个时间见格林女士。 Wǒ xiǎng yuē gè shíjiān jiàn gélín nǚshì. หวอ เสี่ยง เย เก้อ สือ เจียน เจี้ยน เก๋อหลิน หนี่ซื่ ฉันอยากจะทำการนัดพบกับคุณเก๋อหลินค่ะ 她周五和周六有空。 Tā zhōu wǔ hé zhōu liù yǒu kòng. ทา โจวอู่ เหอ โจว ลิ่ว โหย่ว ค่ง เขาจะว่างในวันวันพฤหัสบดีและวันเสาร์ 对不起,我能周五之前见她吗? Duìbùqǐ, wǒ néng zhōu wǔ zhīqián jiàn tā ma? ตุ้ยปู้ฉี่, หว่อ เหนิง โจว อู่ จือเฉียน เจี้ยน ทา มะ ขอโทษนะคะ ฉันจะสามารถพบคุณเก๋อหลินก่อนวันพฤหัสบดีได้ไหมคะ 让我查查,她周二下午有30分钟。 Ràng wǒ chá chá, tā zhōu'èr xiàwǔ yǒu 30 fēnzhōng. ร่าง หว่อ ฉา ฉา ,ทา โจว เอ้อ เซี่ยอู๋ โหย่ว 30 เฟินจง ให้ฉันเช็ดดูก่อน  วันอังคารตอนบ่ายเขามีเวลาประมาณ30นาที 什么时间? Shénme shíjiān? เสิน เมอ สือ เจียน เวลากี่โมง 四点到五点。 Sì diǎn dào wǔ diǎn. ซื่อ เตี่ยน เต้า อู๋ เตี่ยน สี่โมงถึงห้าโมง 好吧。 Hǎo ba. ห่าว ปา ค่ะ 你就那时候来,如果来不了,请打电话通知我。 Nǐ jiù nà shíhou lái, rúguǒ lái bu liao, qǐng dǎ diànhuà tōngzhī wǒ. หนี่ จิ้ว น่า สือโฮ่ว ไหล, หรูกั่ว ปู้ เหลี่ยว, ฉิง ต่า เตี้ยนฮว่า ทงจือ หว่อ หากเวลานั้นคุณมาไม่ได้ กรุณาโทรศัพท์แจ้งให้ฉันทราบด้วยนะคะ 我今天下午有面试。 Wǒ jīntiān xiàwǔ yǒu miànshì. หว่อ จิน เทียน เซี่ยอู๋ โหย่ว เมี่ยนซื่อ วันนี้ตอนบ่ายฉันมีสัมภาษณ์ 除星期天外我都能来。 Chú xīngqítiān wài wǒ dou néng lái. ฉู ซิงชีเทียน ว่าย หว่อ โตว เหนิง ไหล นอกจากวันอาทิตย์วันอื่นฉันมาได้หมด 你打电话2371-5520就能找到我。 Nǐ dǎ diànhuà 2371-5520 jiù néng zhǎodào wǒ. หนี ต่า เตี้ยนฮว่า 2371-5520 จิ้ว เหนิง เจ่าเต้า หว่อ คุณโทร 2371-5520 ก็จะเจอฉัน 他打电话来取消会议。 Tā dǎ diànhuà lái qǔxiāo huìyì. ทา ต่า เตี้ยน ฮว่า ไหล ฉู่เซียว ฮุ่ยอี้ เขาโทรศัพท์มายกเลิกการประชุม 你来之前请打电话。 Nǐ lái zhīqián qǐng dǎ diànhuà. หนี่ ไหล จือ เฉียน ฉิ่ง ต่า เตี้ยน ฮว่า ก่อนที่คุณจะมากรุณาโทรศัพท์มาด้วยนะคะ 请跟我秘书定个见面时间。 Qǐng gēn wǒ mìshū dìng gè jiànmiàn shíjiān. ฉิ่ง เกิน หว่อ มี่ ซู ติ้ง เก้อ เจี้ยนเมี่ยน สือเจียน กรุณาทำการนัดหมายเวลาที่เลขาผมเลยครับ ประโยคภาษาจีน เวลา 时间. <br> 现在几点? xiàn zài jí diǎn เซี่ยน จ้าย จี๋ เตี่ยน ตอนนี้กี่โมง <br> 现在两点。 xiàn zài liáng diǎn 。 เซี่ยน จ้าย เหลียง เตี่ยน ตอนนี้2นาฬิกา <br> 下午两点 Xiàwǔ liǎng diǎn. เซี่ย อู่ เหลียง เตี่ยน บ่ายสองโมง <br> 早上九点 Zǎoshang jiǔ diǎn. เจ่า ซ่าง จิ๋ว เตี่ยน เก้าโมง <br> 现在是五点一刻。 xiàn zài shì wú diǎn yí kè 。 เซี่ยน จ้าย ซื่อ อู๋ เตี่ยน อี๋ เค่อ ตอนนี้คือ5นาฬิกา 15 นาที <br> 现在差十分四点。 xiàn zài cha shí fēn sì diǎn 。 เซี่ยน จ้าย ช่า สือ เฟิน ซื่อ เตี่ยน ตอนนี้อีก10นาทีก็จะถึง 4นาฬิกา 现在是九点半。 xiàn zài shì jiú diǎn bàn  เซี่ยน จ้าย ซื่อ จิ๋ว เตี่ยน ป้าน ตอนนี้ 9นาฬิกา30นาที 还没到四点呢。 hái méi dào sì diǎn ne 。 ไห เหมย เต้า ซื่อ เตี่ยน เนอ ยังไม่ถึง4นาฬิกา 我的表是两点钟。 wǒ de biǎo shì liǎng diǎn zhōng 。 หว่อ เตอ เปี่ยว ซื่อ เหลียง เตี่ยน จง เวลานาฬิกาฉันคือ2นาฬิกา <br> 我的表快了两分钟。 wǒ de biǎo kuài le liǎng fēn zhōng 。 หว่อ เตอ เปี่ยว ไคว่ เลอ เหลี่ยง เฟิน จง นาฬิกาของฉันเร็วไป2นาที <br> 你的表几点了? nǐ de biǎo jí diǎn le ?  หนี่ เตอ เปี่ยว จี๋ เตี่ยน เลอ นาฬิกาคุณกี่โมงแล้ว 我们必须准时到那儿。 wǒ mén bì xū zhǔn shí dào nà er 。 หว่อ เหมิน ปี้ ซวี จุ่น สือ เต้า น่าร์ เราต้องถึงที่นั่นตรงเวลา 只用两分钟了。 zhǐ yòng liǎng fēn zhōng le 。 จื่อ โย่ง เหลี่ยง เฟิน จง เลอ ใช้เวลาเพียง2นาที 你能提前完成工作吗? nǐ néng tí qián wán chéng gōng zuò mā ? หนี่ เหนิง ถี เฉียน หวาน เฉิง กง จั้ว มา คุณทำงานให้เสร็จร่วงหน้าด้ไหม <br> 飞机晚点起飞。 fēi jī wán diǎn qǐ fēi 。 เฟยจี หวาน เตี๋ยน ฉี่ เฟย เครื่องบินดีเลย์ 会议延期了。 huì yì yán qí le 。 ฮุ่ย อี้ เหยียน ฉี เลอ การประชุมถูกเลื่อน ประโยคภาษาจีน เจ็บป่วย生病. 你今天感觉怎么样? nǐ jīn tiān gǎn jué zěn me yang ? หนี่ จิน เทียน ก่าน เจี๋ย เจิ่น เมอะ ย่าง วันนี้คุณรู้สึกเป็นไงบ้าง 我觉得不太舒服。 wǒ jué de bú tài shū fu。 หว่อ เจี๋ย เตอ ปู๋ ไท่ ซู ผู่ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสะบาย 你现在觉得好点了吗? nǐ xiàn zài jué de háo diǎn le mā ? หนี่ เซี่ยน จ้าย เจี๋ย เตอ หาว เตี่ยน เลอ มะ ตอนนี้คุณรู้สึกดีขึ้นหรือยัง 好多了。 Hǎo duō le 。 ห่าว ตัว เลอ ดีขึ้นแล้ว 我病了。 wǒ bìng le 。 หว่อ ปิ้ง เลอ ฉันป่วยอยู่ 他头痛的厉害。 tā tóu tòng  de lì hài 。 ทา โถว ท่ง เตอ ลี่ ไห้ เขาปวดหัวรุนแรง 我的烧已经退了。 wǒ de shāo yǐ jīng tuì le 。 หว่อ เตอ เซา อี่ จิง ทุ่ย เลอ ไข้ของฉันหายแล้ว 你怎么啦? ní zěn me la ? หนี เจิ่น เมอ เลอ คุณเป็นยังไงบ้างแล้ว 我背痛。 wǒ bèi tòng 。 หว่อ เป้ย ท่ง หลังของฉันเจ็บ 好痛。 Hǎo tòng 。 ห่าว ท่ง เจ็บอยู่เลย 就这里痛。 jiù zhè lǐ tòng 。 จิ้ว เจ้อ หลี่ ท่ง มันเจ็บตรงนี้ 在流血呢,你最好找个医生看这伤口。 Zài liú xiě ne ,nǐ zuì hǎo zhǎo ge yī shēng kàn zhè shāng kǒu 。 จ้าย หลิว เสี่ย เนอ ,หนี่ จุ้ย หาว เจ่า เก้อ อี เซิง ค่าน เจ้อ ซาง โข่ว มีเลือดไหล คุณต้องรีบไปหาหมอรักษาบาดแผล 快打电话叫医生! Kuài dǎ diàn huà jiào yī shēng ! ไค่ว ต่า เตี้ยน ฮว่า เจี้ยว อี เซิง โทรศัพท์เรียกหมอด่วยเลย 吃两颗药,好好休息一下。 chī liǎng kē yào ,háo hǎo xiū xi yí xià 。 ชือ เหลี่ยง เคอ เย่า  หาวห่าว ซิวซี อี๋เซี่ย ทานยาสองเม็ด  พักผ่อนซักหน่อย 祝你早日恢复健康。 zhù nǐ zǎo rì huī fù jiàn kāng 。 จู้ หนี เจ่า รื่อ ฮุย ฟู่ เจี้ยน คาง ขอให้คุณหายโดยเร็ววัน
9825
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9825
ภาษาจีน/ไวยกรณ์ภาษาจีน
การใช้一点儿กับ有点儿. 1.“一点儿” และ “有点儿” กล่าวคือ “一点儿” จะใช้ในรูปปฏิเสธ หรือใช้กับคำปฏิเสธ เช่น “不”、“没(有)” เป็นต้น เท่านั้น หมายถึง 'ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง, ปฏิเสธทั้งหมด' และมักใช้ร่วมกับกริยาวิเศษณ์ “也”、“都”  ส่วน “有点儿” จะใช้ในรูป (ความหมาย) ปฏิเสธ หรือรูปบอกเล่าธรรมดาก็ได้ มีความหมายว่า 'เล็กน้อย' เช่น  她总有点儿担心 。  妈妈有点儿生哭了。 一点儿也不知道。  他一点儿也不知道这件事。  有点儿没听懂。  有点儿不高兴。 2.เมื่อใช้ในรูป หรือโครงสร้าง “有点儿 + 不 + 形容词/动词” คำคุณศัพท์ (形容词) หรือคำกริยา (动词) จะเป็นคำที่มีความหมายในเชิงบวก (积极意义或褒义) เช่น  有点儿不舒服。  有点儿不高兴。  有点儿不懂事。  有点儿不讲道理。 3.“有点儿” มักใช้ในการเลือก (หรือเปรียบเทียบ) ระหว่างคุณสมบัติของสิ่งของ หรือกริยา (การกระทำ) ในความหมายไม่พึงพอใจ, ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ (不如意的事情) ดังนั้น คำคุณศัพท์ (形容词) หรือคำกริยา (动词) มักเป็นคำที่มีความหมายในเชิงลบ (消极意义或贬义)  แต่ “一点儿” ไม่มีข้อจำกัดนี้ หมายถึงจะใช้กับคำคุณศัพท์ (形容词) หรือคำกริยา (动词) ที่มีความหมายในเชิงลบ หรือเชิงบวกก็ได้ เช่น  有点儿笨 。โง่นิดหน่อย   有点儿难 。ยากเล็กน้อย   有点儿紧张 。ซีเรียสเล็กน้อย   高兴(一)点儿 。ดีใจนิดหน่อย   这个学生笨了(一)点儿。 โง่นิดหน่อย   别紧张,轻松(一)点儿。 ผ่อนคลาย, สบายๆ นิดหน่อย  4.“一点儿” ประกอบด้วย จำนวน หรือเลข (数词) “一” + ลักษณนาม (量词) “点儿” อยู่ในรูปโครงสร้าง “一” + “ 点儿”  หมายถึง 'จำนวนที่ไม่แน่นอน (จำนวนหนึ่ง)' (หรือ '(จำนวน) นิดหน่อย', 'เล็กน้อย' ก็ได้) ใช้ขยายคน หรือสิ่งของ หรือเป็น 定语 นั่นเอง เช่น  买一点儿水果 。ซื้อผลไม้นิดหน่อย -- จำนวนหนึ่ง  学一点儿汉语 。เรียนภาษาจีนกลางนิดหน่อย  做一点儿吃的 。ทำอะไรกินเล็กน้อย   ส่วน “有点儿”เป็นกริยาวิเศษณ์ (副词) หมายถึง 'เล็กน้อย' (稍微) ใช้ขยายคน หรือสิ่งของไม่ได้ แต่ใช้ขยายคำคุณศัพท์ หรือคำกริยา ที่เรียกว่า 状语 นั่นเอง เช่น  有点儿高兴。 ดีใจนิดหน่อย  有点儿生气 。โกรธเล็กน้อย การใช้ 认为 กับ 以为. 以为 คือการคิดวิเคราะห์ หรือประเมินเหตุการณ์นั้นๆ แล้ว แต่ว่า เหตุการณ์จริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น เช่น ตัวอย่าง -我以为她回国了。 ฉันคิดว่าเขากลับประเทศแล้ว (แต่พอเวลาผ่านไปเขายังไม่กลับ) -我以为他不吃饭了。ผมคิดว่าเขาไม่กิน (แต่เขากลับมากินข้าวเฉยเลยนี่) -她以为我去曼谷。เขาคิดว่าฉันไปกรุงเทพ(แต่ที่จริงฉันไม่ได้ไป) 认为 เป็นการคิด วิเคราะห์ และลงความเห็น ตัดสินว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นไปอย่างที่ตัวเองคิด ตัวอย่าง -我认为早上老师不来ฉันคิดตอนเช้าคุณครูไม่มา (วิเคราะห์แล้วว่าคุณครูไม่มาแน่ อาจวิเคราะห์จากเมื่อวานเห็นครูไม่สบาย) -我认为明天下雪 ฉันคิดว่าพรุ่งนี้หิมะตก (วิเคราะห์แล้วว่าหิมะตกแน่ อาจวิเคราะห์จากสภาพอากาศ) การใช้คำว่า 就. 1.就 ใช้แสดงประโยคยืนยัน เช่น<br>         学校就在这里. โรงเรียนก็อยู่ที่นี่ไง<br>          她就在这里. เขาก็อยู่ที่นี่<br>          2.就 ใช้แสดงหมายความเหมือนกัน 只 / 只有 แปลว่า “เหลือแค่, มีเพียง” เช่น<br>          昨天晚上就他没去.เมื่อวาน มีเพียง เขาที่ไม่ได้ไป<br>          今天早上就他没上课 วันนี้ตอนเช้ามีเพียงเขาที่ไม่ได้เข้าเรียน <br> 3.就 ใช้แสดงผลลัพทธ์ของประโยคหลังที่ต่อเนื่องจากประโยคแรก โดยเกิดในทันทีใช้คำเชื่อม "一。…..就…….." เช่น<br>          我一听就明白了.พอฉันฟังก็เข้าใจเลย<br>          我一说他就不听了。พอฉันพูดเขาก็ไม่ฟังเลย<br>  4.就ใช้แสดงความหมายเกี่ยวกับเวลาที่เรารู้สึกว่ามันเร็วกว่าที่คิด เช่น<br>          他六点就起床了 เขาหกโมงเช้าก็ตื่อนนอนแล้ว<br>          她还没吃就走了 เขายังไม่ได้กินก็ไปแล้ว<br>          我还没有说 老师就不听了 ฉันยังไม่ทันพูดอาจารย์ก็ไม่ฟังแล้ว
9826
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9826
ภาษาจีน/ชนิดของคำในภาษาจีน
ชนิดของคำในภาษาจีน. 1. 名词       (míng cí)       คำนาม  2. 代词       (dài cí)          คำสรรพนาม  3.  动词      (dòng cí)       คำกริยา 4. 助动词   (zhù dòng cí)คำกริยานุเคราะห์   5. 形容词   (xíng róng cí)คำคุณศัพท์ 6. 数词       (shù cí)          คำบอกจำนวน   7.  量词      (liàng cí)        คำลักษณะนาม  8. 副词       (fù cí)             คำวิเศษณ์  9. 介词       (jiè cí)            คำบุพบท  10. 连词     (lián cí)          คำสันธาน  11. 助词     (zhù cí)           คำเสริม    12. 叹词     (tàn cí)            คำอุทาน  13. 象声词 (xiàng shēng cí) คำเลียนเสียง
9827
4860
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9827
ตัวอักษรและการออกเสียง
พินอิน หรือ ฮั่นหยู่พินอิน (จีนตัวเต็ม: 漢語拼音; จีนตัวย่อ: 汉语拼音; พินอิน: Hànyǔ Pīnyīn แปลว่า "การถอดเสียงภาษาจีน") คือระบบในการถ่ายถอดเสียงภาษาจีนมาตรฐาน ด้วยตัวอักษรโรมัน ความหมายของพินอินคือ 'การรวมเสียงเข้าด้วยกัน' ในภาษาจีนนั้นไม่มี ตัวสระ ตัวสะกด เหมือนภาษาไทย ฉะนั้น จึงต้องนำตัวพินอิน(ตัวอักษรโรมัน) มาแทนในการออกเสียง ตัวอย่างเช่น คำว่า  我  ตัวพินอินคือ Wǒ  ออกเสียงว่า หว่อ
9843
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9843
หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช/หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต. 1.โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ พืช สัตว์ มนุษย์ จะมีโครงสร้างพื้นฐานเล็ก ๆ เพื่อจะก่อให้เกิดลักษณะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด โดยโครงสร้างเล็กๆ ๆนั้นจะมารวมกันมีกิจกรรมต่างๆร่วมกันจนก่อให้เกิดลักษณะของสิ่งมีชีวิตต่างๆโครงสร้างที่กล่าวถึงนี้จัดว่ามีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งเราเรียกว่า เซลล์ (cell) เซลล์เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต เซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีรูปร่างลักษณะขอบเขต และโครงสร้างของเซลล์ ซึ่งโครงสร้างบางส่วน จะสามารถระบุได้ว่าเซลล์นั้นเป็นลักษณะของสิ่งมีชีวิตชนิดใด ส่วนประกอบของเซลล์พืช. ผนังเซลล์(Cell wall) เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดของเซลล์พืช ประกอบด้วยสสารพวกเซลลูโลสทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่เซลล์พืช เยื่อหุ้มเซลล์ (cell Membrane) เป็นเยื่อบาง ๆ ทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสาร เช่น น้ำ อากาศ และสารละลายต่าง ๆระหว่างภายนอกเซลล์กับภายในเซลล์ ไซโทรพลาสซึม (Cytoplasm) เป็นสารกึ่งแข็งกึ่งเหลวที่อยู่ระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์และนิวเคลียส มีสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ปนอยู่เช่น ส่วนประกอบต่าง ๆ ของเซลล์ อาหารก๊าซ และของเสียต่างๆ โดยทั่วไป เซลล์สัตว์จะมีรูปร่าง ลักษณะแตกต่างไปตามชนิดของอวัยวะ แต่จะมีลักษณะร่วมกันดังนี้ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาสซึม นิวเคลียส ในเซลล์สัตว์จะไม่พบผนังเซลล์และคลอโรพลาสต์ โครงสร้างและส่วนประกอบของเซลล์สัตว์. 1. เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆประกอบด้วยโปรตีนและไขมัน ทำหน้าที่ควบคุมเซลล์ให้คงรูปอยู่ได้และทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารบางอย่าง เช่น น้ำ อากาศ และสารละลายต่า 2. ไซโตรพลาสซึม ( Cytoplasm) มีลักษณะเป็นของเหลวที่มีสิ่งต่างๆปนอยู่  เช่น ส่วนประกอบอื่นๆเซลล์ อาหารซึ่งได้แก่ น้ำตาล   ไขมัน  โปรตีน และของเสีย 3. นิวเคลียส ( Nucleus) มีส่วนประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ -  นิวคลีโอลัส   ( Nucleolus)  ประกอบไปด้วยสารพันธุกรรม DNA และ RNA มีการสร้างโปรตีนให้แก่เซลล์และส่งออกไปใช้นอกเซลล์ -  โครมาติน (Chromatin)  คือ ร่างแหของโครโมโซม โครโมโซมประกอบด้วย DNA หรือยีน ( Gene) โปรตีนหลายชนิดทำหน้าที่ควบคุมการสร้างโปรตีน  DNA เป็นตัวควบคุมการแสดงออกของลักษณะต่างๆ ในสิ่งมีชีวิต โดยการควบคุมโครงสร้างของโปรตีนให้ได้ คุณภาพและปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม
9844
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9844
หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช/ลักษณะโครงสร้างและหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต
ลักษณะโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์. พืชและสัตว์ต่างก็เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์เหมือนกัน เซลล์พืชและเซลล์สัตว์มีขนาด รูปร่าง และลักษณะแตกต่างกันตามความเหมาะสมของหน้าที่ แต่โครงสร้างพื้นฐานหรือองค์ประกอบส่วนใหญ่ทั้งของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์จะคล้ายคลึงกัน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ โครงสร้างพื้นฐานและหน้าที่ของเซลล์. 1. ผนังเซลล์ (cell wall) พบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1665 โดยโรเบิร์ต ฮุค (Robert Hooke) ผนังเซลล์พบในเซลล์พืชเท่านั้นเป็นส่วนที่ไม่มีชีวิต ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงและทำให้เซลล์คงรูปอยู่ได้ ประกอบด้วยเซลลูโลสเป็นส่วนใหญ่และยังประกอบด้วยสารพวกเพกทิน ลิกนิน ฮีมิเซลลูโลส ซูเบอริน ไคทิน และคิวทิน  2. เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ อยู่ล้อมรอบเซลล์ ประกอบด้วยสารประเภทโปรตีนและไขมัน มีหน้าที่ช่วยให้เซลล์คงรูปและควบคุมการแลกเปลี่ยนสารระหว่างภายในและภายนอกเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์พบได้ทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์เป็นส่วนที่มีชีวิต มีความยืดหยุ่นสามารถยืดหดได้มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ มีรูพรุนสำหรับให้สารละลายผ่านเข้าออกได้ เช่น น้ำ น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ยูเรีย กรดอะมิโน เกลือแร่ ออกซิเจน และกลีเซอรอลสามารถผ่านเข้าออกได้ง่าย ส่วนสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้าออกได้เลย เช่น สารพวกโปรตีนและไขมัน จึงเรียกเยื่อที่มีลักษณะแบบนี้ว่า เยื่อกึ่งซึมผ่านได้ (semipermeable membrane หรือ selective permeable membrane 3. ไซโทพลาซึม (cytoplasm) มีลักษณะเป็นของเหลวคล้ายเจลลี่ซึ่งมีน้ำ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และเกลือแร่ต่างๆ เป็นองค์ประกอบ ไซโทพลาซึมเป็นศูนย์กลางการทำงานของเซลล์ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเมแทบอลิซึม (metabolism) ทั้งกระบวนการสร้างและการสลายอินทรียสาร เป็นแหล่งที่เกิดปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ที่จะช่วยให้เซลล์ดำรงชีวิตอยู่ได้ 4. นิวเคลียส (nucleus) อยู่ในไซโทพลาซึม เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของเซลล์ นิวเคลียสทำหน้าที่ควบคุมเมแทบอลิซึมของเซลล์ ควบคุมการสังเคราะห์โปรตีนและเอนไซม์ ควบคุมการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกหลาน ควบคุมกิจกรรมต่างๆ ภายในเซลล์ ควบคุมการเจริญเติบโต และควบคุมลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต 5. คลอโรพลาสต์ (chloroplast) พบเฉพาะในเซลล์ที่มีสีเขียวของพืชและเซลล์ของโพรทิสต์บางชนิด เช่น สาหร่าย คลอโรพลาสต์ประกอบด้วยเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ชั้นนอกทำหน้าที่ควบคุมชนิดและปริมาณของสารที่ผ่านเข้าและออกจากคลอโรพลาสต์ ส่วนชั้นในจะมีลักษณะยื่นเข้าไปภายในและมีการเรียงกันเป็นชั้นๆ อย่างมีระเบียบ ภายในเยื่อหุ้มชั้นในจะมีโมเลกุลของสารสีเขียว เรียกว่า คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) และมีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอาหาร
9845
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9845
หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช/การลำเลียง การแพร่ และ ออสโมซิส
การลำเลียงในพืช การแพร่และการออสโมซิสสี่. โครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงของพืชประกอบด้วยระบบเนื้อเยื่อท่อลำเลียง (vascular tissue system) ซึ่งเนื้อเยื่อในระบบนี้จะเชื่อมต่อกันตลอดทั้งลำต้นพืช โดยทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ สารอนินทรีย์ สารอินทรีย์ และสารละลายที่พืชต้องการนำไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในเซลล์ ระบบเนื้อเยื่อท่อลำเลียงประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ (xylem) กับท่อลำเลียงอาหาร (phloem) ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ. ท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ (xylem) เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆ ทั้งสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ โดยท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิด ดังนี้ 1. เทรคีด (tracheid) เป็นเซลล์เดี่ยว มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาว บริเวณปลายเซลล์แหลม เทรคีดทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆ โดยจะลำเลียงน้ำและแร่ธาตุไปทางด้านข้างของลำต้นผ่านรูเล็กๆ (pit) เทรคีดมีผนังเซลล์ที่แข็งแรงจึงทำหน้าที่เป็นโครงสร้างค้ำจุนลำต้นพืช และผนังเซลล์มีลิกนิน (lignin) สะสมอยู่และมีรูเล็กๆ (pit) เพื่อทำให้ติดต่อกับเซลล์ข้างเคียงได้ เมื่อเซลล์เจริญเต็มที่จนกระทั่งตายไป ส่วนของไซโทพลาซึมและนิวเคลียสจะสลายไปด้วย ทำให้ส่วนตรงกลางของเซลล์เป็นช่องว่าง ส่วนของเทรคีดนี้พบมากในพืชชั้นต่ำ (vascular plant) เช่น เฟิน สนเกี๊ยะ เป็นต้น 2. เวสเซล (vessel) เป็นเซลล์ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่สั้นกว่าเทรคีด เป็นเซลล์เดี่ยวๆ ที่ปลายทั้งสองข้างของเซลล์มีลักษณะคล้ายคมของสิ่ว ที่บริเวณด้านข้างและปลายของเซลล์มีรูพรุน ส่วนของเวสเซลนี้พบมากในพืชชั้นสูงหรือพืชมีดอก ทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆ จากรากขึ้นไปยังลำต้นและใบ เทรคีดและเวสเซลเป็นเซลล์ที่มีสารลิกนินมาเกาะที่ผนังเซลล์เป็นจุดๆ โดยมีความหนาต่างกัน ทำให้เซลล์มีลวดลายแตกต่าง กันออกไปหลายแบบ ตัวอย่างเช่น - annular thickening มีความหนาเป็นวงๆ คล้ายวงแหวน - spiral thickening มีความหนาเป็นเกลียวคล้ายบันไดเวียน - reticulate thickening มีความหนาเป็นจุดๆ ประสานกันไปมาไม่เป็นระเบียบคล้ายตาข่ายเล็กๆ - scalariform thickening มีความหนาเป็นชั้นคล้ายขั้นบันได - pitted thickening เป็นรูที่ผนังและเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ คล้ายขั้นบันได 3. ไซเล็มพาเรนไคมา (xylem parenchyma) มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกหน้าตัดกลมรีหรือหน้าตัดหลายเหลี่ยม มีผนังเซลล์บางๆ เรียงตัวกันตามแนวลำต้นพืช เมื่อมีอายุมากขึ้นผนังเซลล์จะหนาขึ้นด้วย เนื่องจากมีสารลิกนิน (lignin) สะสมอยู่ และมีรูเล็กๆ (pit) เกิดขึ้นด้วย ไซเล็มพาเรนไคมาบางส่วนจะเรียงตัวกันตามแนวรัศมีของลำต้นพืช เพื่อทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆ ไปยังบริเวณด้านข้างของลำต้นพืช พาเรนไคมาทำหน้าที่สะสมอาหารประเภทแป้ง น้ำมัน และสารอินทรีย์อื่นๆ รวมทั้งทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆ ไปยังลำต้นและใบของพืช 4. ไซเล็มไฟเบอร์ (xylem fiber) เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างยาว แต่สั้นกว่าไฟเบอร์ทั่วๆ ไป ตามปกติเซลล์มีลักษณะปลายแหลม มีผนังเซลล์หนากว่าไฟเบอร์ทั่วๆ ไป มีผนังกั้นเป็นห้องๆ ภายในเซลล์ ไซเล็มไฟเบอร์ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างค้ำจุนและให้ความแข็งแรงแก่ลำต้นพืช ท่อลำเลียงอาหาร. ท่อลำเลียงอาหาร (phloem) เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารและสร้างความแข็งแรงให้แก่ลำต้นพืช โดยท่อลำเลียงอาหารประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิด ดังนี้ 1. ซีพทิวบ์เมมเบอร์ (sieve tube member) เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาว เป็นเซลล์ที่มีชีวิต ประกอบด้วย ช่องว่างภายในเซลล์ (vacuole) ขนาดใหญ่มาก เมื่อเซลล์เจริญเติบโตเต็มที่แล้วส่วนของนิวเคลียสจะสลายไปโดยที่เซลล์ยังมีชีวิตอยู่ ผนังเซลล์ของซีพทิวบ์เมมเบอร์มีเซลลูโลส (cellulose) สะสมอยู่เล็กน้อย ซีพทิวบ์เมมเบอร์ทำหน้าที่เป็นทางส่งผ่านของอาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โดยส่งผ่านอาหารไปยังส่วนต่างๆ ของลำต้นพืช 2. คอมพาเนียนเซลล์ (companion cell) เป็นเซลล์พิเศษที่มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์แม่เซลล์เดียวกันกับซีพทิวบ์-เมมเบอร์ โดยเซลล์ต้นกำเนิด 1 เซลล์จะแบ่งตัวตามยาวได้เซลล์ 2 เซลล์ โดยเซลล์หนึ่งมีขนาดใหญ่ อีกเซลล์หนึ่งมีขนาดเล็ก เซลล์ขนาดใหญ่จะเจริญเติบโตไปเป็นซีพทิวบ์เมมเบอร์ ส่วนเซลล์ขนาดเล็กจะเจริญเติบโตไปเป็นคอมพาเนียนเซลล์ คอมพาเนียนเซลล์เป็นเซลล์ขนาดเล็กที่มีรูปร่างผอมยาว มีลักษณะเป็นเหลี่ยม ส่วนปลายแหลม เป็นเซลล์ที่มีชีวิต มีไซโทพลาซึมที่มีองค์ประกอบของสารเข้มข้นมาก มีเซลลูโลสสะสมอยู่ที่ผนังเซลล์เล็กน้อย และมีรูเล็กๆ เพื่อใช้เชื่อมต่อกับซีพทิวบ์เมมเบอร์ คอมพาเนียนเซลล์ทำหน้าที่ช่วยเหลือซีพทิวบ์เมมเบอร์ให้ทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเซลล์มีอายุมากขึ้น เนื่องจากเมื่อซีพทิวบ์เมมเบอร์มีอายุมากขึ้นนิวเคลียสจะสลายตัวไปทำให้ทำงานได้น้อยลง 3. โฟลเอ็มพาเรนไคมา (phloem parenchyma) เป็นเซลล์ที่มีชีวิต มีผนังเซลล์บาง มีรูเล็กๆ ที่ผนังเซลล์ โฟลเอ็มพาเรนไคมาทำหน้าที่สะสมอาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ลำเลียงอาหารไปยังส่วนต่างๆ ของพืช และเสริมความแข็งแรงให้กับท่อลำเลียงอาหาร 4. โฟลเอ็มไฟเบอร์ (phloem fiber) มีลักษณะคล้ายกับไซเล็มไฟเบอร์ มีรูปร่างลักษณะยาว มีหน้าตัดกลมหรือรี โฟลเอ็มไฟเบอร์ทำหน้าที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับท่อลำเลียงอาหาร และทำหน้าที่สะสมอาหารให้แก่พืช การทำงานของระบบการลำเลียงสารของพืช. ระบบลำเลียงของพืชมีหลักการทำงานอยู่ 2 ประการ คือ 1. ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุผ่านทางท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ (xylem) โดยลำเลียงจากรากขึ้นไปสู่ใบ เพื่อนำน้ำและแร่ธาตุไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 2. ลำเลียงอาหาร (น้ำตาลกลูโคส) ผ่านทางท่อลำเลียงอาหาร (phloem) โดยลำเลียงจากใบไปสู่ส่วนต่างๆ ของพืช เพื่อใช้ในการสร้างพลังงานของพืช การลำเลียงสารของพืชมีความเกี่ยวข้องกับกระบวนต่างๆ อีกหลายกระบวนการ ซึ่งต้องทำงานประสานกันเพื่อให้การลำเลียงสารของพืชเป็นไปตามเป้าหมาย ระบบลำเลียงของพืชเริ่มต้นที่ราก บริเวณขนราก (root hair) ซึ่งมีขนรากมากถึง 400 เส้นต่อพื้นที่ 1 ตารางมิลลิเมตร โดยขนรากจะดูดซึมน้ำโดยวิธีการที่เรียกว่า การออสโมซิส (osmosis) และวิธีการแพร่แบบอื่นๆ อีกหลายวิธี น้ำที่แพร่เข้ามาในพืชจะเคลื่อนที่ไปตามท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ (xylem) เพื่อลำเลียงต่อไปยังส่วนต่างๆ ของพืช เมื่อน้ำและแร่ธาตุต่างๆ เคลื่อนที่ไปตามท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุและลำเลียงไปจนถึงใบ ใบก็จะนำน้ำและแร่ธาตุนี้ไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เมื่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงดำเนินไปเรื่อยๆ จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำตาล น้ำตาลจะถูกลำเลียงผ่านทางท่อลำเลียงอาหาร (phloem) ไปตามส่วนต่างๆ เพื่อเป็นอาหารของพืช และลำเลียงน้ำตาลบางส่วนไปเก็บสะสมไว้ที่ใบ ราก และลำต้น การแพร่ (diffusion) เป็นการเคลื่อนที่ของสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นมากกว่าไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า การออสโมซิส (osmosis) เป็นการแพร่ของน้ำจากบริเวณที่มีน้ำมากกว่า (สารละลายเจือจาง) ไปสู่บริเวณที่มีน้ำน้อยกว่า (สารละลายเข้มข้น) การทำงานของระบบลำเลียงสารของพืชต้องใช้วิธีการแพร่หลายชนิด โดยมีท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ (xylem) และท่อลำเลียงอาหาร (phloem) เป็นเส้นทางในการลำเลียงสารไปยังลำต้น ใบ กิ่ง และก้านของพืช
9846
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9846
หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช/การสืบพันธ์ุและการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพืช
ความหมาย. การสืบพันธุ์ คือ การสร้างชีวิตใหม่จากสิ่งมีชีวิตเดิม เพื่อดำรงสืบพันธุ์ไป เป็นกระบวนการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง การสืบพันธุ์ของพืชโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น2 แบบ คือ. 1. การสืบพันธุ์แบบอาศัยไม่เพศ (Asexual reproduction) เป็นการสืบพันธุ์ที่ไม่ต้องใช้เซลล์ สืบพันธุ์ แต่ใช่ส่วนอื่นๆขยายพันธุ์แทน เช่น -การแตกหน่อ (budding) ได้แก่ หน่อกล้วย ไผ่ กล้วยไม้ เป็นต้น -การสร้างสปอร์ (sporeformation) ได้แก่ มอส เฟิร์น เป็นต้น -การตอนกิ่ง (marcotting) ได้แก่ กุหลาบ มะม่วง ส้ม เงาะ เป็นต้น -การติดตา (budding) ได้แก่ กุหลาบ ยางพารา เป็นต้น-การทาบกิ่ง (grafting) ได้แก่ มะม่วง ทุเรียน เป็นต้น -การปักชำ (cutting) ได้แก่ ชบา เฟื่องฟ้า เป็นต้น - การแตกต้นใหม่จากส่วนต่างๆของพืช 2. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ(Sexualreproduction) เป็นการสืบพันธุ์ที่ต้องอาศัยดอกมีการผสมกันระหว่างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย การจำแนกประเภทของดอกไม้ประเภทของดอกไม้สามารถจำแนกออกได้เป็น4 ประเภท คือ 1. ดอกสมบูรณ์ (Complete flower) คือ ดอกไม้ที่มีครบทั้ง 4วงคือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย เช่น มะเขือ พริก ชบา เป็นต้น (ดอกสมบูรณ์ต้องเป็นดอกสมบูรณ์เพศเสมอ) 2. ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect flower) คือดอกที่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เช่น มะม่วง กุหลาบ ชบา เป็นต้น(อาจเป็นดอกสมบูรณ์หรือไม่ก็ได้) 3. ดอกไม่สมบูรณ์ (Incomplete flower) คือ ดอกไม้ที่มีส่วนประกอบไม่ครบทั้ง 4 วง อาจขาดวงใดวงหนึ่งหรือ 2 วงก็ได้ เช่น กาฝาก หน้าวัว ข้าวโพด ตำลึง เป็นต้น (อาจเป็นดอกสมบูรณ์เพศหรือไม่สมบูรณ์เพศก็ได้) 4. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (Imperfect flower) คือดอกไม้ที่มีแต่เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียเพียงอย่างเดียวในแต่ละดอก เช่น แตง บวบ ข้าวโพด เป็นต้น (เป็นดอกไม่สมบูรณ์เสมอ)                 การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของพืชดอก การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ของพืชดอกจะเกิดขึ้นภายใน อับเรณู (anther)โดยมีไมโครสปอร์มาเทอร์เซลล์ (microspore mother cell) แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้4 ไมโครสปอร์(microspore) แต่ละเซลล์มีโครโมโซมเท่ากับ n หลังจากนั้นนิวเคลียสของไมโครสปอร์จะแบ่งแบบไมโทซิส ได้ 2 นิวเคลียสคือ เจเนอเรทิฟนิวเคลียส (generativenucleus) และทิวบ์นิวเคลียส (tube nucleus) เรียกเซลล์ในระยะนี้ว่า ละอองเรณู(pollen grain)หรือแกมีโทไฟต์เพศผู้ (male gametophyte) ละอองเรณูจะมีผนังหนาผนังชั้นนอกอาจมีผิวเรียบหรือเป็นหนามเล็กๆแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิดของพืชเมื่อละอองเรณูแก่เต็มที่อับเรณูจะแตกออกทำให้ละอองเรณูกระจายออกไปพร้อมที่จะผสมพันธุ์ต่อไปได้ การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียของพืชดอกเกิดขึ้นภายในรังไข่ภายในรังไข่อาจมีหนึ่งออวุล (ovule) หรือหลายออวุลภายในออวุลมีหลายเซลล์ แต่จะมีเซลล์หนึ่งที่มีขนาดใหญ่ เรียกว่า เมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์(megaspore mother cell)มีจำนวนโครโมโซม 2n ต่อมาจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้4 เซลล์สลายไป 3 เซลล์ เหลือ 1 เซลล์ เรียกว่า เมกะสปอร์ (megaspore) หลังจากนั้นนิวเคลียสของเมกะสปอร์จะแบ่งแบบไมโทซิส3 ครั้ง ได้ 8 นิวเคลียส และมีไซโทพลาซึมล้อมรอบ เป็น 7เซลล์ 3 เซลล์อยู่ตรงข้ามกับไมโครไพล์ (micropyle) เรียกว่า แอนติแดล (antipodals)ตรงกลาง 1 เซลล์มี 2 นิวเคลียสเรียก เซลล์โพลาร์นิวคลีไอ(polar nuclei cell)ด้านไมโครไพล์มี 3 เซลล์ ตรงกลางเป็นเซลล์ไข่ (eggcell) และ2 ข้างเรียก ซินเนอร์จิดส์(synergids) ในระยะนี้ 1 เมกะสปอร์ได้พัฒนามาเป็นแกมีโทไฟต์ที่เรียกว่า ถุงเอ็มบริโอ (embryo sac) หรือแกมีโทไฟต์เพศเมีย (female gametophyte) การเจริญเติบโตของพืช การเจริญเติบโตของพืช คือ การเพิ่มขนาดของพืช ซึ่งประกอบด้วยกระบวนการสำคัญ3 กระบวนการคือ  1. การเพิ่มจำนวนเซลล์ 2. การขยายขนาดของเซลล์ 3.การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ คือ 1. เปลือกหุ้มเมล็ด(seed coat) อยู่ชั้นนอกสุดของเมล็ด ป้องกันอันตรายให้เมล็ด 2. เอนโดสเปิร์ม (endosperm) ทำหน้าที่ สะสมอาหารพวกแป้ง โปรตีน ไขมัน และน้ำตาล ไว้เลี้ยงต้นอ่อนในเมล็ด 3.ต้นอ่อน(embryo) คือ ส่วนที่เจริญไปเป็นต้นอ่อน ประกอบด้วย - ใบเลี้ยง(cotyledon) ทำหน้าที่ สะสมอาหารให้ต้นอ่อน  - ส่วนของต้นอ่อนที่อยู่เหนือใบเลี้ยง(epicotyl) จะเจริญไปเป็นลำต้นส่วนบน กิ่ง ก้าน ใบ ส่วนปลายสุดเรียกว่า ยอดแรกเกิด (plumule) - ส่วนของต้นอ่อนที่อยู่ใต้ใบเลี้ยง(hypocotyl) จะเจริญไปเป็นลำต้นส่วนล่าง ส่วนปลายสุดที่อยู่ใต้ใบเลี้ยงเรียกว่า รากแรกเกิด (radicle)ซึ่งจะกลายเป็นรากแก้วต่อไป  รากแรกเกิดจะงอกออกมาทางรอยแผลเป็น (raphae) ซึ่งบริเวณนี้จะมีรูที่เรียกว่า ไมโครไพล์ (micropyle)เป็นทางงอกของเมล็ด ปัจจัยที่มีต่อการงอกของเมล็ด        1. น้ำ  2.ออกซิเจน 3.อุณหภูมิที่พอเหมาะ  การตอบสนองต่อสิ่งเร้า. การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพืช มีปัจจัยหลัก 2 ประการ ดังนี้ 1. การเคลื่อนไหวเนื่องจากการเจริญเติบโต แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ 1.1 การเคลื่อนไหวแบบอัตโนวัติ(Autonomic movement) ซึ่งเกิดจากสิ่งเร้าภายในคือฮอร์โมนออกซิน ขณะเจริญเติบโตปลายยอดจะแกว่งวนเป็นวงหรือโยกไปมาเรียกว่า นิวเตชัน(nutation)หรือในพืชบางชนิดลำต้นจะบิดเป็นเกลียวช้าๆและเป็นเกลียวถาวรเรียกว่า สไปรอล(spiralmovement) พบในพืชพวกตำลึง บวบ ฟักทอง 1.2 การเคลื่อนไหวแบบพาราโทนิก(Paratonic movement)เกิดจากสิ่งเร้าภายนอก เช่น อุณหภูมิ แสงสว่าง แรงโน้มถ่วงของโลก หรือสารเคมีบางอย่างมาทำให้พืชเกิดการเจริญเติบโตไม่เท่ากัน - การเคลื่อนไหวแบบนาสติก(Nastic movement)เป็นการเคลื่อนไหวแบบมีทิศทางไม่สัมพันธ์กับสิ่งเร้า -การเคลื่อนไหวแบบทรอปิซึม(Tropism) เป็นการเคลื่อนไหวแบบมีทิศทางสัมพันธ์กับสิ่งเร้า 2. การเคลื่อนไหวเนื่องจากแรงดันเต่ง(Turgormovement) เกิดจากการมีน้ำเข้าไปทำให้เซลล์เต่งหรือเนื่องจากการสูญเสียน้ำออกไปทำให้แรงดันเต่งลดลง เช่น ต้นไมยราบจะหุบใบถ้ามีการกระเทือนเกิดขึ้นหรือถ้าเราไปสัมผัส ตรงโคนก้านใบและโคนก้านใบย่อยจะมีกลุ่มเซลล์ชนิดหนึ่งรวมเป็นกระเปาะเรียกว่า พัลวินัส(pulvinus)เมื่อมีสิ่งใดมาสัมผัสจะมีผลให้แรงดันเต่งลดลงอย่างรวดเร็ว ใบจึงหุบทันที พืชพวกกระถิน จามจุรี และใบพืชตระกูลถั่วอย่างอื่นจะหุบใบในตอนพลบค่ำเพราะเมื่อความเข้มของแสงลดลง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแรงดันเต่งของกลุ่มเซลล์ด้านบนและด้านล่างของโคนก้านใบและแผ่นใบทำให้ใบหุบ หรือที่เรียกกันว่า“ต้นไม้รู้นอน” พืชบางชนิดสามารถจับแมลงเป็นอาหารได้ เช่น ต้นกาบหอยแคง
9847
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9847
หน่วยของชีวิตและชีวิตพืช/การสังเคราะห์ด้วยแสง
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง [ Photosynthesis].  เป็นกระบวนการที่ประกอบด้วยปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันเป็นลำดับที่ชั้นพาลิเสดเซลล์ของพืชโดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่คลอโรพลาสต์ในเซลล์พืชรับมาเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจนจากน้ำหรือแหล่งไฮโดรเจนอื่น ๆ ให้กลายเป็นสารประกอบประเภทคาร์โบไฮเดรทและมีก๊าซออกซิเจนเกิดขึ้น  กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงและการหายใจในเซลล์จะทำงานร่วมกันอย่างสมดุลโดยกระบวนการหายใจจะสลายอาหารได้ พลังงาน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงจะสร้างคาร์โบไฮเดรท และมีก๊าซออกซิเจนเกิดขึ้นเป็นวัฎจักร การสังเคราะห์ด้วยแสงจะเกิดขึ้นในมหาสมุทร มากที่สุดประมาณ85 %โดยเฉพาะอย่างยิ่งไดอะตอมเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการสังเคราะห์ด้วยแสงเกิดขึ้นมากที่สุดการสังเคราะห์ด้วยแสงของสิ่งมีชีวิตบนพื้นดินมีประมาณ10% และแหล่งน้ำจืด 5% ตามลำดับ คลอโรพลาสต์ [ Chloroplast ].  เป็นออร์แกเนลล์ชนิดหนึ่งในเซลล์พืช ภายในคลอโรพลาสต์มีคลอโรฟิลล์เป็นองค์ประกอบ ซึ่งสามารถดูดกลืนพลังงานจาก ดวงอาทิตย์ มาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง คลอโรพลาสต์ในพืชชั้นสูงจะมีลักษณะเป็นรูปไข่หรือกลมรีขนาดยาวประมาณ 5 ไมครอน กว้าง 2 ไมครอน หนา 1-2 ไมครอน มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ภายในประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ Stroma และ Lamella มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ซ้อนกันประกอบด้วยโปรตีน ไขมัน คลอโรฟิลล์และรงควัตถุ แผ่นลาเมลลาซ้อนกันหลาย ๆ ชั้นเรียกว่า กรานา (Grana) แผ่นลาเมลลาแต่ละแผ่นที่ซ้อนอยู่ในกรานาเรียกว่า ไทลาคอยด์ (Thylakoid) เป็นแหล่งรับพลังงานจากแสง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของรงควัตถุระบบ 1 และรงควัตถุระบบ 2 มีชื่อเรียกว่า ควอนตาโซม (Quantasome)                 • รงควัตถุคือ สารที่สามารถดูดกลืนแสง รงควัตถุแต่ละชนิดจะดูดกลืนแสงสะท้อนสีต่างกัน                  • คลอโรฟิลล์ เป็นรงควัตถุที่พบในใบไม้สามารถดูดกลืนแสงสี ม่วง น้ำเงิน แดงได้แต่สะท้อนแสงสีเขียว จึงทำให้เราเห็นใบไม้เป็นสีเขียว                  • สโตรมา (Stroma) เป็นของเหลวใส มีเอนไซม์หลายชนิดที่นำไปใช้ในปฏิกิริยาที่ไม่ต้องใช้แสง                  • ลาเมลลา เป็นส่วนหนึ่งของเยื่อหุ้มชั้นในที่ยื่นเข้าไปในคลอโรพลาสต์                  ปัจจัย ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสง ความเข้มของแสง. ถ้ามีความเข้มของแสงมาก อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด อุณหภูมิกับความเข้มของแสง มีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงร่วมกัน คือ ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ความเข้มของแสงน้อยจะไม่ทำให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงเพิ่มขึ้น อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขีดหนึ่งแล้วอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดต่ำลงตามอุณหภูมิและความเข้มของแสงที่เพิ่มขึ้นและยังขึ้นอยู่กับชนิดของพืชอีกด้วยเช่น พืช c3และ พืช c4 โดยปกติ ถ้าไม่คิดถึงปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชส่วนใหญ่จะเพิ่มมากขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นในช่วง 0-35 °C หรือ 0-40 °C ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดลง ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นปฏิกิริยาที่มีเอนไซม์ควบคุม และการทำงานของเอนไซม์ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ดังนั้น เรื่องของอุณหภูมิจึงมีความสัมพันธ์กับอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง เรียกปฏิกิริยาเคมีที่มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิว่า ปฏิกิริยาเทอร์โมเคมิคัล ถ้าความเข้มของแสงน้อยมาก จนทำให้การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชเกิดขึ้นน้อยกว่ากระบวนการหายใจ น้ำตาลถูกใช้หมดไป พืชจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความเข้มของแสงเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความยาวคลื่น (คุณภาพ) ของแสง และช่วงเวลาที่ได้รับ เช่น ถ้าพืชได้รับแสงนานจะมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงดีขึ้น แต่ถ้าพืชได้แสงที่มีความเข้มมากๆ ในเวลานานเกินไป จะทำให้กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงชะงัก หรือหยุดลงได้ทั้งนี้เพราะคลอโรฟิลล์ถูกกระตุ้นมากเกินไป ออกซิเจนที่เกิดขึ้นแทนที่จะออกสู่บรรยากาศภายนอก พืชกลับนำไปออกซิไดส์ส่วนประกอบและสารอาหารต่างๆภายในเซลล์ รวมทั้งคลอฟิลล์ทำให้สีของคลอโรฟิลล์จางลง ประสิทธิภาพของคลอโรฟิลล์และเอนไซม์เสื่อมลง ทำให้การสร้างน้ำตาลลดลง ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้นจากระดับปกติที่มีในอากาศ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย จนถึงระดับหนึ่งถึงแม้ว่าความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงขึ้น แต่อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงไม่ได้สูงขึ้นตามไปด้วย และถ้าหากว่าพืชได้รับคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีความเข้มข้นสูงกว่าระดับน้ำแล้วเป็นเวลานานๆ จะมีผลทำให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงลดต่ำลงได้ คาร์บอนไดออกไซด์จะมีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วย เช่น ความเข้มข้นสูงขึ้น แต่ความเข้มของแสงน้อย และอุณหภูมิของอากาศก็ต่ำ กรณีเช่นนี้ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดต่ำลงตามไปด้วย ในทางตรงกันข้าม ถ้าคาร์บอนไดออกไซด์มีความเข้มข้นสูงขึ้น ความเข้มของแสงและอุณหภูมิของอากาศก็เพิ่มขึ้น กรณีเช่นนี้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย นักชีววิทยาจึงมักเลี้ยงพืชบางชนิดไว้ในเรือนกระจกที่แสงผ่านเข้าได้มากๆ แล้วให้ คาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งมีผลทำให้พืชมีกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเพิ่มมากขึ้น อาหารเกิดมากขึ้น จึงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ออกดอกออกผลเร็ว และออกดอกออกผลนอกฤดูกาลก็ได้                 อุณหภูมิ อุณหภูมิ เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โดยทั่วไปอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 10-35 °C ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นกว่านี้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดต่ำลงตามอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงที่อุณหภูมิสูงๆ ยังขึ้นอยู่กับเวลาอีกปัจจัยหนึ่งด้วย กล่าวคือ ถ้าอุณหภูมิสูงคงที่ เช่น ที่ 40 °C อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดลงตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะเอนไซม์ทำงานได้ดีในช่วงอุณหภูมิที่พอเหมาะ ถ้าสูงเกิน 40 °C เอนไซม์จะเสื่อมสภาพทำให้การทำงานของเอนไซม์ชะงักลง ดังนั้นอุณหภูมิจึงมีความสัมพันธ์ต่อการสังเคราะห์แสงด้วย เรียกปฏิกิริยาเคมีที่มีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิว่า ปฏิกิริยาเทอร์มอเคมิคอล (Thermochemical reaction)                 ออกซิเจน ตามปกติในอากาศจะมีปริมาณของออกซิเจน (O2) ประมาณ 25% ซึ่งมักคงที่อยู่แล้ว จึงไม่ค่อยมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง แต่ถ้าปริมาณออกซิเจนลดลงจะมีผลทำให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงสูงขึ้น แต่ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ของสารต่างๆ ภายในเซลล์ โดยเป็นผลจากพลังงานแสง (Photorespiration) รุนแรงขึ้น การสังเคราะห์ด้วยแสงจึงลดลง                 น้ำ น้ำ ถือเป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (แต่ต้องการประมาณ 1% เท่านั้น จึงไม่สำคัญมากนักเพราะพืชมีน้ำอยู่ภายในเซลล์อย่างเพียงพอ) อิทธิพลของน้ำมีผลต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงทางอ้อม คือ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์                 เกลือแร่<br>                 ธาตุแมกนีเซียม (Mg) , และไนโตรเจน (N) ของเกลือในดิน มีความสำคัญต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง เพราะธาตุดังกล่าวเป็นองค์ประกอบอยู่ในโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ดังนั้น ถ้าในดินขาดธาตุทั้งสอง พืชก็จะขาดคลอโรฟิลล์ ทำให้การสังเคราะห์ด้วยแสงลดลงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าเหล็ก (Fe) จำเป็นต่อการสร้างคลอโรฟิลล์ และสารไซโตโครม (ตัวรับและถ่ายทอดอิเล็กตรอน) ถ้าไม่มีธาตุเหล็กในดินเพียงพอ การสังเคราะห์คลอโรฟิลล์ก็จะเกิดขึ้นไม่ได้และ ฟอสฟอรัสอีกด้วย                 อายุของใบ ใบจะต้องไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป ทั้งนี้เพราะในใบอ่อนคลอโรฟิลล์ยังเจริญไม่เต็มที่ ส่วนใบที่แก่มากๆ คลอโรฟิลล์จะสลายตัวไปเป็นจำนวนมาก สมการเคมีในการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นดังนี้. สรุปสมการเคมีในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชสีเขียวเป็นดังนี้ :                     nCO2 + 2nH2O + พลังงานแสง → (CH2O) n + nO2 + nH2O                     เฮกโซส น้ำตาล และ แป้ง เป็นผลผลิตขั้นต้นดังสมการดังต่อไปนี้:                     6CO2 + 12H2O + พลังงานแสง → C6H12O6 + 6O2 + 6H2O
9849
3383
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9849
สารในชีวิตประจำวัน/ความหมายและสมบัติของสาร
ความหมายของสสารและสาร. สสาร ( matter) คือสิ่งที่มีมวล  ต้องการที่อยู่  และสามารถสัมผัสได้  หรืออาจหมายถึงสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา มีตัวตน ต้องการที่อยู่  สัมผัสได้ อาจมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ได้  เช่น อากาศ หิน เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์เรียกสสารที่รู้จักว่า สาร สาร ( substance) คือสสารที่ศึกษาค้นคว้าจนทราบสมบัติและองค์ประกอบที่แน่นอน สมบัติของสาร หมายถึงลักษณะเฉพาะตัวของสาร เช่น เนื้อสาร สี กลิ่น รส การนำไฟฟ้า การละลายน้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความเป็นกรด– เบส  เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์แบ่งสมบัติของสารออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.สมบัติทางกายภาพ หรือสมบัติทางฟิสิกส์ (physical properties)  หมายถึง สมบัติของสารที่สามารถสังเกตได้จากลักษณะภายนอก  หรือจากการทดลองที่ไม่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมี เข่น สถานะ  เนื้อสาร  สี  กลิ่น  รส  ความหนาแน่น  จุดเดือด  จุดหลอมเหลว  การนำไฟฟ้า  การละลายน้ำ  ความแข็ง  ความเหนียว  เป็นต้น 2.สมบัติทางเคมี ( chemical  properties)  หมายถึง  สมบัติที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาเคมีและองค์ประกอบทางเคมีของสาร เช่น  การติดไฟ  การผุกร่อน  การทำปฏิกิริยากับน้ำ  การทำปฏิกิริยากับกรด – เบส  เป็นต้น สถานะของสาร. สารแบ่งออกเป็น  3  สถานะ  คือ  1.ของแข็ง ( solid)  หมายถึงสารที่มีลักษณะรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลง และมีรูปร่างเฉพาะตัว  เนื่อจากอนุภาคในของแข็งจัดเรียงชิดติดกันและอัดแน่นอย่างมีระเบียบไม่มีการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนที่ได้น้อยมาก ไม่สามารถทะลุผ่านได้และไม่สามารถบีบหรือทำให้เล็กลงได้  เข่น  ไม้  หิน  เหล็ก  ทองคำ  ดิน  ทราย  พลาสติก  กระดาษ  เป็นต้น 2.ของเหลว ( liquid)  หมายถึงสารที่มีลักษณะไหลได้  มีรูปร่างตามภาชนะที่บรรจุ เนื่องจากอนุภาคในของเหลวอยู่ห่างกันมากกว่าของแข็ง  อนุภาคไม่ยึดติดกันจึงสามารถเคลื่อนที่ได้ในระยะใกล้ และมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน มีปริมาตรคงที่  สามารถทะลุผ่านได้  เช่น  น้ำ  แอลกอฮอล์ น้ำมันพืช  น้ำมันเบนซิน  เป็นต้น 3.แก๊ส  (gas) หมายถึงสารที่ลักษณะฟุ้งกระจายเต็มภาชนะที่บรรจุ  เนื่องจากอนุภาคของแก๊สอยู่ห่างกันมาก  มีพลังงานในการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปได้ในทุกทิศทางตลอดเวลา  จึงมีแรงดึงดูดระหว่างอนุภาคน้อยมาก สามารถทะลุผ่านได้ง่าย  และบีบอัดให้เล็กลงได้ง่าย  เช่น  อากาศ  แก๊สออกซิเจน  แก๊สหุงต้ม  เป็นต้น อนุภาคของสาร                ในปี พ.ศ. 2348 ( ค.ศ. 1805) จอห์น  ดาลตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้เสนอแนวคิดว่า “ อนุภาคที่เล็กที่สุดของสารซึ่งไม่สามารถแบ่งย่อยให้เล็กลงได้อีก  เรียกว่า  อะตอม  “  และต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอะตอมและอนุภาคของสารมากขึ้นทำให้ทราบว่าอนุภาคของสารที่สำคัญมี  3  ชนิด  คือ 1. อะตอม ( atom) เป็นอนุภาคของสารที่เล็กที่สุดที่อยู่ตามลำพังได้ยาก  ดังนั้นอะตอมมักจะอยู่รวมกันเป็นอนุภาคที่ใหญ่ขึ้น  เรียกว่า  “ โมเลกุล “  เช่น อะตอมของออกซิเจน ( O) จะรวมกันเป็นโมเลกุลของแก๊สออกซิเจน ( O2) , อะตอมของไฮโดรเจน( H) รวมกับอะตอมของออกซิเจน ( O)  เป็นโมเลกุลของน้ำ ( H O2)  เป็นต้น  หรืออะตอมอาจรวมกันเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่เรียกว่า “ โครงผลึกหรือผลึก “  เช่น คาร์บอน ( C) จะอยู่รวมกันในธรรมชาติเป็นโครงผลึกขนาดใหญ่และมีความแข็งแรงมากในรูปของเพชรหรือแกรไฟต์ การศึกษาเกี่ยวกับอะตอมของธาตุนิยมใช้สัญลักษณ์แทนการเรียนชื่อธาตุโดยใช้อักษณตัวแรกและตัวอักษรถัดไปในภาษาอังกฤษหรือภาษาละติน แต่การอ่านชื่อธาตุอ่านเป็นภาษาอังกฤษเสมอ เช่น  ธาตุไฮโดรเจน ชื่อภาษาอังกฤษ  hydrogen สัญลักษณ์  H  เป็นต้น 2. โมเลกุล (molecule)  หมายถึงอนุภาคที่เล็กที่สุดของสารที่สามารถอยู่ในธรรมชาติได้อย่างอิสระ  โมเลกุลเกิดจากอะตอมตั้งแต่ 2 อะตอมขึ้นไปมารวมกันในทางเคมี และเขียนแทนโมเลกุลด้วยสัญลักษณ์ของอะตอมที่มารวมกันนี้ว่า  สูตรเคมี เช่น  โมเลกุลของน้ำ  สูตรโมเลกุล คือ H O2 3. ไอออน ( ion) หมายถึงอะตอมหรือกลุ่มของอะตอมที่มีประจุไฟฟ้า  มี 2  ชนิด  คือ  ไอออนบวก และไอออนลบ  เช่น H -  (ไฮโดรเจนไอออน) ,  Na+  ( โซเดียมไอออน) เป็นต้น
9850
3383
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9850
สารในชีวิตประจำวัน/ประเภทของสาร
การจำแนกประเภทของสาร ในการศึกษาเรื่องสาร จำเป็นต้องแบ่งสารออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำสาร โดยทั่วไปนิยมใช้สมบัติทางกายภาพด้านใดด้านหนึ่งของสารเป็นเกณฑ์ในการจำแนกสารซึ่งมีหลายเกณฑ์ด้วยกัน เช่น 1.ใช้สถานะเป็นเกณฑ์ จะแบ่งสารออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.1 ของแข็ง (solid) 1.2 ของเหลว (liquid) 1.3 ก๊าซ (gas)ใช้ 2.ใช้ความเป็นโลหะเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 2.1 โลหะ (metal) 2.2 อโลหะ (non-metal 2.3 กึ่งโลหะ (metaliod) 3.ใช้การละลายน้ำเป็นเกณฑ์ แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ 3.1 สารที่ละลายน้ำ 3.2 สารที่ไม่ละลายน้ำ 4.ใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 4.1 สารเนื้อเดียว (homogeneous substance) 4.2 สารเนื้อผสม (heterogeneous substance) สารเนื้อเดียว. สารเนื้อเดียว (Homogeneous Substance) หมายถึง สารที่มีลักษณะของเนื้อสารผสมกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียว และมีอัตราส่วนของผสมเท่ากัน ถ้านำส่วนใดส่วนหนึ่งของสารเนื้อเดียวไปทดสอบจะมีสมบัติเหมือนกันทุกประการ เช่น น้ำกลั่นและเกลือแกง เป็นสารเนื้อเดียว เมื่อนำเกลือแกงใส่ในน้ำแล้วคนให้ละลายจะได้สารละลายน้ำเกลือ ซึ่งเป็นสารเนื้อเดียวที่มีอัตราส่วนของน้ำและเกลือแกงเหมือนกันทุกส่วน สารเนื้อเดียวมีได้ทั้ง 3 สถานะ คือ 1.สารเนื้อเดียวสถานะของแข็ง เช่น เหล็ก ทองคำ ทองแดง สังกะสี อะลูมิเนียม นาก ฟิวส์ ทองเหลือง หินปูน เกลือแกง น้ำตาลทราย เป็นต้น 2.สารเนื้อเดียวสถานะของเหลว เช่น น้ำกลั่น น้ำเกลือ น้ำส้มสายชู น้ำอัดลม น้ำมันพืช เอทานอล น้ำเชื่อม น้ำนม เป็นต้น 3.สารเนื้อเดียวสถานะแก๊ส เช่น อากาศ แก๊สหุงต้ม แก๊สออกซิเจน แก๊สไนโตรเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์จำแนกสารเนื้อเดียวออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.สารบริสุทธิ์ (Pure Substance) เป็นสารเนื้อเดียวที่ประกอบด้วยสารเพียงอย่างเดียว ไม่มีสารอื่นเจือปน ได้แก่ ธาตุและสารประกอบ 2.สารไม่บริสุทธิ์ เป็นสารเนื้อเดียวที่ประกอบด้วยสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปด้วยอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน ไม่มีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น สารที่เกิดใหม่จะมีสมบัติไม่คงที่ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารบริสุทธิ์ที่นำมาผสมกัน ได้แก่ สารละลาย คอลลอยด์ ธาตุ (Element) เป็นสารบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียว ธาตุจึงไม่สามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีกเนื่องจากอะตอมทั้งหมดในสารนั้นเป็นชนิดเดียวกัน อะตอมของธาตุบางชนิดอยู่รวมกันเป็นผลึก เช่น ธาตุเหล็ก (Fe) ธาตุทองคำ (Au) ธาตุสังกะสี (Zn) ธาตุเงิน (Ag) เป็นต้น ธาตุบางชนิดมีอะตอมอยู่รวมกันเป็นโมเลกุล เช่น ธาตุออกซิเจน (O2) ธาตุไนโตรเจน (N2) ธาตุคลอรีน (Cl2) ธาตุฟอสฟอรัส (P4)ธาตุกัมมะถัน (S8) เป็นต้น ธาตุบางชนิดอะตอมจะอยู่อย่างอิสระเพียงลำพัง เช่น ธาตุฮีเลียม (He) ธาตุนีออน (Ne) และธาตุอาร์กอน (Ar) ซึ่งจัดเป็นธาตุเฉื่อย นักวิทยาศาสตร์ใช้สมบัติทางกายภาพจำแนกธาตุออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.โลหะ (Metals) เป็นธาตุที่มีมากที่สุดส่วนใหญ่มีสถานะของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ยกเว้นปรอท มีสมบัติทั่วไป คือ นำความร้อนได้ดี มีความเหนียว นำไฟฟ้าได้ดี ผิวเป็นมันวาว สะท้อนแสงได้ ตีเป็นแผ่นบางได้ เช่น เหล็ก ทองคำ เงิน เป็นต้น 2. อโลหะ (Nonmetals) เป็นธาตที่มีจำนวนมากรองลงมาจากโลหะมีทั้งสถานะของแข็ง ของเหลวและแก๊ส แต่ส่วนใหญ่จะมรสถานะแก๊สที่อุณหภูมิห้อง มีสมบัติตรงกันข้ามกับโลหะ เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน คลอรีน เป็นต้น 3. กึ่งโลหะ (Metalloids) อาจเรียกได้ว่าสารกึ่งตัวนำ (Semiconductors) เป็นธาตุที่มีจำนวนน้อยมากมีสมบัติของโลหะและอโลหะอยู่ในธาตุเดียวกัน เช่น พลวง สารหนู ซิลิคอน โบรอน เป็นต้น สารประกอบ. สารประกอบ (Compound) เป็นสารบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมของธาตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกันทางเคมีด้วยอัตราส่วนที่คงที่เกิดเป็นสารชนิดใหม่ที่มีสมบัติแตกต่างไปจากเดิมอย่างเด่นชัด เช่น โซเดียม (Na) เป็นโลหะสีเงินอ่อน-ขาวทำปฏิกิริยากับน้ำ กับ คลอรีน (Cl) เป็นแก๊สพิษสีเหลือง-อมเขียว มีกลิ่นฉุนว่องไวต่อปฏิกิริยา เมื่อนำมารวมกันทางเคมี จะได้โซเดียมคลอไรด์ (NaCl) หรือเกลือแกง ซึ่งเป็นของแข็งสีขาว รสเค็ม ละลายน้ำได้ดี รับประทานได้ เป็นต้นโดยทั่วไปสัญลักษณ์ที่ใช้เขียนแทนชื่อสารประกอบจะอยู่ในรูปของสูตรโมเลกุล คอลลอยด์. คอลลอยด์ (Colloid) เป็นสารเนื้อเดียวที่เกิดจากการรวมตัวกันทางกายภาพของสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป มีลักษณะมัวหรือขุ่น ไม่ตกตะกอน ขนาดของอนุภาคมีเส้นผ่าศุนย์กลางประมาณ 10 - 7 ถึง 10 - 4 เซนติเมตร สามารถลอดผ่านกระดาษกรองได้ แต่ไม่สารลอดผ่านกระดาษเซลโลเฟนได้เมื่อผ่านลำแสงดเข้าไปในคอลลอยด์ จะเกิดการกระเจิงของแสง ทำให้มองเห็นลำแสงได้อย่างชัดเจน เรียกว่าปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall Effect) ซึ่งค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวไอร์แลนด์ ชื่อ จอนห์ ทินดอลล์ เมื่อปี พ.ศ. 2412 ปรากฏการณ์ทินดอลล์ที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน ได้แก่ลำแสงที่เกิดจากแสงอาทิตย์ส่องผ่านรูเล็กๆ หรือรอยแตกของฝาผนังบ้านผ่านฝุ่นละอองในอากาศลำแสงที่เกิดจากไฟฉาย ไฟรถยนต์หรือสปอตไลต์ส่องผ่านกลุ่มหมอก ควัน หรือฝุนละอองในอากาศ อิมัลชั่น (Emulsion) หมายถึง คอลลอยด์ที่เกิดจากของเหลว 2 ชนิดที่ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน แต่เมื่อเขย่าด้วยแรงที่มากพออนุภาคของของเหลวทั้ง 2 จะแทรกกันอยู่ได้เป็นคอลลอยด์ แต่เมื่อตั้งทิ้งไว้ระยะหนึ่งของเหลวทั้ง 2 จะแยกออกจากกันเหมือนเดิม การที่จะทำให้อิมัลชันอยู่รวมเป็นเนื้อเดียวกันต้องเติมสารที่ทำหน้าที่เป็นตัวประสาน ซึ่งเรียกว่า อิมัลซิฟายเออร์ (Emulsifler) เช่นคราบน้ำมันในจานอาหาร เมื่อนำไปล้างจะเกิดอิมัลชัน ซึ่งประกอบด้วยน้ำและน้ำมัน แต่งเมื่อใช้น้ำยาล้างจานเป็นอิมัลซิฟายเออร์ ก็จะสามารถล้างจานได้น้ำสลัด มีสาวนผสมของน้ำมันพืชกับน้ำส้มสายชู มีไข่แดงเป็นอิมัลซิฟายเออร์การย่อยไขมันในลำไส้เล็ก มีไขมันกับเอนไซม์ (น้ำย่อย) เป็นอิมัลชัน โดยมีน้ำดีเป็นอิมัลซิฟายเออร์ สารละลาย (Solution) หมายถึง สารเนื้อเดียวที่ไม่บริสุทธิ์ เกิดจากการรวมกันทางกายภาพของสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปในอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน โดยยังคงสมบัติของสารเดิมไว้สารละลายประกอบด้วย ตัวทำละลาย (Solvent) ตัวถูกละลาย (Solute) ซึ่งรวมอยู่เป็นเดียวอาจอยู่ในรูปของแข็ง ของเหลวหรือแก๊สก็ได้ สารเนื้อผสม. สารเนื้อผสม (Heterogeneous Substance) หมายถึง สารที่มีลักษณะของเนื้อสารคละกัน ไม่ผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน สารที่เป็นส่วนผสมแต่ละชนิดก็ยังคงแสดงสมบัติของสารเดิม เพราะเป็นการรวมกันทางกายภาพไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเกิดขึ้น เราสามารถใช้ตาเปล่าสังเกตและจำแนกได้ว่าสารเนื้อผสมนั้นประกอบด้วยสารใดบ้าง และสามารถแยกสารเหล่านั้นออกจากกันได้โดยวิธีทางกายภาพธรรมดา โดยไม่ทำให้สมบัติเดิมเปลี่ยนแปลงไป สารเนื้อผสมมีได้ทั้ง 3 สถานะ เช่น 1. สารเนื้อผสมสถานะของแข็ง เช่น ทราย คอนกรีต ดิน เป็นต้น 2. สารเนื้อผสมสถานะของเหลว เช่น น้ำคลอง น้ำโคลน น้ำจิ้มไก่ เป็นต้น 3. สารเนื้อผสมสถานะแก๊ส เช่น ฝุ่นละอองในอากาศ เขม่า ควันดำในอากาศ เป็นต้น สารแขวนลอย. สารแขวนลอย (Suspension) สารแขวนลอยเป็นสารผสมที่อนุภาคของแข็งมีขนาดใหญ่กว่า เซนติเมตร แขวนลอยอยู่ในตัวกลางที่เป็นของเหลว มีลักษณะเป็นสารเนื้อผสมที่อนุภาคไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน สามารถมองเห็นสารผสมได้อย่างชัดเจน อาจแขวนลอยอยู่ในของเหลวหรือตกตะกอนเมื่อตั้งทิ้งไว้ อนุภาคของสารแขวนลอยไม่สามารถผ่านกระดาษกรองและกระดาษเซลโลเฟนได้ เช่น ผงถ่านในน้ำ น้ำคลอง น้ำโคลน น้ำส้มค้น น้ำจิ้มไก่ แป้งมันในน้ำ เป็นต้น
9851
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9851
สารในชีวิตประจำวัน/การแยกสารเนื้อผสม และเนื้อเดียว
การแยกสาร หมายถึงการที่แยกสารที่ผสมกันตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไปออกจากกัน เพื่อนำสารที่ได้นั้นไปใช้ประโยชน์ตามต้องการ ซึ่งสามารถจำแนกได้คือ การแยกสารเนื้อผสม และการแยกสารเนื้อเดียว สารเนื้อผสม หมายถึง สารที่มีลักษณะให้สารไม่ผสมกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียวกันเกิดจาก สารอย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกันโดยเนื้อสารจะแยกกันเป็นส่วน ๆ การแยกสารเนื้อผสมอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การกรอง การใช้กรวยแยก การใช้อำนาจแม่เหล็ก การระเหิด การระเหยจนแห้ง ซึ่งเป็นการแยกสารโดยวิธีทางกายภาพทั้งสิ้น สารที่แยกได้จะมีสมบัติเหมือนเดิม 1. การกรอง เป็นวิธีการแยกสารออกจากกันระหว่างของแข็งกับของเหลว หรือใช้แยกสารแขวนลอยออกจากน้ำ ซึ่งใช้กันมากในทางเคมี โดยเฉพาะในห้องปฏิบัติการที่กรองสารในปริมาณน้อย ๆ การกรองนั้นจะต้องเทสารผ่านกระดาษกรอง อนุภาคของแข็งที่ลอดผ่านรูกระดาษกรองไม่ได้จะอยู่บนกระดาษกรอง ส่วนน้ำและสารที่ละลายน้ำได้จะผ่านกระดาษกรองลงสู่ภาชนะ 2. การใช้กรวยแยก เป็นวิธีที่ใช้แยกสารเนื้อผสมที่เป็นของเหลว 2 ชนิดที่ไม่ละลายออกจากกัน โดยของเหลวทั้งสองนั้นแยกเป็นชั้นเห็นได้ชัดเจน เช่น น้ำกับน้ำมัน เป็นต้น การแยกโดยวิธีนี้จะนำของเหลวใส่ในกรวยแยก แล้วไขของเหลวที่อยู่ในชั้นล่างซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าชั้นบนออกสู่ภาชนะจนหมด แล้วจึงค่อย ๆ ไขของเหลวที่ที่เหลือใส่ภาชนะใหม่ 3. การใช้อำนาจแม่เหล็ก เป็นวิธีที่ใช้แยกองค์ประกอบของสารเนื้อผสมซึ่งองค์ประกอบหนึ่งมีสมบัติในการถูกแม่เหล็กดูดได้ เช่น ของผสมระหว่างผงเหล็กกับผงกำมะถัน โดยใช้แม่เหล็กถูไปมาบนแผ่นกระดาษที่วางทับของผสมทั้งสอง แม่เหล็กจะดูดผงเหล็กแยกออกมา 4. การระเหิด คือ ปรากฏการณ์ที่สารเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเป็นก๊าซหรือไอโดยไม่เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวก่อน ใช้แยกสารเนื้อผสมที่เป็นของแข็งออกจากกัน โดยของแข็งชนิดหนึ่งมีสมบัติระเหิดได้ เช่น ลูกเหม็น พิมเสน น้ำแข็งแห้ง การบูรกับเกลือแกง เมื่อให้ความร้อนการบูรจะกลายเป็นไอแยกออกจากเกลือแกง ดักไอของการบูรด้วยภาชนะที่เย็นจะได้การบูรเป็นของแข็งแยกออกมา 5. การใช้มือหยิบออกหรือเขี่ยออก ใช้แยกของผสมเนื้อผสม ที่ของผสมมีขนาดโตพอที่จะหยิบออกหรือเขี่ยออกได้ เช่น ข้าวสารที่มีเมล็ดข้าวเปลือกปนอยู่ 6. การตกตะกอน ใช้แยกของผสมเนื้อผสมที่เป็นของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลว ทำได้โดยนำของผสมนั้นวางทิ้งไว้ให้สารแขวนลอยค่อย ๆ ตกตะกอนนอนก้น ในกรณีที่ตะกอนเบามากถ้าต้องการให้ตกตะกอนเร็วขึ้นอาจทำได้โดย ใช้สารตัวกลางให้อนุภาคของตะกอนมาเกาะ เมื่อมีมวลมากขึ้น น้ำหนักจะมากขึ้นจะตกตะกอนได้เร็วขึ้น เช่น ใช้สารส้มแกว่ง อนุภาคของสารส้มจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้โมเลกุลของสารที่ต้องการตกตะกอนมาเกาะ ตะกอนจะตกเร็วขึ้น
9853
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9853
สารละลาย/ความหมายและองค์ประกอบของสารละลาย
สารละลาย(soluton) คือสารเนื้อเดียวที่มีตัวประกอบ2อย่างคือตัวทำละลาย(solvent)เเละตัวละลาย(solule) (homogeneous) องค์ประกอบที่มีปริมาณมากที่สุด เรียกว่าตัวทำละลาย (solvent) ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีปริมาณน้อยกว่า เรียกว่า ตัวถูกละลาย (solute) ถ้ากล่าวถึงตัวทำละลายแล้ว ตัวทำละลายที่เรารู้จักกันดี ก็คือ น้ำ สารละลายที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย เรียกว่า สารละลายในน้ำ (aqueous solution) ถึงแม้ว่าในสารละลายหนึ่งๆ จะมีองค์ประกอบอยู่หลายๆ อย่างในสารละลาย ทั้งตัวทำละลาย และตัวถูกละลาย ซึ่งอาจจะมีมากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป แต่สมบัติทางเคมี และสมบัติทางกายภาพ ขององค์ประกอบแต่ละชนิด ก็ยังคงเหมือนเดิม เช่น สารละลายของ CuSO4 ซึ่งประกอบด้วย CuSO4 ที่ละลายในน้ำ สารละลายที่ได้ยังคงมีสีฟ้าของ CuSO4 และยังคงนำไฟฟ้าได้เหมือน CuSO4 ที่หลอมเหลว ส่วนความดันไอ และความตึงผิวก็ไม่แตกต่างไปจากน้ำบริสุทธิ์ นอกจากนั้นยังคงสามารถทำปฏิกิริยาเคมีได้เช่นเดียวกับน้ำบริสุทธิ์ หรือ CuSO4 เช่นเดิม ชนิดของสารละลาย (type of solutions) ในขั้นตอนการจำแนกชนิดของสารละลาย โดยทั่วไปจะจำแนกสารละลายตามสถานะ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ สารละลายของแข็ง สารละลายของเหลว และสารละลายแก๊ส ซึ่งตัวทำละลายจะต้องมีสถานะเช่นเดียวกับสถานะของสารละลาย กล่าวคือ สารละลายของแข็ง ตัวทำละลายจะต้องเป็นของแข็ง สารละลายของเหลว ตัวทำละลายจะต้องเป็นของเหลว และสารละลายแก๊ส ตัวทำละลายจะต้องเป็นแก๊ส ส่วนตัวถูกละลายในสารละลายทั้ง 3 ชนิด เป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว และแก๊ส เมื่อพิจารณาสถานะของตัวทำถูกละลาย ซึ่งมีอยู่ 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ดังนั้น เราสามารถยกตัวอย่างสารละลายที่สามารถพบเห็นในชีวิตประจำวันได้
9854
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9854
สารละลาย/ความเข้มข้นของสารละลาย
สารละลาย เป็นสารเนื้อเดียวที่มีองค์ประกอบของสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมารวมกันในอัตราส่วนที่ไม่คงที่ ประกอบด้วย ตัวทำละลายและตัวละลาย มีทั้ง 3 สถานะ ดังนี้ 1. สารละลายสถานะแก๊ส เช่น อากาศ 2. สารละลายสถานะของเหลว เช่น น้ำเกลือ น้ำเชื่อม ทิงเจอร์ไอโอดีน เป็นต้น 3. สารละลายสถานะของแข็ง เช่น นาก ทองเหลือง ทองสัมฤทธิ์ ฟิวส์ เป็นต้น เกณฑ์ในการพิจารณาว่าสารใดเป็นตัวทำละลายหรือตัวละลาย 1. ตัวทำละลายและตัวละลายมีสถานะต่างกัน เกณฑ์ ตัวทำละลาย คือ สารที่มีสถานะเดียวกันกับสารละลาย ตัวละลาย คือ สารที่มีสถานะต่างจากสารละลาย ตัวอย่าง สารละลายน้ำตาลทราย ประกอบด้วย น้ำ + น้ำตาลทราย (ของเหลว) (ของเหลว) (ของแข็ง) ดังนั้น ตัวทำละลาย คือ น้ำ ตัวละลาย คือ น้ำตาลทราย 2. ตัวทำละลายและตัวละลายมีสถานะเดียวกัน เกณฑ์ ตัวทำละลาย คือ สารที่มีปริมาณมาก ตัวละลาย คือ สารที่มีปริมาณน้อย ตัวอย่าง ฟิวส์ ประกอบด้วย บิสมัท 50% + ตะกั่ว 25% + ดีบุก 25% มีปริมาณ ดังนี้ (มาก) (น้อย) (น้อย) ดังนั้น ตัวทำละลาย คือ บิสมัท ตัวละลาย คือ ตะกั่ว ดีบุก ความเข้มข้นของสารละลาย เป็นค่าที่บอกให้ทราบถึงปริมาณตัวละลายที่มีในสารละลาย ว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด สารละลายเข้มข้น คือ สารละลายที่มีปริมาณตัวละลายมาก สารละลายเจือจาง คือ สารละลายที่มีปริมาณตัวละลายน้อย สารละลายอิ่มตัว คือ สารละลายที่ไม่สามารถละลายตัวละลายได้อีกต่อไป ณ อุณหภูมิขณะนั้น ซึ่งถ้าใส่ตัวละลายเพิ่มลงไปอีก จะเหลือตะกอนอยู่ที่ก้นภาชนะ การบอกความเข้มข้นของสารละลายแสดงด้วยหน่วยร้อยละ ดังนี้ 1. ร้อยละโดยมวล เป็นการบอกมวลของตัวละลายเป็นกรัมในสารละลาย 100 กรัม เช่น สารละลายน้ำตาลเข้มข้นร้อยละ 10 โดยมวล หมายความว่า มีน้ำตาล 10 กรัม ละลายอยู่ในสารละลายน้ำตาล 100 กรัม หรือสารละลายน้ำตาลประกอบด้วยน้ำตาล 10 กรัม ละลายอยู่ในน้ำ 90 กรัม (100-10 = 90) [ การใช้หน่วยของมวลเป็น กรัม เขียนสัญลักษณ์ คือ g ] 2. ร้อยละโดยปริมาตร เป็นการบอกปริมาตรของตัวละลายเป็นลูกบาศก์เซนติเมตรในสารละลาย 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร เช่น สารละลายเอทานอลในน้ำเข้มข้นร้อยละ 15 โดยปริมาตร หมายความว่า สารละลายเอทานอลในน้ำ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร มีเอทานอลละลายอยู่ 15 ลูกบาศก์เซนติเมตร ดังนั้นจึงมีน้ำซึ่งเป็นตัวทำละลาย 85 ลูกบาศก์เซนติเมตร (100-15 = 85) [ การใช้หน่วยของปริมาตรเป็น ลูกบาศก์เซนติเมตร เขียนสัญลักษณ์ คือ cm3 ] 3. ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร เป็นการบอกมวลตัวละลายเป็นกรัมในสารละลาย 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร เช่น สารละลายยูเรียเข้มข้นร้อยละ 25 โดยมวลต่อปริมาตร หมายความว่า สารละลายยูเรีย 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร มียูเรียละลายอยู่ 25 กรัม [ การใช้หน่วยของมวลเป็น กรัม เขียนสัญลักษณ์ คือ g และ การใช้หน่วยของปริมาตรเป็น ลูกบาศก์เซนติเมตร เขียนสัญลักษณ์ คือ cm3 ]
9855
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9855
สารละลาย/สมบัติการเป็นกรด-เบสของสารละลาย
สมบัติของสารละลายกรด-เบส. กรด เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากสีน้ำเงินเป็นสีแดง กรดทำปฏิกิริยากับโลหะและสารประกอบคาร์บอเนตได้แก๊สและทำให้โลหะและสารประกอบคาร์บอเนตผุกร่อน กรดโดยทั่วไปมีรสเปรี้ยว เบส เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน ทำปฏิกิริยากับสารละลายฟินอล์ฟทา ลีน ทำให้เกิดการเปลี่ยนสีจากไม่มีสีเป็นสีชมพูเข้ม สารละลายกรดและเบสนำไฟฟ้าได้ กระดาษลิตมัส. เป็นกระดาษที่ใช้ฝนการทดสอบสมบัติความเป็น กรด-เบส –กลาง ของสารเราสามารถผลิดกระดาษลิตมัสได้เองโดยนำกระดาษสีขาวลงไปแช่น้ำคั้นดอกอัญชันจะได้กระดาษลิตมัสมีสีน้ำเงิน หากนำไปแช่ในน้ำคั้นดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูจะได้กระดาษลิตมัสสีแดง เมื่อตากแห้งก็สามารถนำทดสอบความเป็นกรด-เบส-กลาง กระดาษลิตมัส ยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์(Universal Indicator) อินดิเคเตอร์ที่นำมาทดสอบค่า pH ได้ค่าที่ละเอียดมากขึ้น ช่วง pH ยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์ ที่ทดลองสามารถบอกความเป็นกรดและเบสได้ชัดเจน ทำให้เราสามารถใช้คุณสมบัติความเป็นกรดและเบสดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดในชีวิต ประจำวันได้
9870
6169
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9870
มารยาทไทย/การแสดงความเคารพ
รายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงความเคารพเป็นเอกลักษณ์สำคัญของคนไทยเป็นเรื่องแรก การแสดงความเคารพมีหลายลักษณะ เช่น การประนมมือ การไหว้ การกราบ การคำนับ การถวายความเคารพ การที่จะแสดงความเคารพในลักษณะใดนั้น ต้องพิจารณาผู้ที่จะรับความเคารพด้วยว่าอยู่ในฐานะเช่นใด หรือในโอกาสใด แล้วจึงแสดงความเคารพให้ถูกต้องและเหมาะสม การแสดงความเคารพแบ่งได้ดังนี้ คือ ๔.๑ การไหว้ การปฏิบัติในท่าไหว้ประกอบด้วยกิริยา ๒ ส่วน คือ การประนมมือและการไหว้ การประนมมือ (อัญชลี) เป็นการแสดงความเคารพ โดยการประนมมือให้นิ้วมือทั้งสองข้างชิดกัน ฝ่ามือทั้งสองประกบเสมอกันแนบหว่างอก ปลายนิ้วเฉียงขึ้นพอประมาณ แขนแนบตัวไม่กางศอก ทั้งชายและหญิงปฏิบัติเหมือนกัน การประนมมือนี้ใช้ในการสวดมนต์ ฟังพระสวดมนต์ ฟังพระธรรมเทศนา ขณะสนทนากับพระสงฆ์ รับพรจากผู้ใหญ่ แสดงความเคารพผู้เสมอกัน และรับความเคารพจากผู้อ่อนอาวุโสกว่า เป็นต้น การไหว้ (วันทนา) เป็นการแสดงความเคารพ โดยการประนมมือแล้วยกมือทั้งสองขึ้นจรดใบหน้าให้เห็นว่าเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง การไหว้แบบไทย แบ่งออกเป็น ๓ แบบ ตามระดับของบุคคล ระดับที่ ๑ การไหว้พระ ได้แก่ การไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมทั้งปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในกรณีที่ไม่สามารถกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ได้ โดยประนมมือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วแนบส่วนบนของหน้าผาก ระดับที่ ๒ การไหว้ผู้มีพระคุณและผู้อาวุโส ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพนับถือ โดยประนมมือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลายนิ้วแนบระหว่างคิ้ว ระดับที่ ๓ การไหว้บุคคลทั่ว ๆ ไป ที่เคารพนับถือหรือผู้มีอาวุโสสูงกว่าเล็กน้อย โดยประนมมือแล้วยกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะลงให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วแนบปลายจมูก อนึ่ง สำหรับหญิงการไหว้ทั้ง ๓ ระดับ อาจจะถอยเท้าข้างใดข้างหนึ่งตามถนัดไปข้างหลังครึ่งก้าวแล้วย่อเข่าลงพอสมควรพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ก็ได้ ๔.๒ การกราบ (อภิวาท) เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง มี ๒ แบบ คือ ๔.๒.๑ การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ เป็นการใช้อวัยวะทั้ง ๕ คือ หน้าผาก ซึ่งเป็นตัวแทน ของส่วนบนของร่างกาย มือและข้อศอกทั้ง ๒ เป็นตัวแทนส่วนกลางของร่างกาย เข่าทั้ง ๒ ซึ่งเป็นตัวแทนส่วนล่างของร่างกายจรดพื้น การกราบมี ๓ จังหวะ คือ ท่าเตรียม ชาย นั่งคุกเข่าตัวตรงปลายเท้าตั้ง ปลายเท้าและส้นเท้าชิดกัน นั่งบนส้นเท้า เข่าทั้งสองห่างกัน พอประมาณ มือทั้งสองวางคว่ำบนหน้าขา ทั้งสองข้าง นิ้วชิดกัน (ท่าเทพบุตร) หญิง นั่งคุกเข่าตัวตรง ปลายเท้าราบ เข่าถึงปลายเท้าชิดกัน นั่งบนส้นเท้า มือทั้งสองวางคว่ำ บนหน้าขา ทั้งสองข้าง นิ้วชิดกัน (ท่าเทพธิดา) ท่ากราบ จังหวะที่ ๑ (อัญชลี) ยกมือขึ้นในท่าประนมมือ จังหวะที่ ๒ (วันทนา) ยกมือขึ้นไหว้ตามระดับที่ ๑ การไหว้พระ จังหวะที่ ๓ (อภิวาท) ทอดมือทั้งสองลงพร้อม ๆ กัน ให้มือและแขนทั้งสองข้างราบกับพื้น คว่ำมือห่างกันเล็กน้อยพอให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือได้ ชาย ศอกทั้งสองข้างต่อจากเข่าราบไปกับพื้น หลังไม่โก่ง หญิง ศอกทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็กน้อย ราบไปกับพื้น หลังไม่โก่ง จากนั้นก้มศีรษะลงให้หน้าผากจรดพื้นระหว่างมือทั้งสอง ทำสามจังหวะให้ครบ ๓ ครั้ง แล้วยกมือขึ้นไหว้ในท่าไหว้พระ แล้ววางมือคว่ำลงบนหน้าขา ในท่าเตรียมกราบ จากนั้นให้เปลี่ยนอิริยาบถตามความเหมาะสม ๔.๒.๒ การกราบผู้ใหญ่ กราบผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสรวมทั้งผู้มีพระคุณ ได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ครู อาจารย์ และผู้ที่เราเคารพ ผู้กราบทั้งชายและหญิงนั่งพับเพียบทอดมือทั้งสองข้างลงพร้อมกันให้แขนทั้งสองคร่อมเข่าที่อยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว มือประนมตั้งกับพื้นไม่แบมือ ค้อมตัวลงให้หน้าผากแตะส่วนบนของมือที่ประนม ในขณะกราบไม่กระดกนิ้วมือขึ้นรับหน้าผาก กราบเพียงครั้งเดียว จากนั้นให้เปลี่ยนอิริยาบถโดยการนั่งสำรวมประสานมือ จากนั้นเดินเข่าถอยหลังพอประมาณแล้วลุกขึ้นจากไป ๔.๓ การคำนับ เป็นการแสดงเคารพแบบสากล ในกรณีที่ไม่ไหว้หรือกราบ ให้ยืนตัวตรง ส้นเท้าชิดกัน ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย มือปล่อยไว้ข้างลำตัว ปลายนิ้วกลางแตะตะเข็บกางเกงหรือกระโปรงด้านข้าง ค้อมช่วงไหล่และศีรษะลงเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นในท่าตรง การคำนับนี้ ส่วนมากเป็นการปฏิบัติของชาย แต่หญิงให้ใช้ปฏิบัติได้เมื่อแต่งเครื่องแบบและไม่ได้สวมหมวก ๔.๔ การแสดงความเคารพพระมหากษัตริย์ ๔.๔.๑ การถวายบังคม เป็นราชประเพณีถวายความเคารพพระมหากษัตริย์ในงานพระราชพิธี สำคัญ ก่อนที่จะถวายบังคมต้องนั่งอยู่ในท่าเตรียมคือ นั่งคุกเข่าปลายเท้าตั้ง นั่งบนส้นเท้าเช่นเดียวกันทั้งชาย หญิง มือทั้งสองวางคว่ำเหนือเข่าทั้งสองข้าง ชายนั่งแยกเข่าได้เล็กน้อยหญิงนั่งเข่าชิด การถวายบังคมแบ่งออกเป็น ๓ จังหวะ ดังนี้ จังหวะที่ ๑ ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก ปลายนิ้วตั้งขึ้นแนบตัวไม่กางศอก จังหวะที่ ๒ ยกมือที่ประนมขึ้น ให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดหน้าผากเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จังหวะที่ ๓ ลดมือกลับลงตามเดิมมาอยู่ในจังหวะที่ ๑ ทำให้ครบ ๓ ครั้ง โดยจบลงอย่างจังหวะที่ ๑ แล้วจึงลดมือลงวางคว่ำเหนือเข่าทั้งสองข้าง การถวายบังคมดังกล่าวนี้ หญิงมีโอกาสใช้น้อย จะใช้ในกรณีที่มีชายกับหญิงไปถวายบังคมร่วมกัน ถ้าหญิงล้วนให้ใช้วิธีหมอบกราบ ๔.๔.๒ การหมอบกราบ ให้แสดงความเคารพพระมหากษัตริย์ลงมาถึงพระบรมวงศ์ ในโอกาสที่เข้าเฝ้า โดยนั่งพับเพียบเก็บปลายเท้าแล้วจึงหมอบลงให้ศอกทั้งสองข้างถึงพื้นคร่อมเข่าอยู่ด้านล่างเพียงเข่าเดียว มือประสาน เมื่อจะกราบให้ประนมมือก้มศีรษะลง หน้าผากแตะส่วนบนของมือที่ประนม เมื่อกราบแล้วนั่งในท่าหมอบเฝ้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วทรงตัวนั่งในท่าพับเพียบตามเดิม ๔.๔.๓ การถวายความเคารพแบบสากล ใช้กับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์ ชาย ใช้วิธีการถวายคำนับ โดยค้อมตัวต่ำพอสมควร หญิง ใช้วิธีการถวายความเคารพแบบย่อเข่า (ถอนสายบัว) มี ๒ แบบคือ แบบสากลนิยม ยืนตรง หันหน้าไปทางพระองค์ท่านวาดเท้าข้างใดข้างหนึ่งไป ข้างหลังเล็กน้อยตามถนัด พร้อมกับย่อตัวลง ลำตัวตรง หน้าตรง สายตาทอดลง ปล่อยแขนทั้งสองข้างแล้วยืนตรง แบบพระราชนิยม ยืนตรง หันหน้าไปทางพระองค์ท่านวาดเท้าข้างใดข้างหนึ่ง ไปข้าหลังเล็กน้อยตามถนัด พร้อมกับย่อตัวลง ขณะที่วาดเท้า ให้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นวางประสานกันบนขาหน้าเหนือเข่า ค้อมตัวเล็กน้อย ทอดสายตาลง เสร็จแล้วยืนขึ้นในลักษณะเดิม ๔.๕ การแสดงความเคารพโดยทั่วไป ๔.๕.๑ การแสดงความเคารพศพ จะต้องกราบพระพุทธรูปเสียก่อน แล้วจึงไปทำความเคารพ ศพส่วนการจุดธูปหน้าศพนั้นเป็นเรื่องเฉพาะของลูกหลานหรือศิษยานุศิษย์หรือผู้เคารพนับถือที่ประสงค์จะบูชา การเคารพศพพระ ถ้าเจ้าภาพจัดให้มีการจุดธูป ให้จุด ๓ ดอก ชายกราบแบบ เบญจางคประดิษฐ์ หญิงหมอบกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง การเคารพศพคฤหัสถ์ ให้ทำความเคารพเช่นเดียวกับตอนที่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นศพของผู้ ที่มีอาวุโสมาก กราบ ๑ ครั้ง แต่ถ้าเป็นศพของผู้ที่มีอาวุโสใกล้เคียงกันกับผู้ที่ไปทำความเคารพ ให้ไหว้ในระดับที่ ๓ (ไหว้บุคคลทั่ว ๆ ไป) ส่วนการเคารพศพเด็กนั้นมีเพียงยืนสงบหรือนั่งสำรวมครู่หนึ่งในกรณีที่ศพได้รับพระราชทานเกียรติยศ ผู้เป็นประธานจุดธูปเทียนที่หน้าพระพุทธรูปและที่หน้าตู้พระธรรม แล้วไปจุดเครื่องทองน้อยที่หน้าศพเพื่อแสดงว่าวายชนม์บูชาพระธรรม แล้วจึงเคารพศพ ส่วนผู้ไปในงาน กราบพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชาแล้วจึงเคารพศพด้วยการกราบหรือคำนับ ๔.๕.๒ การเคารพอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญ อนุสาวรีย์บุคคลสำคัญอาจเป็นรูปปั้น ภาพถ่าย ภาพวาดหรือสัญลักษณ์อื่นก็ได้ ให้แสดงความเคารพด้วยการคำนับหรือกราบ หรือไหว้แล้วแต่กรณีในโอกาสพิเศษหรือเป็นพิธีการ เช่น เมื่อครบรอบวันเกิด หรือ วันสำคัญที่เกี่ยวข้องอันเป็นพิธีการให้ใช้พุ่มดอกไม้ ถ้าครบรอบวันตายหรือแสดงความระลึกถึงอันเป็นพิธีการให้วางพวงมาลาในโอกาสอื่น ๆ ที่ไม่เป็นพิธีการอาจแสดงความเคารพโดยใช้ หรือไม่ใช้เครื่องสักการะก็ได้ ๔.๕.๓ การแสดงความเคารพของผู้เป็นประธาน ณ ที่บูชา เมื่อประธานในพิธีลุกจากที่นั่งเพื่อ ไปบูชาพระรัตนตรัย ผู้ร่วมพิธียืนขึ้น และเมื่อประธานเริ่มจุดธูปเทียน ผู้ร่วมพิธีประนมมือเสมออกเมื่อประธานกราบ ผู้ร่วมพิธียกมือที่ประนมขึ้นให้นิ้วชี้จรดหน้าผากพร้อมทั้งก้มศีรษะเล็กน้อย หากที่บูชามีธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณ์ด้วย เมื่อประธานบูชาพระรัตนตรัยเสร็จแล้ว ให้ยืนขึ้นถอยหลัง ๑ ก้าว ยืนตรง ค้อมศีรษะคารวะครั้งเดียว ซึ่งถือว่าได้เคารพต่อธงชาติ และพระบรมฉายาลักษณ์ไปพร้อมกันแล้วให้ประธานปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้ทั้งชายและหญิงทั้งที่อยู่ในและนอกเครื่องแบบเมื่อจบพิธีแล้วประธานควรกราบพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนผู้เข้าร่วมประชุมยืนขึ้นด้วยอาการสำรวม แล้วจึงไหว้ลาพระรัตนตรัยเป็นอันเสร็จพิธี แต่ในกรณีที่ยังมีกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น ประธานทักทายสังสรรค์กับผู้เข้าร่วมประชุม หรือดื่มน้ำชา และประธานอยู่ร่วมกิจกรรมด้วย เมื่อประธานจะกลับ ไม่จำเป็นต้องกราบพระรัตนตรัย ๔.๕.๔ การแสดงความเคารพของผู้ที่แต่งเครื่องแบบ ให้ปฏิบัติตามระเบียบของสถาบันนั้น ๔.๖ การรับความเคารพ เมื่อผู้น้อยมาทำความเคารพ ควรรับความเคารพด้วยการประนมมือหรือ ค้อมศีรษะรับตามควรแก่กรณี
9871
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9871
มารยาทไทย/การสนทนา
มารยาทการพูดที่ดีควรปฏิบัติ มีดังนี้ – ใช้คำทักทายผู้ฟังให้ถูกต้อง เหมาะสมตามสถานภาพผู้ฟัง เช่น สวัสดี / เรียนกราบเรียน / ขอประทานกราบเรียน – ใช้คำพูดที่แสดงถึงความมีมารยาทอยู่เสมอ เช่น ขอโทษ ขอบใจ ขอบคุณ – ใช้คำพูดที่สุภาพ ให้เกียรติผู้ฟัง ไม่ใช้เสียงดุดัน หยาบคาย – ไม่พูดยกตนข่มท่าน คุยโอ้อวดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น – ไม่ชิงพูด แย่งพูดก่อนคนอื่น หรือผูกขาดการพูดเพียงคนเดียว – ไม่พูดยืดยาว นอกประเด็น พูดวกวนซ้ำซากน่าเบื่อ – ไม่พูดเสียงห้วนๆ สั้นๆ ตามอารมณ์ – ไม่พูดหยาบคาย ใช้คำต่ำไม่เหมาะสม – ไม่โต้เถียง คัดค้านอย่างไม่มีเหตุผล
9872
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9872
มารยาทไทย/การแต่งกาย
ความสำคัญของการแต่งกาย. การแต่งกายที่ดีจะช่วยสร้างความประทับใจให้เกิดแก่ผู้พบเห็น เพราะการแต่งกายที่ดีนั้นเป็นสิ่งแรกที่จะสร้างความพอใจ ความสนใจ ความเชื่อถือ ความศรัทธาและความไว้วางใจได้ ความสำคัญของการแต่งกาย มีดังนี้. 1. ช่วยบงบอกถึงอุปนิสัยของผู้แต่ง 2. ช่วยบอกถึงระดับการศึกษา 3. ช่วยบอกถึงฐานะความเป็นอยู่ 4. ช่วยบอกถึงเชื้อชาติและวัฒนธรรมประจำชาติ <br> หลักสำคัญของการแต่งกาย. หลักสำคัญของการแต่งการ มีดังนี้ 1. ถูกต้องตามกาลเทศะ 2. มีความสะอาด 3. มีความสุภาพเรียบร้อย 4. มีความเหมาะสมกับวัย 5. มีความเหมาะสมกับรูปร่าง 6. มีความเหมาะสมกับฐานะและความเป็นอยู่ 7. มีความประหยัด <br> วิวัฒนาการการแต่งกายของหญิงไทย. วิวัฒนาการของเครื่องแต่งกายโบราณจนถึงปัจจุบันของไทยมีทั้ง การรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติชาวตะวันตกมาประยุกต์ เพื่อเป็น สากลมากขึ้น และยังสวมได้เหมาะกับสภาพอากาศและการใช้งาน แต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม และความสง่าของหญิงไทยได้ทุกยุค
9873
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9873
มารยาทไทย/การมีสัมมาคารวะ
คือกิริยาวาจาต่างๆ เช่นการยืน การเดินรวมทั้งการประพฤติปฏิบัติในพิธีการต่างๆ ความหมาย. สัมมาคารวะ หมายถึง ลักษณะของบุคคลที่แสดงถึงการใช้วาจาใจ และกาย ต่อบุคคลอื่นอย่างสุภาพและอ่อนน้อม การจัด การศึกษาให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ จำเป็นต้องมีการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีการพัฒนาการทั้งด้านปัญญา จิตใจ ร่าง กาย และสังคม การพัฒนาจิตใจจึงถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ของสังคมไทยปัจจุบันที่มีความเจริญก้าวหน้า มีการมุ่งเน้นการแข่งขันมากจนลืมว่า เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่ต้องปลูกฝัง ขัดเกลา เนื่องจากเด็กวัยดังกล่าวเป็นวัยซึ่งมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ประสบการณ์ต่างๆที่เด็กได้รับในช่วงอายุนี้ จะมีผลอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเด็กในช่วงต่อไป ลักษณะของการอบรมเลี้ยงดู และให้การศึกษาแก่เด็กทุกด้านตามวัยและความสามารถของแต่ละบุคคล เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ธรรมชาติของเด็กปฐมวัยที่เห็นได้ชัดนั้นคือ เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาด้านบุคลิกภาพมากที่สุด เป็นวัยอยากรู้อยากเห็น มีความสงสัยในสิ่งต่างๆ ชอบถามจนกว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจน เด็กวัยนี้เริ่มแสดงพฤติกรรมต่างๆออกมาให้เห็น เช่น การเลียนแบบพ่อแม่ ครู และเพื่อนในวัยเดียวกัน เด็กวัยนี้ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่สามารถเข้าใจความคิดเห็นของผู้อื่น จะคิดว่าสิ่งที่ตนรับรู้คนอื่นก็รับรู้ด้วย มักแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเปิดเผยและเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ง่ายๆ ดังนั้น ครูหรือผู้เกี่ยวข้องในการดูแลเด็กจะต้องเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของเด็ก เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีให้กับเด็กปฐมวัย การแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่ดีที่เป็นพฤติกรรมเชิงบวก มีหลายคุณลักษณะด้วยกัน ที่จะทำให้เด็กสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข การมีสัมมาคารวะ เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่ควรส่งเสริมเพื่อให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน เพราะการปลูกฝังนี้จะทำให้เด็กเป็นที่รักและต้องการของสังคม และสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข และสามารถที่จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพได้ในสังคม ลักษณะ. ตัวบ่งชี้คุณลักษณะว่ามีสัมมาคารวะ คือ การใช้วาจาสุภาพ เหมาะสมกับกาลเทศะ การไม่พูดแทรกขณะผู้อื่นพูด การแต่งกายสุภาพเหมาะสมกับสถานที่ การแสดงกิริยาอ่อนน้อมต่อบุคคลอื่นได้เหมาะสมกับสถานะ ความถึงพร้อมด้วยความเคารพนับถือ ยกย่อง เทิดทูน บูชาและปฏิบัติตามคำสั่งสอน ที่บ่งบอกของคุณลักษณะ พฤติกรรมที่แสดงออกมาจากกิริยาท่าทาง ทางกาย ทางวาจา โดยมีใจเป็นตัวกำหนดสั่งการสั่งงานของลักษณะกิริยาท่าทางที่ออกมาทางกายและทางวาจา เช่น การกราบไหว้ การอภิวาท การทำความเคารพ การลุกขึ้นรับ รวมถึงกิริยาท่าทางอื่นๆ เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม และการกระ ทำ เป็นต้น เหล่านี้เรียกว่า กิริยาทางกาย การใช้สำนวนเสียง ภาษา ถูกต้องไพเราะอ่อนหวาน ฟังแล้วเพราะหู น่าชื่นชมยินดี ถูกต้องตามกาลเวลาหรือกาลเทศะ เป็นระเบียบมีวินัย เหล่านี้เรียกว่า กิริยาทางวาจา ส่วนสิ่งที่คิดวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนโดยบุคคลอื่นไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นสิ่งที่รู้ด้วยตนเอง แต่บุคคลอื่นอาจสามารถรู้ได้ด้วยการสังเกตลักษณะอาการรูปร่างสันทัดสัณฐานภายนอก และพร้อมที่จะสั่งบังคับกิริยาที่บ่งออกจากภายนอก เพื่อที่จะปฏิบัติการกระทำทางกายและการกระ ทำทางวาจา เหล่านี้เรียกว่า อาการจากใจ หรือมโนกรรม คือ ใจเป็นผู้สั่งการกระทำออกมา หรือเป็นลักษณะที่แสดงออกของบุคคลที่มี กายอ่อนน้อม วาจาอ่อนหวาน และจิตใจอ่อนโยน หรือลักษณะของผู้ที่มี ศีล สมาธิ และปัญญา รวมถึงการแสดงกิริยามารยาทอย่างอื่น ด้วยความตั้งใจ ไม่มีความแข็งกระด้างกระเดื่อง ไม่ใช้คำพูดที่ไม่สุภาพและไม่เหมาะสมกับกาลเวลา บุคคล สถานที่ และคำสั่งสอน ความสำคัญ. เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่หลั่งไหลเข้ามาในวิถีชีวิตคนไทยอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้สภาพสิ่งแวดล้อมในสังคมปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งด้านความเจริญทางด้านวัตถุ โดยไม่คํานึงถึงคุณธรรม วัฒนธรรม และหลักการปฏิบัติที่ดีงามของไทย ในการปฏิบัติตามจริยธรรมทางสังคมนั้นมีเป้าหมาย คือการมีคุณธรรม จริยธรรมที่แสดงออกถึงการได้รับการอบรมที่ดี การมีสัมมาคารวะ ความเคารพ หรือมารยาทนั้น มุ่งที่การปฏิบัติทางกายและทางวาจาเป็นที่สำคัญ เพราะสองสิ่งนี้มองเห็นได้ง่าย สัมผัสได้ง่าย มารยาทและการวางตัวที่เหมาะสม จึงเป็นปราการด่านแรกที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ผ่านการอบรมฝึกตนมาดี มีคุณสมบัติของผู้ดี มีวัฒนธรรมอันเจริญ นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงความเป็นผู้มีความเคารพ อ่อนน้อม ส่งผลให้เกิดความเคารพในสิ่งควรเคารพ และให้เกียรติสิ่งที่ไม่ได้นับถือ ในที่นี้จะกล่าวถึง มารยาทในสังคมไทยที่ใช้ในปัจจุบันอย่างที่คนทั่วไปมักต้องพบกับสถานการณ์ที่ต้องแสดงออกซึ่งมารยาทเหล่านี้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 จึงกำหนดไว้ในจุดหมายของหลักสูตรเป็นข้อแรก คือ ผู้เรียนเกิดคุณ ลักษณะอันพึงประสงค์ ได้แก่ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันพึงประสงค์ และกำหนดเป็นเกณฑ์การจบหลักสูตรข้อหนึ่งในทุกช่วงชั้น คือ ผู้เรียนต้องผ่านการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดในส่วนของการมีสัมมาคารวะดังนี้ คุณลักษณะ :. มีสัมมาคารวะ หมายถึง ลักษณะของบุคคลที่แสดงถึงการใช้วาจา ใจ และกาย ต่อบุคคลอื่นอย่างสุภาพและอ่อนน้อม ตัวบ่งชี้คุณลักษณะ :. มีสัมมาคารวะ ใช้เวลาสุภาพเหมาะสมกับกาลเทศะ ไม่พูดแทรกขณะผู้อื่นพูด แต่งกายสุภาพเหมาะสมกับสถานที่ แสดงกิริยาอ่อนน้อมต่อบุคคลอื่นได้เหมาะสมกับสถานะ
9874
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9874
วงดนตรี/วงดนตรีไทย
ดนตรี คือ ระดับเสียงขึ้นลงอย่างมีระเบียบที่เกิดจากอุปกรณ์การบรรเลงด้วยดีด สี ตี เป่า เรียกว่า เครื่องดนตรี ดนตรีในแต่ละชาติจะมีลักษณะที่เป็นเฉพาะ สำหรับประเทศไทยนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
9875
58917
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9875
วงดนตรี/วงดนตรีไทย/วงปี่พาทย์
วงปี่พาทย์ เป็นวงที่ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีประเภทตี เป่า และเครื่องประกอบจังหวะ ใช้บรรเลงในงานพระราชพิธีและพิธีต่าง ๆ แบ่งได้ 3 ขนาด คือ นอกจากนี้วงปี่พาทย์ยังมีอีก 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
9879
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9879
วงดนตรี/วงดนตรีไทย/วงเครื่องสาย
วงดนตรีไทยประเภทหนึ่งซึ่งเครื่องดนตรีส่วนใหญ่ในวงจะประกอบด้วยเครื่อง ดนตรีที่ใช้สายเป็นต้นกำเนินของเสียงดนตรี เช่น ซอด้วง ซออู้ จะเข้ แม้ว่า เครื่องดนตรีที่นำมาบรรเลงนั้นจะมีวิธีบรรเลงแตกต่างกัน เช่น สี ดีด หรือตี ก็ ตาม จึงเรียกวงดนตรีประเภทนี้ว่า "วงเครื่องสาย" วงเครื่องสายอาจมีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย หรือเครื่องกำกับ จังหวะ เช่น ฉิ่ง กลองบรรเลงด้วยก็ถือว่าอยู่ในวงเครื่องสายเช่นกันเพราะมีเป็น จำนวนน้อยที่นำเข้ามาร่วมบรรเลงด้วยเพื่อช่วยเพิ่มรสในการบรรเลงด้วยเพื่อ่ช่วยเพิ่มรสในการบรรเลงให้น่าฟังมากยิ่งขึ้น วงเครื่องสายเกิดขึ้นในสมัยอยุธยา ซึ่งมีเครื่องสี คือ ซอ เครื่องดีด คือ จะเข้ และ กระจับปี่ ผสมในวง ปัจจุบันวงเครื่องสายมี 4 แบบ คือ 1. วงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยว เป็นวงเครื่องสายที่มีเครื่องดนตรีผสมเพียงอย่างละ 1 ชิ้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วงเครื่องสายไทยวงเล็ก เครื่องดนตรีที่ผสมอยู่ในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยวนี้ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญและถือเป็นหลักของวงเครื่องสายไทยที่จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใด เสียมิได้ เพราะแต่ละสิ่งล้วนดำเนินทำนองและมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน เมื่อผสมเป็น วงขึ้นแล้ว เสียงและหน้าที่ของเครื่องดนตรีแต่ละอย่างก็จะประสมประสานกัน เป็นอันดี เครื่องดนตรีที่ผสมอยู่ในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยวซึ่งถือเป็นหลักคือ 1. ซอด้วง เป็นเครื่องสีที่มีระดับเสียงสูงและกระแสเสียงดัง มีหน้าที่ดำเนิน ทำนองเพลง เป็นผู้นำวง และเป็นหลักในการดำเนินทำนอง 2. ซออู้ เป็นเครื่องสีที่มีระดับเสียงทุ้ม มีหน้าที่ดำเนินทำนองหยอกล้อ ยั่วเย้า กระตุ้นให้เกิดความครึกครื้นสนุกสนานในจำพวกดำเนินทำนองเพลง 3. จะเข้ เป็นเครื่องดีดดำเนินทำนองเพลงเช่นเดียวกับซอด้วง แต่มีวิธีการบรรเลงแตกต่าง ออกไป 4. ขลุ่ยเพียงออซึ่งเป็นขลุ่ยขนาดกลาง เป็นเครื่องเป่าดำเนินทำนองโดยสอดแทรกด้วย เสียงโหยหวนบ้าง เก็บบ้าง ตามโอกาส 5. โทนและรำมะนา เป็นเครื่องตีที่ขึงหนังหน้าเดียว และทั้ง 2 อย่างจะต้องตีให้สอดสลับ รับกันสนิทสนมผสมกลมกลืนเป็นทำนองเดียวกัน มีหน้าที่ควบคุม จังหวะหน้าทับ บอกรสและสำเนียงเพลงในภาษาต่าง ๆ และกระตุ้นเร่งเร้าให้เกิดความ สนุกสนาน 6. ฉิ่ง เป็นเครื่องตรี มีหน้าที่ควบคุมจังหวะย่อยให้การบรรเลงดำเนินจังหวะไปโดย สม่ำเสมอ หรือช้าเร็วตามความเหมาะสม เครื่องดนตรีในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยวอาจเพิ่มเครื่องที่จะทำให้เกิดความ ไพเราะเหมาะสมได้อีก เช่น กรับและฉาบเล็กสำหรับตีหยอกล้อยั่วเย้าในจำพวกกำกับจังหวะ โหม่งสำหรับช่วยควบคุมจังหวะใหญ่ 2. วงเครื่องสายไทยเครื่องคู่ คำว่า เครื่องคู่ ย่อมมีความหมายชัดเจนแล้วว่าเป็นอย่างละ 2 ชิ้น แต่สำหรับการ ผสมวงดนตรีจะต้องพิจารณาใคร่ครวญถึงเสียงของเครื่องดนตรีที่จะผสมกันนั้น ว่าจะบังเกิดความไพเราะหรือไม่อีกด้วย เพราะฉะนั้นวงเครื่องสายไทยเครื่องคู่ จึงเพิ่มเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยวขึ้นเป็น 2 ชิ้น แต่เพียงบางชนิด คือ 1. ซอด้วง 2 คัน แต่ทำหน้าที่ผู้นำวงเพียงคันเดียว อีกคันหนึ่งเป็นเพียงผู้ช่วย 2. ซออู้ 2 คัน ถ้าสีเหมือนกันได้ก็ให้ดำเนินทำนองอย่างเดียวกัน แต่ถ้าสี เหมือนกันไม่ได้ก็ให้คันหนึ่งหยอกล้อห่าง ๆ อีกคันหนึ่งหยอกล้อยั่วเย้าอย่างถี่ หรือจะผลัดกันเป็นบางวรรคบางตอนก็ได้ 3. จะเข้ 2 ตัว ดำเนินทำนองแบบเดียวกัน 4. ขลุ่ย 2 เลา เลาหนึ่งเป็นขลุ่ยเพียงอออย่างในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยว ส่วนเลาที่เพิ่มขึ้นเป็นขลุ่ยหลีบซึ่งมีขนาดเล็กกว่าขลุ่ยเพียงออ และมีเสียงสูงกว่า ขลุ่ยเพียงออ 3 เสียงมีหน้าที่ดำเนินทำนองหลบหลีกปลีกทางออกไป ซึ่งเป็นการ ยั่วเย้าไปในกระบวนเสียงสูง สำหรับโทน รำมะนา และฉิ่ง ไม่เพิ่มจำนวน ส่วนฉาบเล็กและโหม่ง ถ้าจะใช้ก็คงมีจำนวนอย่างละ 1 ชิ้นเท่าเดิม ตั้งแต่โบราณมา วงเครื่องสายไทยมีอย่างมากก็ เพียงเครื่องคู่ดังกล่าวแล้วเท่านั้น ในสมัยหลังได้มีผู้คิดผสมวงเป็น วงเครื่องสาย ไทยวงใหญ่ ขึ้น โดยเพิ่มเครื่องบรรเลงจำพวกดำเนินทำนอง เช่น ซอด้วง ซออู้ และขลุ่ย ขึ้นเป็นอย่างละ 3 ชิ้นบ้าง 4 ชิ้นบ้าง การจะผสมเครื่องดนตรีชนิดใด เข้ามาในวงนั้นย่อมกระทำได้ ถ้าหากเครื่องดนตรีนั้นมีเสียงเหมาะสมกลมกลืน กับเครื่องอื่น ๆ แต่จะเพิ่มเติมในส่วนเครื่องกำกับจังหวะ เช่น โทน รำมะนา ฉิ่ง ฉาบ และโหม่ง ไม่ได้ ได้แต่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไป เช่น ใช้กลองแขกแทนโทน รำมะนา 3. วงเครื่องสายผสม เป็นวงเครื่องสายที่นำเอาเครื่องดนตรีต่างชาติเข้ามาร่วมบรรเลงกับเครื่องสาย ไทย การเรียกชื่อวงเครื่องสายผสมนั้นนิยมเรียกตามชื่อของเครื่องดนตรีต่างชาติ ที่นำเข้ามาร่วมบรรเลงในวง เช่น นำเอาขิมมาร่วมบรรเลงกับ ซอด้วง ซออู้ ขลุ่ย และเครื่องกำกับจังหวะต่าง ๆ แทนจะเข้ ก็เรียกว่า "วงเครื่องสายผสมขิม" หรือ นำเอาออร์แกนหรือไวโอลินมาร่วมบรรเลงด้วยก็เรียกว่า "วงเครื่องสายผสม ออร์แกน" หรือ "วงเครื่องสายผสมไวโอลิน" เครื่องดนตรีต่างชาติที่นิยมนำมา บรรเลงเป็นวงเครื่องสายผสมนั้นมีมากมายหลายชนิด เช่น ขิม ไวโอลิน ออร์แกน เปียโน แอกคอร์เดียน กู่เจิง เป็นต้น 4. วงเครื่องสายปี่ชวา เป็นวงเครื่องสายไทยทั้งวงบรรเลงประสมกับวงกลองแขก โดยไม่ใช้โทนและ รำมะนา และใช้ขลุ่ยหลีบแทนขลุ่ยเพียงออกเพื่อให้เสียงเข้ากับปี่ชวาได้ดี เดิมเรียกว่า วง กลองแขกเครื่องใหญ่ วงเครื่องสายปี่ชวาเกิดขึ้นในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวการบรรเลงเครื่องสายปี่ชวานั้น นักดนตรีจะต้องมีไหวพริบและความ เชี่ยวชาญในการบรรเลงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฉิ่งกำกับจังหวะจะต้องเป็นคนที่มีสมาธิดี ที่สุดจึงจะบรรเลงได้อย่างไพเราะ เพลงที่วงเครื่องสายปี่ชวานิยมใช้บรรเลงเป็นเพลง โหมโรง ได้แก่ เพลงเรื่องชมสมุทร เพลงโฉลก เพลงเกาะ เพลงระกำ เพลงสะระหม่า แล้วออกเพลงแปลง เพลงออกภาษา แล้วกลับมาออกเพลงแปลงอีกครั้งหนึ่ง
9880
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9880
วงดนตรี/วงดนตรีไทย/วงมโหรี
วงมโหรี เป็นวงดนตรีไทยที่มีวิวัฒนาการสืบเนื่องมาอย่างยาวนาน จัดเป็นการ ประสมวงที่มีความสมบูรณ์ในด้านเสียงสูงสุด กล่าวคือ เป็นการรวมเอาเครื่อง ดนตรีทำทำนองของวงปี่พาทย์ที่มีเครื่องตี คือ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอก เหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ร่วมกับเครื่องดนตรีในวง เครื่องสายที่มีเครื่องดีด คือ จะเข้ เครื่องสี คือ ซอด้วง และซออู้ และเครื่องเป่า คือ ขลุ่ย เอาไว้ด้วยกัน การนำเอาวงปี่พาทย์และวงเครื่องสายมารวมกันนี้ ทำให้ วงมโหรีเป็นการรวมกันของเครื่องดนตรีทุกตระกูล คือ ดีด สี ตี และเป่า มา รวมอยู่ในวงเดียวกันได้อย่างลงตัว ละเอียดอ่อน และละเมียดละไม มีแนวทาง การบรรเลงที่นุ่มนวล ไพเราะ นิยมใช้บรรเลงในพิธีการที่ศักดิ์สิทธิและเป็น มงคลต่างๆ วงมโหรี อาจารย์ณรงค์ เขียนทองกุล กล่าวถึงวงมโหรีไว้ใน “เกร็ดความรู้ว่า ด้วยเรื่องมโหรี” ว่า “...มโหรีสงสัยว่าเป็นศัพท์คำเดียวกับคำว่ามโหระทึก…” ครูมนตรี ตราโมท ได้กล่าวถึงเรื่องราวความเป็นมาของวงมโหรีไว้ใน “หนังสือ ดุริยางคศาสตร์ไทย ภาควิชาการ” ว่า “...เครื่องดีดสีของไทยโบราณมีอยู่ ๒ อย่าง คือ “บรรเลงพิณ” อย่างหนึ่ง กับ “ขับไม้” อย่างหนึ่ง “การบรรเลงพิณ” นั้นใช้แต่พิณน้ำเต้า (สายเดียว) สิ่งหนึ่ง ผู้ที่ดีดพิณเป็นผู้ขับร้องเอง (การบรรเลง พิณนี้ตามหลักการประสมวงไม่ถือว่าเป็นวงดนตรี แต่อนุโลมว่าเป็นการบรรเลง แบบโบราณที่เป็นต้นแบบการบรรเลงในรูปแบบอื่นๆในเวลาต่อมา) ส่วน “ขับ ไม้” นั้นมีคนขับลำ นำ ๑ คน สีซอสามสาย ๑ คน กับไกวบัณเฑาะว์อีกคน ๑ (การขับไม้ใช้บรรเลงประกอบ พิธีสำคัญเช่นพระราชพิธีสมโภชพระมหาเศวตฉัตร หรือพระราชพิธีสมโภชช้างเผือก เป็นต้น) ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้เอาบรรเลงพิณกับขับไม้นี้มารวมกันและเปลี่ยนแปลงขยายวง ขึ้นเรียกว่า “มโหรี” โดยมีผู้บรรเลงเพียง ๔ คน คือ คนขับร้องลำนำและตีกรับพวงให้ จังหวะเอง ๑ สีซอสามสาย ๑ ดีดกระจับปี่ (แทนพิณน้ำเต้า) ๑ กับตีทับประกอบจังหวะ ๑ และสมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีนี่เอง ก็ได้เพิ่ม “ขลุ่ย” สำหรับเป่าลำนำ กับรำมะนา ประกอบจังหวะเป็นคู่กับ “ทับ” ขึ้นอีก ต่อมาในปลายสมัยอยุธยาได้เพิ่ม “ฉิ่ง” เข้าอีก อย่างหนึ่ง (เข้าใจว่าให้คนขับร้องลำนำตี และเลิกกรับพวง เพราะในสมัยกรุงธนบุรีก็ ปรากฏว่ามโหรีมี ๖ คน)...” บทความของครูมนตรี ตราโมท ที่อ้างอิงไว้ข้างต้นนี้ ทำให้เราได้รู้ว่าวิวัฒนาการของวง มโหรีว่ามีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยเป็นการรวมเอาวงบรรเลงพิณและขับไม้เข้า ด้วยกันก่อนในเบื้องต้น แล้วจึงมีการตัดทอนหรือเพิ่มเติมเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีกในยุค ต่อๆมา จนเกิดเป็นวงมโหรีที่มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอนในปัจจุบัน วิวัฒนาการของวงมโหรี วิวัฒนาการของวงมโหรีสามารถสรุปได้คร่าวๆ ว่า เริ่มจากการรวมเอาวง บรรเลงพิณและวงขับไม้เข้าด้วยกัน เกิดเป็นวงมโหรีเครื่องสี่ แล้วพัฒนา เพิ่มเติมขึ้นเป็นวงมโหรีเครื่องห้า เครื่องหก ตามลำดับ วงมโหรีนั้นเดิมคงเป็น ของผู้ชายเล่น แต่ต่อมาคนทั่วไปเกิดชอบฟังกันแพร่หลายทั่วไป ผู้มีบรรดาศักดิ์ ซึ่งมีบริวารมากจึงหัดให้ผู้หญิงเล่นมโหรีบ้าง หลังจากนั้นมโหรีก็ กลายเป็นของ ผู้หญิงเล่นมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี (สมเด็จฯกรมพระยา ดำรง ราชานุภาพ : ตำนานเครื่องมโหรี) ดังจะพบได้ตามงานจิตรกรรม ประติมากรรม ใน ศิลปะสมัยอยุธยามักเขียนหรือแกะสลักเป็นภาพสตรีกำลังบรรเลงเครื่อง ดนตรีที่น่าจะ เป็นวงมโหรี ๑. วงมโหรีเครื่องสี่ (สมัยกรุงศรีอยุธยา) ๒. วงมโหรีเครื่องห้า (สมัยกรุงศรีอยุธยา) ๓. วงมโหรีเครื่องหก (สมัยกรุงศรีอยุธยา) ๔. วงมโหรีเครื่องสิบ (สมัยกรุงศรีอยุธยา) ๕. วงมโหรีสมัยกรุงธนบุรี ๖. วงมโหรีสมัยรัชกาลที่ ๑ (วงมโหรีเครื่องแปด) ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีพระราชกำหนดห้ามมิให้ผู้อื่นหัดละครผู้หญิง ยกเว้นละครที่เป็นของหลวงซึ่งรู้จักกันว่าละครใน ดังนั้น บรรดาเจ้านายและขุน นางบางส่วนจึงให้บริวารผู้หญิงฝึกหัดมโหรีและผู้ชายฝึกหัดปี่พาทย์ บางส่วนก็ ฝึกหัดละครชายล้วน ซึ่งรู้จักกันว่าละครนอก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงประทานพระอธิบายว่า “...มาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพิ่มเติมเครื่องมโหรี ขึ้นอีกหลายอย่าง เอาเครื่องปี่พาทย์เข้าเพิ่มเป็นพื้น เป็นแต่ทำขนาดย่อมลง ให้ สมกับผู้หญิงเล่น (และทั้งเพื่อลดเสียงเครื่องตีเพื่อมิให้ดังเกินไป เพื่อจะได้ระดับ กลมกลืนกับเครื่องดีด เครื่องสี)…” วงมโหรีสมัยโบราณ (มโหรีเครื่องสี่). มีผู้บรรเลงเพียง ๔ คน เท่านั้น คือ คนสีซอสามสาย คนดีดพิณ (กระจับปี่) คนตี ทับ (โทน) และคนร้องซึงตีกรับพวงด้วยเครื่องดนตรีที่ทำหน้าที่ดำเนินทำนอง คือ ซอสามสายกับพิณหรือกระจับปี่ ทับ ซึ่งในสมัยปัจจุบัน เรียกว่า โทน ทำ หน้าที่กำกับจังหวะหน้าทับ เพื่อให้รู้ประโยคและทำนองเพลง ส่วนกรับพวงที่ คนร้องตีนั้นกำกับจังหวะย่อย วงมโหรีเครื่องหก ต่อมาวงมโหรีได้เพิ่มเติมเครื่องดนตรีขึ้นมาอีก ๒ อย่าง และเปลี่ยนแปลงไป อย่างหนึ่งเป็นวงมโหรีเครื่องหก เพราะมีผู้บรรเลง ๖ คน คือซอสามสาย พิณหรือ กระจับปี่ ทับหรือโทน รำมะนา (เพิ่มใหม่) ตีสอดสลับกับโทนหรือทับ ขลุ่ย (เพิ่มใหม่) ช่วยดำเนินทำนองเพลง และกรับพวงของเดิมเปลี่ยนมาเป็นฉิ่ง วงมโหรีวงเล็ก. วงมโหรีได้มีวิวัฒนาการ เพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงมาโดยลำดับ ครั้งแรกได้เพิ่มฆ้อง วงกับระนาดเอก ต่อมาจึงได้เพิ่มซอด้วง ซออู้ และขลุ่ย ส่วนพิณหรือกระจับปี่ นั้น เป็นเครื่องดนตรีที่บรรเลงเมื่อยล้าเมื่อพบจะเข้ซึ่งเดิมเป็นเครื่องดนตรีของ มอญเป็นเครื่องดนตรีที่วางบนพื้นราบและดีดเป็นเสียงเช่นเดียวกัน ทั้งนมที่ บังคับเสียงเรียงลำดับก็ถี่พอสมควร สะดวกและคล่องแคล่วในการบรรเลงดีกว่า จึงนำจะเข้มาแทนพิณหรือกระจับปี่ ซึ่งนับเป็นวงมโหรีวงเล็กที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนหน้าที่ในการบรรเลงก็เป็นดังนี้ ซอสามสาย บรรเลงเป็นเสียงยาวโหยหวน บ้าง เก็บถี่ ๆบ้างตามทำนองเพลง และเป็นผู้คลอเสียงร้องด้วย วงมโหรีเครื่องคู่. ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วงปี่พาทย์ได้เพิ่มระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กกลายเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงมโหรี ก็เพิ่มระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กบ้าง ทั้งเพิ่มซอด้วง ซออู้ ขึ้นเป็นอย่างละ๒ คัน จะเข้เพิ่มเป็น ๒ ตัว ขลุ่ยนั้นเดิมมีแต่ขลุ่ยเพียงออก็เพิ่ม ขลุ่ยหลิบ (เลาเล็ก) ขึ้น อีก ๑ เลา เหมือนในวงเครื่องสาย ส่วนซอสามสายก็เพิ่มซอสามสายหลิบ (คัน เล็กและเสียงสูงกว่า) อีก ๑ คัน เครื่องประกอบจังหวะคงเดิม เรียกว่า วงมโหรีเครื่องคู่ วงมโหรีเครื่องใหญ่. ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ วงปี่พาทย์ได้เพิ่ม ระนาดทุ้มกับระนาดเอกเหล็กขึ้นอีก ๒ ราง กลายเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ มโหรีจึง เลียนแบบ โดยเพิ่มระนาดทุ้มเหล็กขึ้นบ้าง ส่วนระนาดเอกเหล็กนั้นเปลี่ยนเป็นสร้างลูก ระนาดด้วยทองเหลียง เพราะเทียบให้เสียงสูงไพเราะกว่าเหล็ก เรียกว่าระนาดทอง รวมทั้งวงเรียกว่าวงมโหรีเครื่องใหญ่ ซึ่งได้ถือเป็นแบบปฏิบัติใช้บรรเลงมาจนปัจจุบันนี้ บรรดาเครื่องดนตรีต่าง ๆ ที่วงมโหรีได้เลียนแบบมาจากวงปี่พาทย์ คือ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก (เป็นระนาดทอง) ระนาดทุ้มเหล็ก (บางวงทำด้วยทองเหลือง เรียกว่า ระนาดทุ้มทองก็มี) ฆ้องวงใหญ่ และฆ้องวงเล็กนั้น ทุกสิ่งจะต้องย่อขนาดลดลง ให้เล็กเพราะสมัยโบราณผู้บรรเลงมโหรีมีแต่สตรีทั้งนั้น จึงต้องลดขนาดลงให้พอเหมาะ แก่กำลัง อีกประการหนึ่งการลดขนาดเครื่องตีเหล่านี้ลงก็เพื่อให้เสียงดังสมดุลกับเครื่อง ดนตรีประเภทดีดสี มิฉะนั้นเสียงจะกลบพวกเครื่องสายหมด
9890
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9890
วงดนตรี/วงดนตรีสากล/วงออร์เคสตรา
วงออร์เคสตรา (Orchestra band) วงออร์เคสตราหรือวงดุริยางค์สากล ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเครื่องสายเป็นเครื่องดนตรีหลักของวง กลุ่มเครื่องลมไม้ กลุ่มเครื่องเป่าลมทองเหลือง และกลุ่มเครื่องตี ซึ่งมี ดังนี้ เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงดนตรี มีดังนี้ – กลุ่มเครื่องสาย (Strings) ได้แก่ ไวโอลิน วิโอลา เชลโล ดับเบิลเบส และฮาร์ป – กลุ่มเป่าลมไม้ (Woodwind) ได้แก่ ปิโกโล ฟลุต โอโบ คอร์อังแกลส์ คลาริเน็ต บาสซูน เบสคลาริเน็ต และคอนทราบาสซูน – กลุ่มเป่าลมทองเหลือง (Brass) ได้แก่ ทรัมเป็ต ทรอมโบน ทูบา และเฟรน์ฮอร์น – กลุ่มเครื่องตีและเครื่องประกอบจังหวะ (Percussion) ได้แก่ กลองใหญ่ ฉาบ ไทรแองเกิล กรับสเปนหรือแคสทาเน็ตส์ รำมะนาหรือแทมบูรีน เบล ก๊อง กลองทิมปานี และไซโลโฟน โอกาสที่ใช้บรรเลง วงดนตรีออร์เคสตราใช้บรรเลงเพลงประเภทซิมโฟนี(Symphony) ซึ่งเป็นบทเพลงที่มีการพัฒนาจนสมบรูณ์ที่สุด บทเพลงที่ใช้บรรเลงในวงดนตรี วงออร์เคสตราหรือวงดุริยางค์สากลมักใช้ประกอบการแสดงอุปรากรหรือโอเปรา-(Opera) ซึ่งจะใช้ผู้แสดงวงดนตรีไม่เกิน ๖ คน การแสดงเพื่อฟังเพลงโดยเฉพาะ
9891
57612
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9891
วงดนตรี/วงดนตรีสากล/แตรวง
แตรวง (Brass band) เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ๒ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเครื่องเป่าลมทองเหลือง และกลุ่มเครื่องตี เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงดนตรี. – กลุ่มเครื่องเป่าทองเหลือง (Brass) ได้แก่ ทรัมเป็ตหรือคอร์เน็ต มีผู้เล่น 9 คน เฟรนช์ฮอร์น มีผู้เล่น 4 คน บาริโทน มีผู้เล่น 2 คน ทรอมโบน มีผู้เล่น 3 คน ยูโฟเนียม มีผู้เล่น 2 คน และทูบา มีผู้เล่น 2 คน – กลุ่มเครื่องตี (Percussion) ได้แก่ ไทรแองเกิล กลองใหญ่ ฉาบ ทิมปานี กลองสแนร์ ไซโลโฟนและมาริมบา โอกาสที่ใช้บรรเลง. เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงกลางแจ้ง เช่น สวนสาธารณะ สนาม – แข่งขันกีฬา หรือในขบวนแห่ต่างๆ เป็นต้น บทเพลงที่ใช้บรรเลงในวงดนตรี บรรเลงได้บททุกเพลงทั้งเพลงไทย เพลงสากล เพลงลูกทุ่ง ให้ความรู้สึกสนุกสนานครื้นเครง
9892
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9892
วงดนตรี/วงดนตรีสากล/วงแจ๊ส
วงดนตรีประเภทแจ๊สหรือตระกูลแจ๊สเกิดจากพวกทาสชาวนิโกร เมืองนิวออร์ลีน รัฐโอไฮโอ แถบฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปีประเทศสหรัฐอเมริกาหลังจากที่พวกเขาเหล่านั้นได้ถูกใช้งานเยี่ยงทาส ชาวผิวดำต้องทำงานหนักและถูกกดขี่ข่มเหงจากชาวผิวขาวอย่างหนัก เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงานก็มารวมกลุ่มกันร้องรำทำเพลง ใช้เครื่องดนตรีง่าย ๆ เพื่อให้หายเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ จึงเกิดเป็นดนตรีแจ๊สขึ้น ต่อมาได้รับความนิยมไปทั่วโลกและเกิดดนตรีแจ๊สขึ้นในหลายลักษณะ ได้แก่ บลูแจ๊ส (Blue Jazz) นิวออร์ลีนและดิ๊กซี่แลนด์สไตล์ (New Orlean and Dixieland Style) โมเดิ้ลสไตล์ (Modern Style) และป๊อปสไตล์ (Pop Style) เป็นต้น วงดนตรีสากลประเภทวงแจ๊ส เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงเพื่อความสนุกสนาน ตลอดจนใช้ประกอบการเต้นรำ ลีลาศ รำวง ส่วนบทเพลงที่ใช้บรรเลงมีทั้งบทเพลงประเภทบรรเลงโดยเฉพาะ และบทเพลงร้องทั่ว ๆ ไป เช่น เพลงแจ๊ส เพลงสากล เพลงไทยสากล เพลงไทยลูกทุ่ง เป็นต้น ส่วนเครื่องดนตรีที่ใช้จัดวงแจ๊สประกอบด้วย 1.1 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้ (woodwind instruments) ได้แก่ 1) อีแฟลตอัลโตแซกโซโฟน (Eb Alto Saxophone) 2) บีแฟลตเทเนอร์แซกโซโฟน (Bb Tenor Saxophone) 3) อีแฟลตบราริโทนแซกโซโฟน (Eb Baritone Saxophone) 4) บีแฟลตคลาริเนต (Bb Clarinet) 5) ฟลุต (Flute) 1.2 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องโลหะหรือพวกแตร ได้แก่ 1)  บีแฟลตทรัมเป็ต (Bb Trumpet) 2)  สไลด์ทรอมโบน (Slide Trombone) 1.3 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องคีย์บอร์ด ได้แก่ เปียโน (Piano) หรือ ออร์แกน (Organ) 1.4 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องไฟฟ้า ได้แก่ กีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์เบสไฟฟ้า เปียโนหรือออร์แกนไฟฟ้า 1.5 เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีหรือเครื่องประกอบจังหวะ ได้แก่ กลองชุด
9893
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9893
วงดนตรี/วงดนตรีสากล/วงโยธวาทิต
วงโยธวาทิต (Military band) เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องเป่าลมไม้เครื่องเป่าลมทองเหลือง และเครื่องตี เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโรมัน เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงดนตรี มีดังนี้. – กลุ่มเป่าลมไม้ (Woodwind) ได้แก่ ปิโกโล ฟลุต แซกโซโฟน และคลาริเน็ต – กลุ่มเป่าลมทองเหลือง (Brass) ได้แก่ ทรัมเป็ต คอร์เน็ต ยูโฟเนียม ทรอมโบน ทูบา และเฟรน์ฮอร์น – กลุ่มเครื่องตี (Percussion) ได้แก่ กลองใหญ่ กลองสแนร์ และฉาบ โอกาสที่ใช้บรรเลง วงโยธวาทิตเป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงหลาโอกาส เช่น. – บรรเลงเพื่อถวายพระเกียรติยศแด่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ – บรรเลงเพื่อประกอบการสวนสนามของทหาร และการเดินแถว – บรรเลงเพื่อนำขบวนพาเหรด – จัดบรรเลงเพื่อการประกวดปข่งขันระดับประเทศ และต่างประเทศ บทเพลงที่บรรเลงในวงดนตรี บทเพลงที่ใช้บรรเลงจัดเป็นเพลงมาร์ชต่างๆ ที่ให้ความรู้สึกคึกคัก ตื่นเต้น เร้าใจ เช่น มาร์ชราชวัลลภ มาร์ชบริพัตร เป็นต้น
9894
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9894
วงดนตรี/วงดนตรีสากล/วงคอมโบ
วงคอมโบ (Combo band) เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงร่วมกับการขับร้องไม่จำกัดชนิดและจำนวนของเครื่องดนตรี แต่ที่นิยมใช้ มีดังนี้ เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงดนตรี. ได้แก่ ทรัมเป็ต เทเนอร์แซกโซโฟน อัลโตแซกโซโฟน ทรอมโบน เปียโน กีตาร์ เบส และกลองชุด โอกาสที่ใช้บรรเลง. ใช้บรรเลงในงานทุกประเภท เพื่อสนุกสนาน เฉลิมฉลอง ประกอบการลีลาศหรือเต้นรำ บรรเลงในห้องอาหารหรือสถานรื่นรมย์ต่างๆ บทเพลงที่ใช้บรรเลงในวงดนตรี. เพลงทุกประเภท ได้แก่ เพลงลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง เพลงสากล และเพลงภาษาต่างๆ
9895
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9895
วงดนตรี/วงดนตรีสากล/วงสตริงคอมโบ
วงสตริงคอมโบ (String combo band) เป็นวงดนตรีขนาดเล็กที่ใช้บรรเลงประกอบการขับร้อง บรรเลงร่วมกับกลองชุดและเครื่องดนตรีบางชนิดเพื่อเพิ่มสีสัน สร้างความสนุกสนาน และเพิ่มความไพเราะมากขึ้น เช่น เปียโน อิเล็กโทน เป็นต้น เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงดนตรี. กีตาร์เบส กีตาร์คอร์ด กลองชุด เป็นต้น โอกาสที่ใช้บรรเลง. บรรเลงได้ในงานทุกประเภท บทเพลงที่ใช้บรรเลงในวงดนตรี. บรรเลงทุกเพลงตามความเหมาะสม
9944
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9944
วิธีเรียงลำดับคำตามตัวอักษรในภาษาไทย
วิธีเรียงลำดับคำตามตัวอักษรในภาษาไทย คือ การจัดลำดับก่อนหลังของคำต่างๆ ในภาษาไทยอย่างเป็นระบบ เพื่อก่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วในการค้นหาคำ การเรียงลำดับคำอย่างเป็นระบบนี้ถูกนำไปใช้ประโยชน์โดยทั่วไป เช่น การทำพจนานุกรม การทำดัชนีของหนังสือ การเรียงรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์เคลื่อนที่ การเรียงข้อมูลตามตัวอักษรในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เป็นต้น โดยการเรียงลำดับคำจะมีกฎต่างๆ ที่นำมาใช้ในการพิจารณาเปรียบเทียบคำ กฎลำดับอักขระ. กฎลำดับอักขระ คือ กฎในการจัดเรียงลำดับก่อนหลังของอักขระในภาษาไทย ซึ่งมีความจำเป็นที่ต้องทราบเพื่อใช้ในขั้นตอนการเปรียบเทียบอักขระของคำ กฎลำดับพยัญชนะ. จะเรียงลำดับพยัญชนะดังนี้ ก ข ฃ ค ฅ ฆ ง จ ฉ ช ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ด ต ถ ท ธ น บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ฤ ฤๅ ล ฦ ฦๅ ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ ข้อสังเกต ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ไม่ใช่พยัญชนะ แต่ถูกนำมาพิจารณาร่วมกับพยัญชนะ กฎลำดับสระ. จะเรียงลำดับรูปสระดังนี้ อะ อั อา อำ อิ อี อึ อื อุ อู เอ แอ โอ ใอ ไอ (ะ   ั า  ำ  ิ  ี  ึ  ื  ุ  ู เ แ โ ใ ไ) ข้อสังเกต การเรียงสระจะยึดตามรูปที่เขียนไม่ใช่เสียง สระผสมจะไม่นำมาจัดเรียงโดยตรง (เช่น เ- ีย, เ- ือ, เ-าะ, แ-ะ) แต่จะถูกแยกรูปพิจารณาเป็นอักขระเดี่ยว กฎลำดับวรรณยุกต์. จะเรียงลำดับดังนี้ ไม้ไต่คู้, ไม้เอก, ไม้โท, ไม้ตรี, ไม้จัตวา, ทัณฑฆาต ( ็  ่  ้  ๊  ๋  ์) ข้อสังเกต ไม้ไต่คู้( ็) กับทัณฑฆาต( ์) ไม่ใช่วรรณยุกต์แต่ถูกนำมาพิจารณาร่วมกับวรรณยุกต์ วิธีพิจารณาลำดับของคำ. ในแต่ละคำให้พิจารณาพยัญชนะต้นก่อนสระและวรรณยุกต์เสมอ แม้ว่าจะมีสระเขียนไว้ด้านหน้า ด้านบน หรือด้านล่างของพยัญชนะต้น ก็ต้องพิจารณาดั่งสระนั้นถูกเขียนไว้หลังพยัญชนะต้นเสมอ จากนั้นจับคู่คำแล้วแยกเปรียบเทียบอักขระทีละคู่ไปตามลำดับในคำ จนกว่าจะพบตำแหน่งที่แตกต่าง แล้วจึงใช้กฎลำดับอักขระที่กล่าวไว้แล้วก่อนหน้านี้ในการเรียง การเรียงลำดับคำและวิธีเก็บคำ (ฉบับราชบัณฑิตยสถาน). <poem> ๑. ตัวพยัญชนะลำดับไว้ตามตัวอักษร คือ ก ข ฃ ค ฯลฯ จนถึง อ ฮ ไม่ได้ลำดับตามเสียง เช่น จะค้นคำ ทราบ ต้องไปหาในหมวดตัว ท จะค้นคำ เหมา ต้องไปหาในหมวดตัว ห ส่วน ฤ ฤๅ ลำดับ ไว้หลังตัว ร และ ฦ ฦๅ ลำดับไว้หลังตัว ล ๒. สระไม่ได้ลำดับไว้ตามเสียง แต่ลำดับไว้ตามรูปดังนี้ ะ#เปลี่ยนทาง ั#เปลี่ยนทาง า#เปลี่ยนทาง ิ#เปลี่ยนทาง ี#เปลี่ยนทาง ึ#เปลี่ยนทาง ื#เปลี่ยนทาง ุ#เปลี่ยนทาง ู#เปลี่ยนทาง เ#เปลี่ยนทาง แ#เปลี่ยนทาง โ#เปลี่ยนทาง ใ#เปลี่ยนทาง ไ#เปลี่ยนทาง รูปสระที่ประสมกัน หลายรูปจะจัดเรียงตามลำดับรูปสระที่อยู่ก่อนและหลังตามลำดับข้างต้นดังได้ลำดับให้ดูต่อไปนี้ </poem> <poem> สำหรับตัว ย ว อ นับลำดับอยู่ในพยัญชนะเสมอ ๓. การเรียงลำดับคำ จะลำดับตามพยัญชนะก่อนเป็นสำคัญ แล้วจึงลำดับตามรูปสระ ดังนั้น คำที่ไม่มีสระปรากฏเป็นรูปประสมอยู่ด้วย จึงอยู่ข้างหน้า เช่น กก อยู่หน้า กะ หรือ ขลา อยู่หน้า ขะข่ำ ส่วนคำที่มีพยัญชนะกับสระปรากฏเป็นรูปประสมกันก็ใช้หลักการลำดับคำข้างต้นเช่นเดียวกัน เช่น จริก จริม จรี จรึง จรุก และโดยปรกติจะไม่ลำดับตามวรรณยุกต์ เช่น ไต้ก๋ง ไต้ฝุ่น ไต่ไม้ แต่จะจัดวรรณยุกต์ เข้าในลำดับต่อเมื่อคำนั้นเป็นคำที่มีตัวสะกดการันต์เหมือนกัน เช่น ไต ไต่ ไต้ ไต๋ หรือ กระตุ่น กระตุ้น คำที่มี ็ (ไม้ไต่คู้) จะลำดับอยู่ก่อนวรรณยุกต์ เช่น เก็ง เก่ง เก้ง เก๋ง ๔. จำพวกคำที่นำด้วย กระ- บางพวกใช้แต่ กระ- อย่างเดียว บางพวกใช้เป็น กะ- ก็ได้ ประเภทที่ใช้เป็น กะ- ได้นั้น ได้เก็บมารวมพวกไว้ที่ กะ- อีกครั้งหนึ่ง แต่เก็บเฉพาะคำโดยไม่มีบทนิยาม ดังนั้น ถ้าพบคำที่ขึ้นต้นด้วย กะ ในจำพวกนั้น ให้ดูบทนิยามที่ กระ- เช่น กระทะ กระเปาะ เว้นไว้แต่ที่ ใช้ได้ทั้ง ๒ อย่างโดยความหมายต่างกัน เช่น กระแจะ-กะแจะ กระด้าง-กะด้าง จึงจะมีบทนิยามไว้ทั้ง ๒ แห่ง ๕. คำที่เพิ่มพยางค์หน้าซึ่งใช้ในคำประพันธ์โบราณ เช่น มี่ เป็น มะมี่ ริก เป็น ระริก ครื้น เป็น คะครื้น หรือ คระครื้น แย้ม เป็น ยะแย้ม ฯลฯ อันเป็นวิธีที่ภาษาบาลีเรียกว่า อัพภาส และภาษา สันสกฤตเรียกว่า อัภยาส แปลว่า วิธีซ้อนตัวอักษร เช่น ททาติ ททามิ นั้น คำเหล่านี้มีจำนวนมาก บาง แห่งเก็บรวมไว้ที่คำขึ้นต้น เช่น คะครื้น เก็บที่ คะ แล้วบอกว่า ใช้นำหน้าคำที่ตั้งต้นด้วยตัว ค มีความแปล อย่างเดียวกับคำเดิมนั้น บางแห่งเก็บกระจายเรียงไปตามลำดับคำ เช่น มะมี่ แต่ก็คงจะเก็บไม่หมด ฉะนั้น ถ้าคำใดค้นไม่พบที่ลำดับคำ ให้ไปดูคำที่เป็นต้นเดิม เช่น ยะแย้ม ดูที่ แย้ม ๖. ภาษาถิ่นบางถิ่นพูดสั้น ๆ เช่น กะดะ พูดแต่เพียง ดะ (ไม่มี กะ) กะง้อนกะแง้น พูด แต่เพียง ง้อนแง้น (ไม่มี กะ) แต่ความหมายของคำเหมือนกันกับคำที่มี กะ นำหน้า คำเช่นนี้เก็บไว้ที่ กะ แห่งเดียว ๗. คำที่มีเสียงกลับกัน เช่น ตะกรุด เป็น กะตรุด ตะกร้อ เป็น กะตร้อ ตะกรับ เป็น กะตรับ โดยปรกติเก็บไว้ทั้งที่อักษร ก และ ต แต่ถ้าค้นไม่พบที่อักษร ก ก็ให้ค้นที่อักษณ ต ๘. คำต่อไปนี้ซึ่งเป็นคำที่ใช้มากในบทกลอน คือ ก. คำที่เติม อา อี หรือ อิน ข้างท้าย เช่น กายา กายี กายิน ข. คำที่เติม เอศ ข้างท้าย (ตามภาษากวีเรียกว่า ศ เข้าลิลิต ทำคำที่เรียกว่าคำสุภาพ ให้เป็นคำเอกตามข้อบังคับโคลง) เช่น กมเลศ มยุเรศ ค. คำที่เติม อาการ ข้างท้าย เช่น จินตนาการ คมนาการ ทัศนาการ ฆ. คำที่เติม ชาติ ข้างท้าย เช่น กิมิชาติ คชาชาติ คำเหล่านี้มักมีความหมายไม่ต่างไปจากเดิม ได้รวบรวมเก็บไว้ในพจนานุกรมนี้ด้วย แต่อาจไม่หมดเพราะมีจำนวนมาก ถ้าค้นไม่พบในรูปคำนั้น ๆ ให้ดูที่คำเดิม เช่น กายา กายี เมื่อค้นที่คำ กายา กายี ไม่พบ ให้ดูที่คำ กาย คำ กาย มีความหมายอย่างไร กายา กายี ก็มีความหมายเช่นเดียวกัน คำอื่น ๆ ให้ค้นดูในทำนองนี้ ๙. ศัพท์ที่มีมูลรากอย่างเดียวกัน แต่แปลงรูปไปได้หลายอย่าง เช่น หิมวัต แปลงรูปเป็น หิมวันต์ หิมวา หิมวาต หิมวาน หิมพาน โดยความหมายไม่เปลี่ยนไป ได้ให้บทนิยามไว้ที่ศัพท์เดิมคือที่ หิมวัต แต่แห่งเดียว ส่วนศัพท์ที่แปลงรูปไปจากศัพท์เดิมก็เก็บไว้ต่างหาก แต่บ่งให้ไปดูที่ศัพท์เดิม เช่น หิมวันต์, หิมวา, หิมวาต, หิมวาน [หิมมะ]- น. หิมวัต. ๑๐. การเรียงลำดับคำที่เป็นนามย่อย เช่น ตะนอย ช่อน คา ไม่ได้เรียงรวมกับตัวสามานยนาม อย่างที่ใช้พูด เป็น มดตะนอย ปลาช่อน หญ้าคา แต่ได้เรียงสามานยนาม มด ปลา หญ้า ไว้แห่งหนึ่งตาม ตัวอักษร และเรียงนามย่อย ตะนอย ช่อน คา ไว้ต่างหากตามตัวอักษรนั้น ๆ เว้นแต่คำซึ่งแยกออกไม่ได้ เพราะเป็นชื่อของสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้งคำ เช่น แมลงภู่ ซึ่งเป็นชื่อของหอยหรือปลาบางชนิด จะเรียงรวมไว้ด้วยกัน ที่อักษร ม หรือ ปลากริม ซึ่งเป็นชื่อขนม ไม่ใช่ปลา จะเรียงรวมไว้ด้วยกันที่อักษร ป ถึงกระนั้นก็มีคำบางคำ ที่ไม่อาจเรียงตามหลักนี้ได้ ฉะนั้น คำในทำนองนี้เมื่อค้นไม่พบในที่ที่เป็นนามย่อยก็ให้ค้นต่อไปในที่ที่เป็น สามานยนาม เช่นคำ น้ำตาลกรวด เมื่อค้นที่ กรวด ไม่พบ ก็ให้ไปค้นที่คำ น้ำตาล ๑๑. คำ ๒ คำเมื่อประสมกันแล้ว โดยคำแรกเป็นคำเดียวกับแม่คำหรือคำตั้ง และมีความ หมายเกี่ยวเนื่องกับคำตั้ง จะเก็บเป็นอนุพจน์ คือ ลูกคำของคำตั้งนั้น ๆ เช่น กดขี่ กดคอ กดหัว เก็บเป็น ลูกคำของคำ กด เว้นแต่คำที่ประสมกันนั้นจะมีความหมายเป็นอิสระหรือต่างไปจากคำตั้ง จึงจะแยกเป็น คำตั้งต่างหาก เช่น ขวัญอ่อน ที่หมายถึงผู้ตกใจง่าย คือ เด็กหรือหญิงซึ่งมักจะขวัญหายบ่อย ๆ เก็บเป็น ลูกคำของคำ ขวัญ ส่วน ขวัญอ่อน ที่เป็นชื่อเพลงร้องรำชนิดหนึ่ง จะแยกเป็นคำตั้งเพราะมีความหมาย ต่างออกไป คำลักษณะนี้จะใส่เลขกำกับไว้ด้วย เป็น ขวัญอ่อน ๑ และ ขวัญอ่อน ๒ ส่วนคำที่นำมาประสม กันแล้ว มีความหมายไม่ต่างจากคำเดิม แปลได้คำต่อคำ จะไม่เก็บ เช่น ข้าวผัด ไม่เก็บเป็นลูกคำของ ข้าว เพราะมีความหมายเท่าคำเดิมแต่ละคำ ๑๒. คำคำเดียวกันซึ่งอาจประสมอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังคำอื่น ๆ เช่น น้ำ ประสมอยู่ในคำ ต่าง ๆ เป็น แม่น้ำ ลูกน้ำ น้ำใจ น้ำต้อย ถ้าคำที่อยู่ข้างหน้าคำ น้ำ เป็นอักษรตัวอื่น จะลำดับไว้ที่อักษร นั้น ๆ อย่างคำ แม่น้ำ ลำดับไว้ที่อักษร ม ลูกน้ำ ลำดับไว้ที่อักษร ล ไม่ลำดับไว้ที่อักษร น แต่ถ้าคำ น้ำ อยู่ข้างหน้า ก็ลำดับไว้ที่อักษร น โดยเป็นลูกคำของคำ น้ำ เช่น น้ำกรด น้ำแข็ง น้ำย่อย </poem>
9963
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9963
ประวัติศาสตร์ไทย/ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย/ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย
ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย. คำว่าไทย เป็นชื่อรวมของชนเผ่ามองโกล  ซึ่งแบ่งแยกออกเป็นหลายสาขา เช่น ไทยอาหม ในแคว้นอัสสัม ไทยใหญ่  ไทยน้อย  ไทยโท้ ในแคว้นตั้งเกี๋ย อุปนิสัยปกติมักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักสันติ และความเป็นอิสระ ความเจริญของชนชาติไทยนี้ สันนิษฐานว่า มีอายุไล่เลี่ยกันมากับความเจริญของ ชาวอียิปต์บาบิโลเนียและอัสสิเรียโบราณ ไทยเป็นชาติที่มีความเจริญมาก่อนจีนและก่อนชาวยุโรป ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพวกอนารยชนอยู่ เป็นระยะเวลา ประมาณ ๕,๐๐๐ - ๖,๐๐๐ ปีมาแล้วที่ชนชาติไทยได้เคยมีที่ทำกินเป็นหลักฐาน มีการปกครองเป็นปึกแผ่น และมีระเบียบแบบแผนอยู่ ณ ดินแดนซึ่งเป็นประเทศจีนในปัจจุบัน เมื่อประมาณ ๓,๕๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช  ชนชาติไทยได้อพยพข้ามเทือกเขาเทียนชาน  เดินทางมาจนถึงที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ ณ บริเวณต้นแม่น้ำฮวงโห และแม่น้ำแยงซีเกียงและได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ บริเวณที่แห่งนั้น  แล้วละเลิกอาชีพเลี้ยงสัตว์แต่เดิม  เปลี่ยนมาเป็นทำการกสิกรรม ความเจริญก็ยิ่งทวีมากขึ้น  มีการปกครองเป็นปึกแผ่น และได้ขยายที่ทำกินออกไปทางทิศตะวันออกตามลำดับ ในขณะที่ชนชาติไทยมีความเป็นปึกแผ่นอยู่ ณ ดินแดนและมีความเจริญดังกล่าว  ชนชาติจีนยังคงเป็นพวกเลี้ยงสัตว์ ที่เร่ร่อนพเนจรอยู่ตามแถบทะเลสาบแคสเบียน  ต่อมาเมื่อประมาณกว่าหนึ่งพันปีที่ไทยอพยพเข้ามาอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำเรียบร้อยแล้วชนชาติจีนจึงได้อพยพเข้ามาอยู่ในลุ่มน้ำดังกล่าวนี้บ้าง  และได้พบว่าชนชาติไทยได้ครอบครองและมีความเจริญอยู่ก่อนแล้ว  ในระหว่างระยะเวลานั้น  เราเรียกตัวเองว่าอ้ายลาว หรือพวกมุง ประกอบกันขึ้นเป็นอาณาจักรใหญ่ ถึงสามอาณาจักร ด้วยกันคือ อาณาจักรลุง  ตั้งอยู่ทางตอนเหนือบริเวณต้นแม่น้ำเหลือง (หวงโห) อาณาจักรปา  ตั้งอยู่ทางใต้ลงมาบริเวณพื้นที่ทางเหนือของมณฑลเสฉวน  อาณาจักรปาจัดว่าเป็นอาณาจักรที่สำคัญกว่าอาณาจักรอื่น อาณาจักรเงี้ยว  ตั้งอยู่ทางตอนกลางของลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ทั้งสามอาณาจักรนี้ มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ  ประชากรก็เพิ่มมากขึ้น  จึงได้แผ่ขยายอาณาเขตออกมาทางทิศตะวันออก  โดยมีแม่น้ำแยงซีเกียงเป็นแกนหลัก จากความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ถิ่นที่อยู่ใหม่ มีอิทธิพลทำให้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเดิม ตั้งแต่ครั้งยังทำการเลี้ยงสัตว์ ที่โหดเหี้ยม และชอบรุกราน  มาเป็นชนชาติที่มีใจกว้างขวาง รักสงบพอใจความสันติ อันเป็นอุปนิสัยที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงไทยรุ่นหลังต่อมา เหตุที่ชนชาติจีนเข้ามารู้จักชนชาติไทยเป็นครั้งแรก เมื่อแหล่งทำมาหากินทางแถบทะเลสาบแคสเบียนเกิดอัตคัตขาดแคลน  ทำให้ชนชาติจีนต้องอพยพเคลื่อนย้ายมาทางทิศตะวันออก เมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ก่อนพุทธศักราช ชนชาติจีนได้อพยพข้ามเทือกเขาเทียนชาน ที่ราบสูงโกบี  จนมาถึงลุ่มแม่น้ำไหว จึงได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ ที่นั้น และมีความเจริญขึ้นตามลำดับ  ปรากฎมีปฐมกษัตริย์ของจีนชื่อ ฟูฮี  ได้มีการสืบวงค์กษัตริย์กันต่อมา แต่ขณะนั้นจีนกับไทยยังไม่รู้จักกัน  ล่วงมาจนถึงสมัยพระเจ้ายู้  จีนกับไทยจึงได้รู้จักกันครั้งแรก โดยมีสาเหตุมาจากที่พระเจ้ายู้ ได้มีรับสั่งให้มีการสำรวจ พระราชอาณาเขตขึ้น  ชาวจีนจึงได้มารู้จักชาวไทยได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอ้ายลาว จึงยกย่องนับถือถึงกับให้สมญาอาณาจักรอ้ายลาวว่า อาณาจักรไต๋  ซึ่งมีความหมายว่าอาณาจักรใหญ่  สันนิษฐานว่า เป็นสมัยแรกที่จีนกับไทยได้แลกเปลี่ยนสัมพันธไมตรีต่อกัน
9968
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9968
ประวัติศาสตร์ไทย/ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย/อาณาจักรอ้ายลาวถูกรุกราน
เมื่อประมาณ 390 ปี ก่อนพุทธศักราช  พวกจีนได้ถูกชนชาติตาดรุกราน พวกตาดได้ล่วงเลยเข้ามารุกรานถึงอาณาจักรอ้ายลาวด้วย  อาณาจักรลุงซึ่งอยู่ทางเหนือ ต้องประสบภัยสงครามอย่างร้ายแรง ในที่สุดก็ต้องทิ้งถิ่นฐานเดิม อพยพลงมาทางนครปา ซึ่งอยู่ทางใต้ ปล่อยให้พวกตาดเข้าครอบครองนครลุง ซึ่งมีอาณาเขตประชิดติดแดนจีน ฝ่ายอาณาจักรจีนในเวลาต่อมาเกิดการจลาจล  พวกราษฎรพากันอพยพหนีภัยสงคราม เข้ามาในนครปาเป็นครั้งแรก  เมื่ออพยพมาอยู่กันมากเข้า ก็มาเบียดเบียนชนชาติไทยในการครองชีพ  ชนชาติไทยทนการเบียดเบียนไม่ได้ จึงได้อพยพจากนครปามาหาที่ทำกินใหม่ทางใต้ครั้งใหญ่ เมื่อประมาณ 50 ปี ก่อนพุทธศักราช  แต่อาณาจักรอ้ายลาวก็ยังคงอยู่จนถึงประมาณ ก่อนค.ศ. 368 อาณาจักรจีนเกิดมีแคว้นหนึ่ง คือ แคว้นจิ๋น มีอำนาจขึ้นแล้วใช้แสนยานุภาพเข้ารุกรานอาณาจักรอ้ายลาว นับเป็นครั้งแรกที่ไทยกับจีนได้รบพุ่งกัน  ในที่สุดชนชาติไทยก็เสียนครปาให้แก่จีน เมื่อ ก่อน ค.ศ.338 ผลของสงครามทำให้ชาวนครปาที่ยังตกค้างอยู่ในถิ่นเดิม อพยพเข้ามาหาพวกเดียวกันที่อาณาจักรเงี้ยว ซึ่งขณะนั้นยังเป็นอิสระอยู่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของจีน แต่ฝ่ายจีนยังคงรุกรานลงทางใต้สู่อาณาจักรเงี้ยวต่อไป  ในที่สุดชนชาติไทยก็เสียอาณาจักรเงี้ยวให้แก่ พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อก่อน ค.ศ. 215
9969
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9969
ประวัติศาสตร์ไทย/ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย/อาณาจักรเพงาย
ตั้งแต่ พ.ศ. ๔๐๐ - ๖๒๑  เมื่ออาณาจักรอ้ายลาวถูกรุกรานจากจีน ทั้งวิธีรุกเงียบและรุกรานแบบเปิดเผยโดยใช้แสนยานุภาพ จนชนชาติไทยอ้ายลาวสิ้นอิสระภาพ จึงได้อพยพอีกครั้งใหญ่ แยกย้ายกันไปหลายทิศหลายทาง เพื่อหาถิ่นอยู่ใหม่ ได้เข้ามาในแถบลุ่มแม่น้ำสาละวิน ลุ่มแม่น้ำอิรวดี บางพวกก็ไปถึงแคว้นอัสสัม  บางพวกไปยังแคว้นตังเกี๋ย เรียกว่าไทยแกว  บางพวกเข้าไปอยู่ที่แคว้นฮุนหนำ พวกนี้มีจำนวนค่อนข้างมาก ในที่สุดได้ตั้งอาณาจักรขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๔๐๐  เรียกว่าอาณาจักรเพงาย ในสมัยพระเจ้าขุนเมือง  ได้มีการรบระหว่างไทยกับจีน หลายครั้งผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ สาเหตุที่รบกันเนื่องจากว่า ทางอาณาจักรจีน พระเจ้าวู่ตี่ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และได้จัดสมณทูตให้ไปสืบสวนพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียแต่การเดินทางของสมณทูตต้องผ่านเข้ามาในอาณาจักรเพงาย  พ่อขุนเมืองไม่ไว้ใจจึงขัดขวาง ทำให้กษัตริย์จีนขัดเคืองจึงส่งกองทัพมารบ  ผลที่สุดชาวเพงายต้องพ่ายแพ้ เมื่อ พ.ศ. ๔๕๖ ต่อมาอาณาจักรจีนเกิดการจลาจล  ชาวนครเพงายจึงได้โอกาสแข็งเมือง ตั้งตนเป็นอิสระ จนถึง พ.ศ. ๖๒๑ ฝ่ายจีนได้รวมกันเป็นปึกแผ่นและมีกำลังเข้มแข็ง ได้ยกกองทัพมารุกรานไทย สาเหตุของสงครามเนื่องจากพระเจ้ามิ่งตี่ กษัตริย์จีนได้วางแผนการขยายอาณาเขต โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ  โดยได้ส่งสมณฑูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังประเทศใกล้เคียง สำหรับนครเพงายนั้น เมื่อพระพุทธศาสนาแผ่ไปถึงพ่อขุนลิวเมา ซึ่งเป็นหัวหน้าก็เลื่อมใส ชาวนครเพงายโดยทั่วไปก็ยอมรับนับถือเป็นศาสนาประจำชาติ ด้วยต่างก็ประจักษ์ในคุณค่าของพระธรรมอันวิเศษยอดเยี่ยม  นับว่าสมัยนี้เป็นสมัยสำคัญที่พระพุทธศาสนาได้แผ่เข้ามาถึงอาณาจักรไทย คือ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๖๑๒ เมื่อเป็นเช่นนั้นฝ่ายจีนจึงถือว่าไทยต้องเป็นเมืองขึ้นของจีนด้วย จึงได้ส่งขุนนางเข้ามาควบคุมการปกครองนครเพงาย เมื่อทางไทยไม่ยอมจึงเกิดผิดใจกัน ฝ่ายจีนได้กรีฑาทัพใหญ่เข้าโจมตีนครเพงาย นครเพงายจึงเสียอิสระภาพ เมื่อ พ.ศ. ๖๒๑
9970
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9970
ประวัติศาสตร์ไทย/ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย/อาณาจักรน่านเจ้า
หลังจากนครเพงายเสียแก่จีนแล้ว ก็ได้มีการอพยพครั้งใหญ่กันอีกครั้งหนึ่ง ลงมาทางทิศใต้และทางทิศตะวันตก  ส่วนใหญ่มักเข้ามาตั้งอยู่ตามลุ่มแม่น้ำ ในเวลาต่อมาได้เกิดมีเมืองใหญ่ขึ้นถึง ๖ เมือง ทั้ง ๖ เมืองต่างเป็นอิสระแก่กัน ประกอบกับในห้วงเวลานั้นกษัตริย์จีนกำลังเสื่อมโทรม  แตกแยกออกเป็นสามก๊ก  ก๊กของเล่าปี่ อันมีขงเบ้งเป็นผู้นำ ได้เคยยกมาปราบปรามนครอิสระของไทย ซึ่งมีเบ้งเฮกเป็นหัวหน้าได้สำเร็จ ชาวไทยกลุ่มนี้จึงต้องอพยพหนีภัยจากจีน ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๘๕๐ พวกตาดได้ยกกำลังเข้ารุกราน อาณาจักรจีนทางตอนเหนือ  เมื่อตีได้แล้วก็ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์ทางเหนือมี ปักกิ่งเป็นเมืองหลวง  ส่วนอาณาจักรทางใต้ กษัตริย์เชื้อสายจีนก็ครองอยู่ที่เมืองน่ำกิง  ทั้งสองพวกได้รบพุ่งกันเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ ทำให้เกิดการจลาจลไปทั่วอาณาจักร  ผลแห่งการจลาจลครั้งนั้น ทำให้นครอิสระทั้ง ๖ ของไทย คือ ซีล่ง ม่งเส  ล่างกง  มุ่งซุย  เอี้ยแซ และเท่งเซี้ยง กลับคืนเป็นเอกราช นครม่งเสนับว่าเป็นนครสำคัญ เป็นนครที่ใหญ่กว่านครอื่นๆ และตั้งอยู่ต่ำกว่านครอื่น ๆ  จึงมีฐานะมั่นคงกว่านครอื่น ๆ  ประกอบกับมีกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถ และเข้มแข็ง คือ พระเจ้าสินุโล พระองค์ได้รวบรวมนครรัฐทั้ง ๖ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันรวมเรียกว่า อาณาจักรม่งเส หรือ หนองแส จากนั้นพระองค์ได้วางระเบียบการปกครองอาณาจักรอย่างแน่นแฟ้น พระองค์ได้ดำเนินนโยบายผูกมิตรกับจีน  เพื่อป้องกันการรุกราน เนื่องจากในระยะนั้นไทยกำลังอยู่ในห้วงเวลาสร้างตัวจนมีอำนาจ เป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีอาณาเขตประชิดติดกับจีน  ทางฝ่ายจีนเรียกอาณาจักรนี้ว่า อาณาจักรน่านเจ้า แม้ว่าอาณาจักรน่านเจ้าจะสิ้นรัชสมัยพระเจ้าสินุโลไปแล้วก็ตาม พระราชโอรสของพระองค์ซึ่งสืบราชสมบัติ  ต่อมาก็ทรงพระปรีชาสามารถ  นั่นคือพระเจ้าพีล่อโก๊ะ พระองค์ได้ทำให้อาณาจักรน่านเจ้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม อาณาเขตก็กว้างขวางมากขึ้นกว่าเก่า งานชิ้นสำคัญของพระองค์อย่างหนึ่งก็คือ การรวบรวมนครไทยอิสระ ๕ นครเข้าด้วยกัน และการเป็นสัมพันธไมตรีกับจีน ในสมัยนี้อาณาจักรน่านเจ้า ทิศเหนือจดมณฑลฮุนหนำ  ทิศใต้จดมณฑลยูนาน  ทิศตะวันตกจดธิเบต และพม่า และทิศตะวันออกจดมณฑลกวางไส  บรรดาอาณาจักรใกล้เคียงต่างพากันหวั่นเกรง และยอมอ่อนน้อมต่ออาณาจักรน่านเจ้าโดยทั่วหน้ากัน  พระเจ้าพีล่อโก๊ะมีอุปนิสัยเป็นนักรบ จึงโปรดการสงคราม ปรากฎว่าครั้งหนึ่ง พระองค์เสด็จเป็นจอมทัพไปช่วยจีนรบกับชาวอาหรับ ที่มณฑลซินเกียง และพระองค์ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม ทางกษัตริย์จีนถึงกับยกย่องให้สมญานามพระองค์ว่า ยูนานอ๋อง  พระองค์เป็นกษัตริย์ที่เห็นการณ์ไกล มีนโยบายในการแผ่อาณาเขตที่ฉลาดสุขุมคัมภีรภาพ  วิธีการของพระองค์คือ ส่งพระราชโอรสให้แยกย้ายกันไปตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่ทางทิศใต้ และทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่บริเวณ หลวงพระบาง  ตังเกี๋ย  สิบสองปันนา  สิบสองจุไทย (เจ้าไทย) หัวพันทั้งห้าทั้งหก กาลต่อมาปรากฎว่าโอรสองค์หนึ่งได้ไปสร้างเมืองชื่อว่า โยนกนคร ขึ้นทางใต้  เมืองต่าง ๆ ของโอรสเหล่านี้ต่างก็เป็นอิสระแก่กัน  เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าพีล่อโก๊ะ (พ.ศ.  ๑๒๘๙) พระเจ้าโก๊ะล่อฝง ผู้เป็นราชโอรสได้ครองราชยสืบต่อมา และได้ดำเนินนโยบายเป็นไมตรีกับจีนตลอดมา จนถึง พ.ศ. ๑๒๙๓ จึงมีสาเหตุขัดเคืองใจกันขึ้น  มูลเหตุเนื่องจากว่า เจ้าเมืองฮุนหนำได้แสดงความประพฤติดูหมิ่นพระองค์ พระองค์จึงขัดเคืองพระทัย ถึงขั้นยกกองทัพไปตีได้เมืองฮุนหนำ และหัวเมืองใหญ่น้อยอื่น ๆ อีก ๓๒ หัวเมือง  แม้ว่าทางฝ่ายจีนจะพยายามโจมตีกลับคืนหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ  ในที่สุดฝ่ายจีนก็เข็ดขยาด และเลิกรบไปเอง  ในขณะที่ไทยทำสงครามกับจีน ไทยก็ได้ทำการผูกมิตรกับธิเบต เพื่อหวังกำลังรบ และเป็นการป้องกันอันตรายจากด้านธิเบต เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าโก๊ะล่อฝง ราชนัดดาคือเจ้าอ้ายเมืองสูง (อีเหมาซุน) ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อมา  มีเหตุการณ์ในตอนต้นรัชกาล คือไทยกับธิเบตเป็นไมตรีกัน และได้รวมกำลังกันไปตีแคว้นเสฉวนของจีนแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ในเวลาต่อมา ธิเบตถูกรุกรานและได้ขอกำลังจากไทยไปช่วยหลายครั้ง จนฝ่ายไทยไม่พอใจ ประจวบกันในเวลาต่อมา ทางจีนได้แต่งฑูตมาขอเป็นไมตรีกับไทยเจ้าอ้ายเมืองสูงจึงคิดที่จะเป็นไมตรีกับจีน เมื่อทางธิเบตทราบระแคะระคายเข้าก็ไม่พอใจ จึงคิดอุบายหักหลังไทย แต่ฝ่ายไทยไหวทันจึงสวมรอยเข้าโจมตีธิเบตย่อยยับ ตีได้หัวเมืองธิเบต ๑๖ แห่งทำให้ธิเบตเข็ดขยาดฝีมือของไทยนับตั้งแต่นั้นมา ในเวลาต่อมากษัตริย์น่านเจ้าในสมัยหลังอ่อนแอ และไม่มีนิสัยเป็นนักรบ ดังปรากฎในตามบันทึกของฝ่ายจีนว่า ในสมัยที่พระเจ้าฟ้า ขึ้นครองราชย์ เมื่อปี พ.ศ. ๑๔๒๐ นั้น ได้มีพระราชสาส์นไปถึงอาณาจักรจีน ชวนให้เป็นไมตรีกัน  ทางฝ่ายจีนก็ตกลง เพราะยังเกรงในฝีมือ และความเข้มแข็งของไทยอยู่ แต่กระนั้นก็ไม่ละความพยายามที่จะหาโอกาสรุกรานอาณาจักรน่านเจ้า ปรากฎว่าพระเจ้าแผ่นดินจีนได้ส่งราชธิดา หงางฝ่า ให้มาอภิเษกสมรสกับพระเจ้าฟ้า เพื่อหาโอกาสรุกเงียบในเวลาต่อมา โดยได้พยายามผันแปรขนบธรรมเนียมประเพณีในราชสำนัก ให้มีแบบแผนไปทางจีนทีละน้อย ๆ  ดังนั้นราษฎรน่านเจ้าก็พากันนิยมตาม จนในที่สุด อาณาจักรน่านเจ้าก็มีลักษณะคล้ายกับอาณาจักรจีน  แม้ว่าสิ้นสมัยพระเจ้าฟ้า กษัตริย์น่านเจ้าองค์หลัง ๆ ก็คงปฎิบัติตามรอยเดิม ประชาชนชาวจีนก็เข้ามาปะปนอยู่ด้วยมาก แม้กษัตริย์เองก็มีสายโลหิตจากทางจีนปะปนอยู่ด้วยแทบทุกองค์  จึงก่อให้เกิดความเสื่อม ความอ่อนแอขึ้นภายใน มีการแย่งชิงราชสมบัติกันในบางครั้ง จนในที่สุดเกิดการแตกแยกในอาณาจักรน่านเจ้า ความเสื่อมได้ดำเนินต่อไปตามลำดับ จนถึงปี พ.ศ. ๑๘๒๓ ก็สิ้นสุดลงด้วยการโจมตีของกุบไลข่าน (Kublai Khan) กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรจีน อาณาจักรน่านเจ้าก็ถึงกาลแตกดับลงในครั้งนั้น
9971
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9971
ประวัติศาสตร์ไทย/ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย/ความเจริญของอาณาจักรน่านเจ้า
ตามบันทึกของจีนโบราณกล่าวไว้ว่า นอกจากน่านเจ้าจะเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นแล้ว ยังมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างสูง  ทางด้านการปกครองได้จัดแบ่งออกเป็น ๙ กระทรวง คือ กระทรวงว่าการทหาร  กระทรวงจัดการสำมะโนครัว  กระทรวงราชประเพณี  กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย  กระทรวงโยธา  กระทรวงพาณิชย์  กระทรวงการคลัง และกระทรวงการต่างประเทศ มีเจ้าพนักงานสำหรับสอบคัดเลือกผู้เข้ารับราชการ  กองทหารก็จัดเป็น หมู่ หมวด กองร้อย กองพัน มีธงประจำกอง  ทหารแต่งกายด้วยเสื้อกางเกงทำด้วยหนังสัตว์ สวมหมวกสีแดงมียอด ถือโลห์หนังแรด มีหอกหรือขวานเป็นอาวุธ หากใครมีม้าก็เป็นทหารม้า ทรัพย์สินของรัฐมียุ้งฉางสำหรับเสบียงของหลวง มีโรงม้าหลวง มีการเก็บภาษีอากร มีการแบ่งปันที่นาให้ราษฎรตามส่วน  อาชีพทั่วไปของราษฎรคือการเพาะปลูก เมื่อรู้จักปลูกฝ้ายก็มีการทอผ้า นอกจากนั้นก็มีอาชีพขุดทอง ศาสนาประจำชาติ  ส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน  รวมทั้งนับถือศาสนาเดิมที่นับถือบรรพบุรุษ การศึกษา  ชนชาติไทยในสมัยน่านเจ้ามีภาษาใช้ประจำชาติโดยเฉพาะแล้ว  แต่เรื่องของตัวหนังสือเรายังไม่สามารถทราบได้ว่ามีใช้หรือยัง ชนชาติต่าง ๆ ในแหลมสุวรรณภูมิก่อนที่ไทยจะอพยพมาอยู่ ชนชาติดั้งเดิม และมีความเจริญน้อยที่สุดก็คือพวก นิโกรอิด (Negroid) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ พวกเงาะ เช่น เซมัง ซาไก (Sakai) ปัจจุบันชนชาติเหล่านี้มีเหลืออยู่น้อยเต็มที  แถวปักษ์ใต้อาจมีเหลืออยู่บ้าง ในเวลาต่อมาชนชาติที่มีอารยธรรมสูงกว่า เช่น มอญ  ขอม  ละว้า  ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ขอม  มีถิ่นฐานทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแหลมสุวรรณภูมิ  ในบริเวณแม่น้ำโขงตอนใต้ และทะเลสาบเขมร ลาวหรือละว้า  มีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นดินแดนตอนกลางระหว่างขอมและมอญ มอญ  มีถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน และแม่น้ำอิรวดี ทั้งสามชาตินี้มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ตั้งแต่รูปร่าง หน้าตา ภาษา และขนบธรรมเนียมประเพณีสันนิษฐานได้ว่า น่าจะเป็นชนชาติเดียวกันมาแต่เดิม อาณาจักรละว้า  เมื่อประมาณ พ.ศ. ๗๐๐ ชนชาติละว้าซึ่งเข้าครอบครองถิ่นเจ้าพระยา ได้ตั้งอาณาจักรใหญ่ขึ้นสามอาณาจักรคือ อาณาจักรทวาราวดี  มีอาณาเขตประมาณตั้งแต่ราชบุรี ถึงพิษณุโลก มีนครปฐมเป็นเมืองหลวง อาณาจักรโยนกหรือยาง  เป็นอาณาจักรทางเหนือในเขตพื้นที่เชียงราย และเชียงแสน มีเงินยางเป็นเมืองหลวง อาณาจักรโคตรบูรณ์  มีอาณาเขตตั้งแต่นครราชสีมาถึงอุดรธานี มีนครพนมเป็นเมืองหลวง อารยธรรมที่นำมาเผยแพร่  แหลมสุวรรณภูมิได้เป็นศูนย์กลางการค้าของจีน และอินเดียมาเป็นเวลาช้านาน จนกลายเป็นดินแดนแห่งอารยธรรมผสม ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของบริเวณนี้ เป็นเหตุดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาอาศัย และติดต่อค้าขาย  นับตั้งแต่ พ.ศ. ๓๐๐ เป็นต้นมา  ได้มีชาวอินเดียมาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งพวกที่หนีภัยสงครามทางอินเดียตอนใต้ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์แห่งแคว้นโกศลได้กรีฑาทัพไปตีแคว้นกลิงคราฎร์  ชาวพื้นเมืองอินเดียตอนใต้ จึงอพยพเข้ามาอยู่ที่พม่า ตลอดถึงพื้นที่ทั่วไปในแหลมมลายู และอินโดจีน อาศัยที่พวกเหล่านี้มีความเจริญอยู่แล้ว จึงได้นำเอาวิชาความรู้และความเจริญต่าง ๆ มาเผยแพร่ คือ ศาสนาพุทธ  พระพุทธศาสนา ซึ่งเหมาะสมในทางอบรมจิตใจ  ให้ความสว่างกระจ่างในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ  สันนิษฐานว่า พุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่เป็นครั้งแรกโดย พระโสณะ และพระอุตระ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ศาสนาพราหมณ์  มีความเหมาะสมในด้านการปกครอง ซึ่งต้องการความศักดิ์สิทธิ์ และเด็ดขาด ศาสนานี้สอนให้เคารพในเทพเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร  พระพรหม  และพระนารายณ์ นิติศาสตร์  ได้แก่การปกครอง ได้วางแผนการปกครองหัวเมืองตลอดจนการตั้งมงคลนาม ถวายแก่พระมหากษัตริย์ และตั้งชื่อเมือง อักษรศาสตร์  พวกอินเดียตอนใต้ได้นำเอาตัวอักษรคฤณฑ์เข้ามาเผยแพร่  ต่อมาภายหลังได้ดัดแปลงเป็นอักษรขอม และอักษรมอญ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย โดยดัดแปลงจากอักษรขอม เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๓ ศิลปศาสตร์  ได้แก่ฝีมือในการก่อสร้าง แกะสลัก ก่อพระสถูปเจดีย์ และหล่อพระพุทธรูป
9972
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9972
ประวัติศาสตร์ไทย/ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย/การแผ่อำนาจของขอมและพม่า
ประมาณปี พ.ศ. ๖๐๑ โกณฑัญญะ ซึ่งเป็นชาวอินเดียได้สมรสกับนางพญาขอม และต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ครอบครองดินแดนของนางพญาขอม จัดการปกครองบ้านเมืองด้วยความเรียบร้อย  ทำนุบำรุงกิจการทหาร ทำให้ขอมเจริญขึ้นตามลำดับ มีอาณาเขตแผ่ขยายออกไปมากขึ้น  ในที่สุดก็ได้ยกกำลังไปตีอาณาจักรโคตรบูรณ์ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่อยู่ทางเหนือของละว้าไว้ได้  แล้วถือโอกาสเข้าตีอาณาจักรทลาวดี  ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๖๐๐  กษัตริย์พม่าผู้มีความสามารถองค์หนึ่ง คือ พระเจ้าอโนธรามังช่อ  ได้ยกกองทัพมาตีอาณาจักรมอญ  เมื่อตีอาณาจักรมอญไว้ในอำนาจได้ แล้วก็ยกทัพล่วงเลยเข้ามาตีอาณาจักรทวาราวดี  และมีอำนาจครอบครองตลอดไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อำนาจของขอมก็สูญสิ้นไป  แต่เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าอโนธรามังช่อ อำนาจของพม่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็พลอยเสื่อมโทรมดับสูญไปด้วย เพราะกษัตริย์พม่าสมัยหลังเสื่อมความสามารถ และมักแย่งชิงอำนาจซึ่งกันและกัน เปิดโอกาสให้แว่นแคว้นต่าง ๆ ที่เคยเป็นเมืองขึ้น ตั้งตัวเป็นอิสระได้อีก ในระหว่างนี้ พวกไทยจากน่านเจ้า ได้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมากขึ้น เมื่อพม่าเสื่อมอำนาจลง คนไทยเหล่านี้ก็เริ่มจัดการปกครองกันเองในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ฝ่ายขอมนั้นเมื่อเห็นพม่าทอดทิ้งแดนละว้าเสียแล้ว ก็หวลกลับมาจัดการปกครองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกวาระหนึ่ง โดยอ้างสิทธิแห่งการเป็นเจ้าของเดิม อย่างไรก็ตามอำนาจของขอมในเวลานั้นก็ซวดเซลงมากแล้ว แต่เนื่องจากชาวไทยที่อพยพเข้ามาอยู่ยังไม่มีอำนาจเต็มที่  ขอมจึงบังคับให้ชาวไทยส่งส่วยให้ขอม พวกคนไทยที่อยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้ ไม่กล้าขัดขืน ยอมส่งส่วยให้แก่ขอมโดยดี จึงทำให้ขอมได้ใจ และเริ่มขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือ ในการนี้เข้าใจว่าบางครั้งอาจต้องใช้กำลังกองทัพเข้าปราบปราม บรรดาเมืองที่ขัดขืนไม่ยอมส่งส่วย ขอมจึงสามารถแผ่อำนาจขึ้นไปจนถึงแคว้นโยนก ส่วนแคว้นโยนกนั้น ถือตนว่าไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของขอมมาก่อน จึงไม่ยอมส่งส่วยให้ตามที่ขอมบังคับ ขอมจึงใช้กำลังเข้าปราบปรามนครโยนกได้สำเร็จ  พระเจ้าพังคราช กษัตริย์แห่งโยนกลำดับที่ ๔๓ ได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองเวียงสีทอง
9973
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9973
ประวัติศาสตร์ไทย/ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย/แคว้นโยนกเชียงแสน
ดังได้ทราบแล้วว่าโอรสของพระเจ้า พีล่อโก๊ะ องค์หนึ่ง ชื่อพระเจ้าสิงหนวัติ ได้มาสร้างเมืองใหม่ขึ้นทางใต้ ชื่อเมืองโยนกนาคนคร เมืองดังกล่าวนี้อยู่ในเขตละว้า หรือในแคว้นโยนก เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1111  เป็นเมืองที่สง่างามของย่านนั้น ในเวลาต่อมาก็ได้รวบรวมเมืองที่อ่อนน้อมตั้งขึ้นเป็นแคว้น ชื่อโยนกเชียงแสน มีอาณาเขตทางทิศเหนือตลอดสิบสองปันนา  ทางใต้จดแคว้นหริภุญชัย  มีกษัตริย์สืบเชื้อสายต่อเนื่องกันมา จนถึงสมัยพระเจ้าพังคราชจึงได้เสียทีแก่ขอมดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม พระเจ้าพังคราชตกอับอยู่ไม่นานนัก ก็กลับเป็นเอกราชอีกครั้งหนึ่ง  ด้วยพระปรีชาสามารถของพระโอรสองค์น้อย คือ พระเจ้าพรหม  ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นนักรบ และมีความกล้าหาญ  ได้สร้างสมกำลังผู้คน ฝึกหัดทหารจนชำนิชำนาญ แล้วคิดต่อสู้กับขอม ไม่ยอมส่งส่วยให้ขอม เมื่อขอมยกกองทัพมาปราบปราม ก็ตีกองทัพขอมแตกพ่ายกลับไป และยังได้แผ่อาณาเขตเลยเข้ามาในดินแดนขอม  ได้ถึงเมืองเชลียง และตลอดถึงลานนา ลานช้าง แล้วอัญเชิญพระราชบิดา กลับไปครองโยนกนาคนครเดิม  แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่าชัยบุรี ส่วนพระองค์เองนั้นลงมาสร้างเมืองใหม่ทางใต้ชื่อเมืองชัยปราการ ให้พระเชษฐา คือ เจ้าทุกขิตราช ดำรงตำแหน่งอุปราช  นอกจากนั้นก็สร้างเมืองอื่น ๆ เช่น เมืองชัยนารายณ์  นครพางคำ  ให้เจ้านายองค์อื่น ๆ ปกครอง เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพังคราช พระเจ้าทุกขิตราช ก็ได้ขึ้นครองเมืองชัยบุรี  ส่วนพระเจ้าพรหม และโอรสของพระองค์ก็ได้ครองเมืองชัยปราการต่อมา  ในสมัยนั้นขอมกำลังเสื่อมอำนาจจึงมิได้ยกกำลังมาปราบปราม  ฝ่ายไทยนั้น แม้กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็คงยังไม่มีกำลังมากพอที่จะแผ่ขยาย อาณาเขตลงมาทางใต้อีกได้ ดังนั้นอาณาเขตของไทยและขอมจึงประชิดกันเฉยอยู่ เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าพรหม  กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาอ่อนแอและหย่อนความสามารถ ซึ่งมิใช่แต่ที่นครชัยปราการเท่านั้น  ความเสื่อมได้เป็นไปอย่างทั่วถึงกันยังนครอื่น ๆ เช่น ชัยบุรี ชัยนารายณ์ และนครพางคำ ดังนั้นในปี พ.ศ. 1731  เมื่อมอญกรีฑาทัพใหญ่มารุกรานอาณาจักรขอมได้ชัยชนะแล้ว ก็ล่วงเลยเข้ามารุกรานอาณาจักรไทยเชียงแสน  ขณะนั้นโอรสของพระเจ้าพรหม คือ พระเจ้าชัยศิริ ปกครองเมืองชัยปราการ ไม่สามารถต้านทานศึกมอญได้ จึงจำเป็นต้องเผาเมือง เพื่อมิให้พวกข้าศึกเข้าอาศัย แล้วพากันอพยพลงมาทางใต้ของดินแดนสุวรรณภูมิ จนกระทั่งมาถึงเมืองร้างแห่งหนึ่งในแขวงเมืองกำแพงเพชร ชื่อเมืองแปป ได้อาศัยอยู่ที่เมืองแปปอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่ง  เห็นว่าชัยภูมิไม่สู้เหมาะ เพราะอยู่ใกล้ขอม จึงได้อพยพลงมาทางใต้จนถึงเมืองนครปฐมจึงได้พักอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น ส่วนกองทัพมอญ หลังจากรุกรานเมืองชัยปราการแล้ว ก็ได้ยกล่วงเลยตลอดไปถึงเมืองอื่น ๆ ในแคว้นโยนกเชียงแสน จึงทำให้พระญาติของพระเจ้าชัยศิริ ซึ่งครองเมืองชัยบุรี ต้องอพยพหลบหนีข้าศึกเช่นกัน ปรากฎว่าเมืองชัยบุรีนั้นเกิดน้ำท่วม บรรดาเมืองในแคว้นโยนกต่างก็ถูกทำลายลงหมดแล้ว  พวกมอญเห็นว่าหากเข้าไปตั้งอยู่ก็อาจเสียแรง เสียเวลา และทรัพย์สินเงินทองเพื่อที่จะสถาปนาขึ้นมาใหม่ ดังนั้นพวกมอญจึงยกกองทัพกลับ เป็นเหตุให้แว่นแคว้นนี้ว่างเปล่า ขาดผู้ปกครองอยู่ห้วงระยะเวลาหนึ่ง ในระหว่างที่ฝ่ายไทย กำลังระส่ำระสายอยู่นี้ เป็นโอกาสให้ขอมซึ่งมีราชธานีอุปราชอยู่ที่เมืองละโว้ ถือสิทธิ์เข้าครองแคว้นโยนก แล้วบังคับให้คนไทยที่ตกค้างอยู่นั้นให้ส่งส่วยให้แก่ขอม ความพินาศของแคว้นโยนกครั้งนี้ ทำให้ชาวไทยต้องอพยพแยกย้ายกันลงมาเป็นสองสายคือ สายของพระเจ้าชัยศิริ อพยพลงมาทางใต้ และได้อาศัยอยู่ชั่วคราวที่เมืองแปปดังกล่าวแล้ว ส่วนสายพวกชัยบุรีได้แยกออกไปทางตะวันออกของสุโขทัย จนมาถึงเมืองนครไทย จึงได้เข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองนั้นด้วยเห็นว่าเป็นเมืองที่มีชัยภูมิเหมาะสม  เพราะเป็นเมืองใหญ่ และตั้งอยู่สุดเขตของขอมทางเหนือ  ผู้คนในเมืองนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นชาวไทย อย่างไรก็ตามในชั้นแรกที่เข้ามาตั้งอยู่นั้น ก็คงต้องยอมขึ้นอยู่กับขอม ซึ่งขณะนั้นยังมีอำนาจอยู่ ในเวลาต่อมา เมื่อคนไทยอพยพลงมาจากน่านเจ้าเป็นจำนวนมาก  ทำให้นครไทยมีกำลังผู้คนมากขึ้น ข้างฝ่ายอาณาจักรลานนาหรือโยนกนั้น เมื่อพระเจ้าชัยศิริทิ้งเมืองลงมาทางใต้ แล้วก็เป็นเหตุให้ดินแดนแถบนั้นว่างผู้ปกครองอยู่ระยะหนึ่งแต่ในระยะต่อมาชาวไทยที่ค้างการอพยพ อยู่ในเขตนั้นก็ได้รวมตัวกัน ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นหลายแห่งตั้งเป็นอิสระแก่กัน  บรรดาหัวเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นที่นับว่าสำคัญ มีอยู่สามเมืองด้วยกัน คือ นครเงินยาง อยู่ทางเหนือ นครพะเยา อยู่ตอนกลาง และเมืองหริภุญไชย อยู่ลงมาทางใต้  ส่วนเมืองนครไทยนั้นด้วยเหตุที่ว่ามีที่ตั้งอยู่ปลายทางการอพยพ และอาศัยที่มีราชวงศ์เชื้อสายโยนกอพยพมาอยู่ที่เมืองนี้ จึงเป็นที่นิยมของชาวไทยมากกว่าพวกอื่น จึงได้รับยกย่องขึ้นเป็นพ่อเมืองที่ตั้งของเมืองนครไทยนั้นสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเมืองเดียวกันกับเมืองบางยาง  ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ มีเมืองขึ้นและเจ้าเมืองมีฐานะเป็นพ่อขุน เมื่อบรรดาชาวไทย เกิดความคิดที่จะสลัดแอก ของขอมครั้งนี้  บุคคลสำคัญในการนี้ก็คือ พ่อขุนบางกลางท่าว ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดได้ร่วมกำลังกันยกขึ้นไปโจมตีขอม จนได้เมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองหน้าด่านของขอมไว้ได้ เมื่อปี พ.ศ. 1800  การมีชัยชนะของฝ่ายไทยในครั้งนั้น นับว่าเป็นนิมิตหมายเบื้องต้น แห่งความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทย  และเป็นลางร้ายแห่งความเสื่อมโทรมของขอม เพราะนับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา ขอมก็เสื่อมอำนาจลงทุกที จนในที่สุดก็สิ้นอำนาจไปจากดินแดนละว้า แต่ยังคงมีอำนาจปกครองเหนือลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนใต้อยู่
9975
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9975
กรีฑา/ความรู้เกี่ยวกับกรีฑา
กรีฑา เป็นกีฬาที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นมาพร้อมกับมนุษย์เพราะในสมัยโบราณมนุษย์ยังไม่รู้จักการทำมาหากินที่เป็นหลักแหล่งมักเร่ร่อนไม่มีเครื่องนุ่งห่มและที่อยู่อาศัยจึงต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติเผชิญกับความดุร้ายของสัตว์ป่าใช้ถ้ำเป็นอยู่อาศัย จึงกล่าวได้ว่ามนุษย์เป็นต้นกำเนิดของกรีฑา เพราะการที่มนุษย์ออกไปหาอาหารในการดำรงชีวิต บางครั้งต้องเดิน บางครั้งต้องวิ่งเพื่อความอยู่รอด เช่น อดีตใช้ก้อนหินขว้างปา หรือทุ่มใส่สัตว์ แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นขว้างจักร ทุ่มลูกน้ำหนัก เป็นต้น ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกรีฑา (Athletic). ประวัติความเป็นมาของกรีฑา. ตามประวัติของกรีฑาเป็นที่เชื่อกันว่าชาวกรีกสมัยโบราณเป็นผู้ริเริ่มการแข่งขันกีฬาและกรีฑาเกิดขึ้นเมื่อประมาณ776 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมพลเมืองของกรีกให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมที่จะรับใช้ประเทศชาติได้อย่างเต็มที่ อีกเหตุผลหนึ่งคือชาวกรีกในสมัยโบราณนับถือเทพเจ้าอยู่หลายองค์ และเชื่อว่ามีเทพเจ้าสถิตอยู่บนเขาโอลิมปัสเทพ เจ้าทั้งหลายเป็นผู้บันดาลความสุขหรือความทุกข์ให้แก่ผู้นับถือคล้ายกับเป็นผู้ชี้ชะตาของ ชาวกรีก ดังนั้นชาวกรีกจึงพยายามที่จะประพฤติตนให้เป็นที่โปรดปราน ทำความเข้าใจและสนิทสนมกับเทพเจ้า เป็นเหตุให้มีพิธีบวงสรวงหรือทำพิธีกรรม ต่าง ๆ เมื่อเสร็จการบวงสรวงตามพิธีทางศาสนาแล้วจะต้องมีการเล่นกีฬาถวาย ณ ลานเชิงเขาโอลิมปัสแค้วนอีลิสเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพระเกียรติของเทพเจ้า การเล่นกีฬาที่บันทึกเป็นประวัติศาสตร์สืบต่อกันมา คือ การเล่นกีฬา 5 ประเภท ได้แก่ การวิ่งแข่ง การกระโดด มวยปล้ำ พุ่งแหลน และขว้างจักร โดยผู้เล่นแต่ละคนจะต้องเล่นให้ครบทั้ง 5 ประเภท สังเกตได้ว่านอกจากมวยปล้ำแล้วอีก 4 ประเภท เป็นการเล่นกรีฑาทั้งสิ้นการเล่นกีฬาดังกล่าวได้ดำเนินมาเป็นเวลา 1200 ปี จนกระทั่งกรีกเสื่อมอำนาจลงและตกอยู่ภายใต้ อำนาจของชาวโรมัน การกีฬาของกรีกก็เสื่อมลงตามลำดับ ในค.ศ. 393 จักรพรรดิธีโอดซีอุส แห่งโรมันมีคำสั่งให้ยกเลิกการ เล่นกีฬา ทั้ง 5 ประเภท เพราะเห็นว่าการแข่งขันในตอนปลายก่อนที่จะยกเลิกไปนั้น มีจุดมุ่งหมายต่างไปจากเดิม โดยที่ผู้เล่นและผู้ชมหวังสินจ้างรางวัล มีการพนันเพื่อเงินทอง ไม่ใช่เล่นกีฬาเพื่อสุขภาพอย่างที่เคยปฏิบัติกันมา เป็นอันว่าโอลิมปิกสมัยโบราณได้ยุติลงตั้งแต่นั้นมาเป็นระยะเวลานาน15ศตวรรษ เป็นผลให้การเล่นกีฬาต้องหยุดชะงัก ไปด้วย 1.)โอลิมปิกสมัยใหม่ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากโอลิมปิกสมัยโบราณยุติไป 15 ศตวรรษ ได้มีบุคคลสำคัญเป็นผู้ริเริ่มกีฬาโอลิมปิกให้กลับฟื้นคืน มาใหม่ท่านผู้นั้นคือ บารอน ปีแอร์เดอ คูแบร์แตง (BaronPierredeCoubertin) ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ชักชวนบุคคลสำคัญ ของชาติ ต่าง ๆ ให้เข้าร่วมประชุม ตกลง เปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยปัจจุบันขึ้นใหม่ โดยจัดให้มีการแข่งขัน 4 ปี ต่อ 1 ครั้ง ในข้อตกลงให้บรรจุการเล่นกรีฑาเป็นกีฬาหลักของการแข่งขัน เพื่อเป็นเกียรติและเป็นอนุสรณ์ แก่ชนชาติกรีกที่เป็นผู้ริเริ่ม จึงลงมติเห็นชอบโดยพร้อมเพรียงกันให้ประเทศกรีกจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นประเทศแรก ใน ค.ศ. 1896 (พ.ศ. 2439) ณ กรุงเอเธนส์ 2.) กรีฑาในประเทศไทย การแข่งขันกรีฑาในประเทศไทย กระทรวงธรรมการ(ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) ได้จัดให้มีการแข่งขันกรีฑานักเรียน ขึ้นเป็น ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2440 ณ ท้องสนามหลวง ในพิธีเปิดการแข่งขันครั้งนั้น พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน มาทรงเป็นองค์ประธานเปิดการแข่งขันกรีฑานักเรียนเป็นประจำทุกปี พ.ศ.2476 รัฐบาลได้จัดตั้งกรมพลศึกษาขึ้น(พ.ศ.2545 มีการปฏิรูปการศึกษากรมพลศึกษายุบไป) โดยมีนโยบายส่งเสริมการกีฬาของชาติให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น พ.ศ.2494 ได้มีการจัดตั้งสามคมกรีฑาสมัครเล่นแห่งประเทศไทยขึ้น พ.ศ.2504 ได้จัดตั้งองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทยขึ้นมีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมกีฬาประชาชน โดยจัดให้มีการแข่งขันกรีฑา และกีฬาต่างๆเป็นประจำทุกปี ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ กีฬาแห่งชาติ ” พ.ศ.2528 เปลี่ยนชื่อจากองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทยเป็น “ การกีฬาแห่งประเทศไทย ” ประเภทของกรีฑา. ประเภทลู่. กรีฑาประเภทลู่เป็นกรีฑาที่ต้องแข่งขันกันบนทางวิ่งตัดสินแพ้ชนะกันด้วยเวลาการแข่งขันที่นิยมกันทั่วไปมี ดังนี้ 1.1) การวิ่งระยะสั้น หมายถึง การวิ่งในระยะทางไม่เกิน 400 เมตร นับจากจุดเริ่มต้นจนถึงเส้นชัย ซึ่งจะต้องวิ่งในลู่ของตนเองตลอด อาจแบ่งระยะทางวิ่งออกเป็น 60,80,100,200 และ 400 เมตร 1.2) การวิ่งระยะกลาง หมายถึง การวิ่งในระยะทางตั้งแต่ 800 เมตรขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1,500 เมตร 1.3) การวิ่งระยะไกล หมายถึง การวิ่งในระยะทางมากกว่า 1,500 เมตรขึ้นไป และการวิ่งมาราธอน(42.195 กิโลเมตร) 1.4) การวิ่งผลัด หมายถึง การแข่งขันที่แบ่งเป็นชุด ๆ แต่ละชุดมีจำนวนผู้แข่งขัน เท่า ๆ กัน มีดังนี้ (1) การวิ่งผลัดระยะทางเท่ากัน หมายถึง ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนในชุด เดียวกันต้องวิ่งในระยะทางเท่ากัน เช่น 5 x 80, 8 x 50, 4 x100,4 x 200, 4 x 400 เมตร เป็นต้น (2) การวิ่งผลัดต่างระยะ หมายถึง ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนในชุดเดียวกัน วิ่งในระยะทางไม่เท่ากัน เช่น 80 x 120 x 120 x 80 เมตร เป็นต้น 1.5) การวิ่งข้ามรั้ว หมายถึง การวิ่งตามลู่วิ่งข้ามสิ่งกีดขวางความสูงและจำนวนรั้วที่ใช้แข่งขันในแต่ละประเภทแตกต่างกันไป เช่น วิ่งข้ามรั้ว 100 ,110,400 เมตร เป็นต้น ประเภทลาน. กรีฑาประเภทลานเป็นกรีฑาที่ต้องแข่งขันกันในสนาม ตัดสินแพ้ชนะกันด้วยระยะทาง อาจเป็นความไกลหรือความสูง แบ่งประเภทการแข่งขัน ดังนี้ 2.1) ประเภทที่ตัดสินด้วยความไกล ได้แก่ กระโดดไกล เขย่งก้าวกระโดด ทุ่มลูกน้ำหนัก ขว้างค้อน ขว้างจักร และพุ่งแหลน 2.2) ประเภทที่ตัดสินด้วยความสูง ได้แก่ กระโดดสูง และกระโดดค้ำ 3. ประเภทผสม กรีฑาประเภทผสมเป็นการแข่งขันที่นำกรีฑาประเภทลู่ และลานบางส่วนผสมกัน แบ่งประเภทการแข่งขัน ดังนี้ 3.1) บุคคลชาย มีกรีฑาประเภทผสมให้เลือกแข่งขันได้ 2 แบบ ดังนี้ 1) ปัญจกรีฑา ประกอบด้วยการแข่งขัน 5 รายการ ทำการแข่งขันภายในวันเดียว ตามลำดับ คือ กระโดดไกล พุ่งแหลน ,วิ่ง 200 เมตร,ขว้างจักร และวิ่ง 1,500 เมตร 2) ทศกรีฑา ประกอบด้วยการแข่งขัน 10 รายการ ทำการแข่งขัน 2 วัน ติดต่อกันตามลำดับ ดังนี้ วันแรก วิ่ง 100 เมตร กระโดดไกล ทุ่มลูกน้ำหนัก กระโดดสูงและวิ่ง 400 เมตร วันที่สอง วิ่งข้ามรั้ว 110 เมตร ขว้างจักร กระโดดค้ำ พุ่งแหลนและวิ่ง 1,500 เมตร 3.2) บุคคลหญิง มีการแข่งขันเพียงแบบเดียว คือ สัตตกรีฑา ประกอบด้วยการแข่งขัน 7 รายการ ทำการแข่งขัน 2 วันติดต่อกันตามลำดับ ดังนี้ วันแรก วิ่งข้ามรั้ว 100 เมตร, กระโดดสูง,ทุ่มลูกน้ำหนักและวิ่ง 200 เมตร วันที่สอง กระโดดไกล,พุ่งแหลนและวิ่ง 800 เมตร ประโยชน์ของกรีฑา. การเล่นกรีฑาเหมือนกับการเล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ ที่ผู้เล่นจะได้รับประโยชน์จากการเล่น ดังนี้ มีอารมณ์ร่าเริง แจ่มใส กล้ามเนื้อสมบูรณ์แข็งแรง รูปร่างได้สัดส่วน มีบุคลิกภาพที่ดี ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรคดี เป็นวิธีช่วยลดไขมันในร่างกายได้ดีวิธีหนึ่ง ระบบประสาททำงานดีขึ้น ทำให้นอนหลับสนิท ระบบการหายใจดีขึ้น ทรวงอกมีการขยายตัวมากขึ้น ระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายมีความอดทนต่อการทำงาน ทำให้เหนื่อยช้าและหายเหนื่อยเร็วขึ้นเส้นเลือดขยายตัวส่งผลให้การไหลเวียนเลือดดี ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ มารยาทที่ดีในการเล่นและชมกรีฑา. กรีฑาเหมือนกับกีฬาชนิดอื่นๆตรงที่ ผู้เล่นต้องมีมารยาทในการเล่น และผู้ชมต้องมีมารยาทในการชม เช่นเดียวกันนอกจากทำให้การแข่งขันดำเนินไปด้วยดีแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังคุณธรรม ให้กับผู้เล่น และผู้ชมสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการดำรงชีวิตในสังคมได้เป็นอย่างดี ผู้เล่นและผู้ชมกรีฑาที่ดีจึงควรปฏิบัติตน ดังนี้ 1) มารยาทของผู้เล่นที่ดี ควรปฏิบัติดังนี้ แต่งกายด้วยชุดที่เหมาะสมกับการเล่นกรีฑา มีกิริยาวาจาสุภาพเรียบร้อย มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมและผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม เคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้สอน เคารพเชื่อฟังคำตัดสินของกรรมการผู้ตัดสินตลอดเวลา ปฏิบัติตามกฎ กติกาอย่างเคร่งครัด ไม่แสดงกิริยาอาการไม่พอใจ หากเพื่อนร่วมทีมเล่นผิดพลาด เมื่อชนะหรือแพ้ไม่ควรแสดงความดีใจหรือเสียใจจนเกินไป ก่อนและหลังการแข่งขันควรแสดงความเป็นมิตรกับผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามด้วยการทักทายหรือจับมือแสดงความยินดี ไม่ควรยืมอุปกรณ์การเล่นของคนอื่นมาใช้ฝึกซ้อม 2) มารยาทของผู้ชมที่ดี ควรปฏิบัติดังนี้ ไม่กล่าวถ้อยคำหรือแสดงกิริยาเยาะเย้ยถากถางผู้เล่นที่เล่นผิดพลาด แสดงความยินดีกับผู้เล่นที่เล่นดี เช่น การปรบมือ เป็นต้น ไม่กระทำตัวเป็นผู้ตัดสินเสียเอง เช่น ตะโกนแย้งคำตัดสิน เป็นต้น ไม่เชียร์ในสิ่งที่เป็นการส่อเสียดในทางไม่ดีต่อผู้เล่นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่กระทำสิ่งใด ๆ ที่ทำให้ผู้ตัดสินหรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ปฏิบัติงานไม่สะดวก ไม่กระทำสิ่งใด ๆ อันเป็นการกีดขวางการเล่นของผู้เล่น กระทำตนให้เป็นประโยชน์
9979
57695
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9979
กรีฑา/กีฬาประเภทลู่
กรีฑาประเภทลู่ (Track). กรีฑาประเภทลู่ ประกอบด้วยการวิ่งในลู่วิ่ง ซึ่งการวิ่งระยะสั้น การวิ่งผลัด และการวิ่งข้ามรั้วแต่ละรายการมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป โดยการวิ่งระยะสั้นให้ความตื่นเต้น สนุกสนาน การวิ่งผลัดแสดงให้เห็นถึงการประสานงานกันเป็นทีม การวิ่งข้ามรั้วเป็นความสัมพันธ์ระหว่างการวิ่งและการกระโดดแต่การที่บุคคลหนึ่งจะทำการแข่งขัน กรีฑาประเภทลู่ได้ จำเป็นต้องมีทักษะเฉพาะตัวเบื้องต้น ต้องใช้ความอดทนในการฝึกซ้อมที่ถูกวิธี และสิ่งสำคัญต้องมีใจรักในการวิ่งด้วย วิ่งระยะสั้น (Sprints). การวิ่งระยะสั้น หมายถึง การวิ่งในทางวิ่งหรือลู่วิ่งที่เรียบ ซึ่งระยะทางวิ่งไม่เกิน 400 เมตร จากจุดเริ่มต้นจนถึงเส้นชัยสำหรับการแข่งขันกรีฑานักเรียนในประเทศไทย อาจมีการเพิ่มรายการวิ่งระยะทาง 60 เมตร และ 80 เมตรเข้าไปด้วย เพื่อให้นักกรีฑาในรุ่นเล็กได้มีโอกาสร่วมแข่งขัน เนื่องจากการแข่งขันวิ่งระยะสั้นทุกประเภทมีความสำคัญ และให้ความตื่นเต้นสนุกสนานนอกจากนักกรีฑาจะต้องมีความเร็วตามธรรมชาติเป็นทุนเดิมแล้ว การปฏิบัติให้ถูกต้องตามเทคนิคก็มีส่วนช่วยให้บรรลุผลตามความมุ่งหมายยิ่งขึ้น เทคนิคในการวิ่งระยะสั้น. ความมุ่งหมายของการวิ่งระยะสั้น คือวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อให้ถึงเส้นชัยก่อน จึงได้มีการศึกษาค้นความว่าทำอย่างไรจึงจะวิ่งได้เร็วที่สุด ดังนั้นทักษะและเทคนิคจึงเป็นกุญแจไขปัญหาให้พบคำตอบที่ถูกต้อง และเชื่อว่ามีส่วนทำให้พบความสำเร็จได้ตามความสามารถของนักกรีฑาแต่ละคน เทคนิคในการวิ่งระยะสั้นมีดังนี้ 1.1) ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่ง การวิ่งระยะสั้นทุกประเภท การตั้งต้นก่อนออกวิ่งสำคัญที่สุด เพราะการแพ้หรือชนะอยู่ที่การเริ่มออกวิ่งว่าดีหรือไม่ ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่งที่ดี คือ ท่าที่สามารถช่วยให้ออกวิ่งได้เร็วที่สุด มีแรงส่งตัวไปข้างหน้ามากที่สุดและเสียเวลาน้อยที่สุด ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่งทั้งนักกรีฑาและผู้เชี่ยวชาญได้คิดค้นทดลองใช้กันมีหลายแบบหลายวิธีปรากฎว่าวิธีตั้งต้นด้วยการย่อตัวลงนั่งให้มือทั้งสองยันพื้น เป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อให้การออกวิ่งก้าวแรกมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ในขณะที่ถีบตัวออก เท้าไม่เลื่อนถอยหลัง เพราะฉะนั้นควรมีที่ยันเท้า ที่ยันเท้าเริ่มวิ่ง (Starting block) ใช้สำหรับการแข่งขันวิ่งทุกประเภท ในระยะทางไม่เกิน 400 เมตร (รวมทั้งวิ่งผลัดไม้แรก 4 x 400 เมตร) แต่ต้องไม่ใช้กับการแข่งขันวิ่งประเภทอื่น เมื่ออยู่ในลู่วิ่งส่วนหนึ่งส่วนใดของที่ยันเท้าต้องไม่ล้ำเข้าไปในเส้นเริ่มหรือยื่นเข้าไปใน ช่องวิ่งอื่น ที่ยันเท้าต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ ทำด้วยวัสดุที่แข็งแรง และไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบนักกรีฑาคนอื่น ต้องยึดกับลู่วิ่งด้วยหมุดหรือตะปู ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ลู่วิ่งน้อยที่สุด รวมทั้งต้องง่ายในการติดตั้งและรวดเร็วต่อการเคลื่อนย้าย หรือถอดออก ปัจจุบันที่ยันเท้าสำเร็จรูป เป็นอุปกรณ์ประจำตัวของนักกรีฑาวิ่งระยะสั้นที่นิยมใช้กันมาก ที่ยันเท้านี้เริ่มใช้มาตั้งแต่ พ. ศ. 2470 เพราะมีผลดีต่อการวิ่งมาก อีกทั้งสามารถปรับระยะหรือตำแหน่งของเท้าทั้งสองได้ตามความต้องการและรวดเร็ว ไม่ทำให้ลู่วิ่งเป็นหลุมเสียหาย ใช้ได้ทุกสภาพของสนาม วิธีติดตั้งที่ยันเท้ากับพื้นสนาม ทำได้โดยวางที่ยันเท้าห่างจากเส้นเริ่มเข้ามา 2 ฝ่าเท้า ระยะห่างระหว่างที่ยันเท้าด้านหน้าและด้านหลังประมาณ 1 ฝ่าเท้า โดยที่ยันเท้าด้านหน้าจะเอนมากกว่าที่ยันเท้าด้านหลังเสมอ เส้นเริ่ม การจัดที่ยันเท้า 1.2) เทคนิคในการออกตัว เมื่อได้ยินคำสั่ง "เข้าที่" จากผู้ปล่อยตัวนักกรีฑาต้องเดินไปยังบริเวณที่ตั้งต้นออกวิ่งใกล้เส้นเริ่ม แล้ววางมือทั้งสองลงบนทางวิ่ง มือทั้งสองห่างกันประมาณ 1 ช่วงไหล่ หรือกว้างกว่าช่วงไหล่เล็กน้อย กางนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ออกนิ้วอื่น ๆ ชิดกับนิ้วชี้ นิ้วหัวแม่มือและนิ้วทั้งสี่ยันพื้นรับน้ำหนักตัว และวางอยู่ในระดับเดียวกันหลังเส้นเริ่มเกือบจรดเส้นเริ่ม นิ้วมือเกร็งขึ้น แขนทั้งสองเหยียดตึงไม่งอข้อศอก วางเข่าของเท้าหลังที่พื้น การเข้าที่มองจากด้านข้าง เมื่อได้ยินคำสั่งว่า "ระวัง" ให้ยกก้นสูงกว่าไหล่เล็กน้อย โดยเฉลี่ยน้ำหนักตัวให้ลงสู่แขนแนวไหล่จะเลยมือไปข้างหน้าเล็กน้อย หรือแขนตั้งฉากกับพื้น ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยในลักษณะสบาย สายตามองไปข้างหน้าไม่ไกลจากตัวมากนักประมาณ 1 - 3 เมตร สูดหายใจเข้าและกลั้นไว้ ขณะยกก้นขึ้นตั้งสมาธิให้แน่วแน่และนิ่ง หูคอยฟังเสียงปืน การเข้าที่มองจากด้านหน้า เมื่อได้ยินคำสั่ง "ระวัง" 1.3) เทคนิคในการเริ่ม ออกวิ่ง เมื่อเสียงปืนดัง "ปัง" ให้ถีบเท้าส่งไปข้างหน้าด้วยเท้าหน้าพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นจากพื้น ยกมือข้างตรงข้ามกับเท้าหลังในลักษณะงอศอก นิ้วมืออยู่ระดับหน้าผากกำมือหลวม ๆ ส่วนมือตรงข้ามกระตุกอย่างแรงไปข้างหลังให้เลยสะโพกขึ้นไปเล็กน้อยคล้ายตีศอกหลังลำตัวเอนพุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงถีบส่งของเท้า พร้อมกับก้าวเท้าหลังไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งเข่าและสะโพกเหยียดตึงในจังหวะสุดท้ายของการถีบส่งเท้า การเข้าที่มองจากด้านข้าง เมื่อได้ยินคำสั่ง "ระวัง" โดยยกก้นขึ้นจนเข่าหน้าเป็นมุม 90 ํ และก้นจะสูงกว่าไหล่เล็กน้อย 1.4) ท่าทางการเริ่มออกวิ่ง ถีบเท้าส่งไปข้างหน้าด้วยเท้าหน้า พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้น ก้าวเท้าหลังไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งเข่าและสะโพกเหยียดตึงในจังหวะสุดท้ายของการถีบเท้าส่ง ถีบเท้าส่งจากพื้นอย่างรวดเร็วและเต็มพลัง โน้มตัวไปข้างหน้า ลำตัวตั้งขึ้นอย่างช้าวิ่งระยะกลาง (Middle distance) การวิ่งระยะกลาง. การวิ่งระยะกลาง หมายถึง การวิ่งในระยะทาง 800 เมตร และ 1,500 เมตร การวิ่งระยะกลาง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนมีพื้นฐานรู้ถึงวิธีการวิ่งที่ถูกต้องและมีทักษะในการวิ่งระยะกลางที่เหมาะสมกับสภาพทางด้านร่างกาย เพศ และวัย เทคนิคในการวิ่งระยะกลาง. 1.1) ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่ง ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่ง (สมมติว่าผู้วิ่งถนัดเท้าขวา) โดยทั่วไปนิยมยืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม คือ ยืนให้ปลายเท้าซ้ายจรดหลังเส้นเริ่ม เท้าขวาอยู่อยู่ข้างหลัง ห่างจากเท้าหน้าพอถนัด โน้มลำตัวไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้นระดับหน้าผาก มือซ้ายยกขึ้นระดับเอว งอศอกขึ้นข้างหลังเล็กน้อย ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่งอีกแบบหนึ่งอาจใช้ท่าตั้งต้นแบบวิ่งระยะสั้นก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ที่ยันเท้า จุดมุ่งหมายของการตั้งต้นก่อนออกวิ่งแบบนี้เพื่อต้องการเร่งฝีเท้าทำสถิติและเพื่อชิงวิ่งชิดขอบใน ขณะวิ่งเข้าลู่ทางโค้งไม่เสียเปรียบเรื่องระยะทาง ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่ง 1.2) ท่าทางในการวิ่ง มีลักษณะดังนี้ 1) มุมของลำตัว ลำตัวจะโน้มไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อยประมาณ 85 องศาหรือเกือบตั้งตรง ศรีษะและคอเป็นเส้นตรงเดียวกับลำตัว ขณะวิ่งไม่ควรเกร็งส่วนใดของร่างกายเพียงแต่ประคองตัวให้นิ่งไหลส่ายเล็กน้อยไปตามแรงเหวี่ยง ของแขน จะสังเกตว่าลำตัวทำมุมกับพื้นมากกว่าการวิ่งระยะสั้น 2) การก้าวเท้า ขณะก้าวเท้าไปข้างหน้าไม่ต้องยกเข่าสูงมาก ก้าวให้สม่ำเสมอปลายเท้าและเข่าทั้งคู่ขนานกันไปข้างหน้า ก้าวด้วยการเหวี่ยงเท้าในลักษณะสืบเท้าไปข้างหน้า ขาหลังเมื่อยกขึ้นจากพื้นแล้วจะเหวี่ยงขึ้นข้างหลังตามสบาย เพื่อผ่อนคล้ายกล้ามเนื้อ 1.3) การวิ่งทางโค้ง การวิ่งทางโค้งให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการวิ่ง 200 เมตร หรือ 400 เมตร แต่ความเร็วในการวิ่งระยะกลางนี้จะน้อยกว่า จึงทำให้แรงเหวี่ยงออกน้อยกว่า การเอนตัวเข้าหาขอบในของช่องวิ่งจึงมีน้อยกว่า ทำให้การแกว่งแขนใช้แรงน้อยลงกว่าการวิ่งระยะสั้นด้วย 1.4) การผ่อนกำลัง การวิ่งระยะกลางนักกรีฑาไม่สามารถวิ่งเร็วเต็มฝีเท้าได้ตลอดระยะทาง จำเป็นต้องมีการผ่อนกำลัง การผ่อนกำลังอาจจะกระทำได้หลาย ๆ ครั้งตามความจำเป็น สภาพร่างกายและการฝึกซ้อมของผู้วิ่ง วิธีการผ่อนกำลังอาจจะใช้การเปลี่ยนระยะของช่วงก้าว การเปลี่ยนจังหวะการหายใจ การแกว่งแขนให้ช้าลงก็ได้ 1.5) เทคนิคในการวิ่งเข้าเส้นชัย การเข้าเส้นชัยทั้งการวิ่งระยะสั้น และระยะกลางมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการเริ่มออกวิ่ง เพราะการชนะกันอาจเกิดขึ้นตรงที่ใครเข้าเส้นชัยได้ดีกว่า และรวดเร็วกว่าทั้ง ๆ ที่วิ่งเสมอกันมาเกือบตลอดทาง ลำดับที่ของผู้เข้าแข่งขันให้ถือเอาส่วนหนาของลำตัวของผู้เข้าแข่งขัน คือส่วนอก (ไม่รวมศรีษะ คือ แขน ขา มือ หรือเท้า) มาถึงขอบในของเส้นชัยตามแนวตั้งฉากกับเส้นชัย การเข้าเส้นชัยที่นิยมใช้ทั่วไปมี 3 แบบ ดังนี้ 1) แบบวิ่งเข้าเส้นชัยธรรมดา เป็นวิธีการที่ไม่ต้องใช้เทคนิคหรือทักษะมากนักโดยใช้กำลังเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นผ่านเข้าเส้นชัย ซึ่งใช้เมื่อนำหน้าคู่แข่งขันมาก ๆ 2) แบบใช้หน้าอก หลังจากเร่งฝีเท้ามาจนเต็มที่แล้ว เหลือระยะทางอีก 2-3 เมตร จะเข้าเส้นชัยให้รีบก้าวยาวเฉียดพื้น ในท่าครึ่งก้าวครึ่งกระโดด พร้อมกับกดตัวต่ำลง หน้าอกเข้าเส้นชัย 3) แบบใช้ไหล่ วิธีการเข้าเส้นชัยแบบนี้คล้ายกับแบบใช้หน้าอก แต่แทนที่จะใช้หน้าอกเข้าเส้นชัย ก็ใช้เอี้ยวตัดบิดก้มลงด้วยการเอียงไหล่ข้างหนึ่งเข้าเส้นชัย หรืออาจจะก้มศีรษะพุ่งตัวให้หัวไหล่พุ่งตรงไปข้างหน้าก็ได้ วิ่งผลัด. การวิ่งผลัด หมายถึง การวิ่งแข่งขันตามระยะทางที่กำหนดเป็นช่วง ๆ โดยมีผู้เข้าแข่งขันเป็นชุด ๆ แต่ละชุดมีจำนวนผู้เข้าแข่งขันเท่า ๆ กันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป การวิ่งแต่ละช่วงจะมีการับส่งสิ่งของหรือคฑา (Batkon)ต่อเนื่องกันไปจนหมดระยะทางที่กำหนดไว้ เทคนิคในการวิ่งผลัด. การวิ่งผลัดเริ่มต้นจาก วิธีถือคฑาตั้งต้นออกวิ่ง การออกวิ่ง วิธีถือคฑาในขณะวิ่ง วิธีส่งและรับคฑา ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่นักเรียนต้องเรียนรู้หมั่นฝึกฝนให้เกิดความชำนาญทุกขั้นตอน โดยต้องประสานสอดคล้องกับเพื่อนร่วมทีมเป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน 1.1)วิธีถือคฑา ในช่วงตั้งต้นก่อนออกวิ่งการถือคฑาของผู้ตั้งต้นในการออกวิ่งคนแรกนั้น ท่าตั้งต้นและการออกวิ่งปฏิบัติ เช่นเดียว กับท่าตั้งต้นวิ่งระยะสั้นทุกประการแต่ที่เพิ่มขึ้นมาก็คือต้องถือคฑาไว้ด้วย  การถือคฑามีหลายแบบ แล้วแต่จะเลือกตาม ความถนัดของผู้เข้าแข่งขันแต่มีหลักที่ควรพิจารณาคือคนที่ออกวิ่งด้วยเท้าขวา มักจะถือคฑาด้วยมือซ้ายหรือมือที่เหวี่ยงไป ข้างหน้าในขณะที่เริ่มวิ่งก้าวแรกไม่ควรถือคฑาด้วยมือที่เหวี่ยงไปข้างหลังในก้าวแรก เพราะคฑาอาจจะหลุดจากมือได้ง่ายเนื่อง จากมือที่เหวี่ยงไปข้างหลังมีความแรงมากกว่าหรือคฑาอาจจะเหวี่ยงไปถูกสะโพกทำให้คฑาหลุดจากมือได้เช่นกัน ดังนั้นการถือคฑาด้วยมือซ้ายหรือมือที่เหวี่ยงไปข้างหน้าเมื่อใช้เท้าขวายันพื้นข้างหลังจึงได้เปรียบด้วยประการทั้งปวง โดยทั่วไปมีวิธีถือคฑา 5 วิธี ดังนี้ วิธีที่1 ใช้โคนนิ้วและนิ้วหัวแม่มือหนีบบริเวณส่วนกลางของคฑาไว้ปลายนิ้วทั้งห้ายันพื้นนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือวางชิดชอบในของเส้นเริ่ม วิธีที่ 2 ใช้นิ้วชี้นิ้วเดียวกำรอบคฑา ปลายนิ้วอื่น ๆ ยันพื้นไว้ ปลายนิ้วกลาง และนิ้วหัวแม่มือวางชิดขอบในของเส้นเริ่ม วิธีที่3 ใช้นิ้วกลางนิ้วเดียวกำรอบคฑา ปลายนิ้วอื่น ๆ ยันพื้นไว้ ปลายนิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือวางชิดขอบในของเส้นเริ่ม วิธีที่ 4 ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกำรอบคฑา ปลายนิ้วอื่น ๆ ยันพื้นไว้ ปลายนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือวางชิดขอบในของเส้นเริ่ม วิธีที่ 5 ใช้นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยกำรอบคฑา ปลายนิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ ยันพื้นชิดขอบในของเส้นเริ่ม เทคนิคในการออกตัว. ท่าตั้งต้นและการออกวิ่งของผู้ถือคฑาไม้แรกนั้น ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับท่าตั้งต้น และการออกวิ่งระยะสั้นทั่วไป เพียงแต่เพิ่มการถือคฑาและระวังไม่ให้คฑาที่ถืออยู่หลุดจากมือเท่านั้น วิธีถือคฑาในขณะวิ่งและวิธีเปลี่ยนมือถือคฑา. ขณะที่วิ่งและมือถือคฑาอยู่นั้น การแกว่งแขนก็เหมือนกับการแกว่งแขน วิ่งระยะสั้นทั่วไป แต่พยายามให้ปลายคฑาชี้ตรงไปข้างหน้าตามทางวิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้คฑาถูกร่างกายและหลุดจากมือสำหรับการเปลี่ยนมือถือคทาขณะวิ่งนั้น โดยปกติแล้วผู้ส่งคฑาด้วยมือซ้าย และผู้รับจะรับคฑาด้วยมือขวา เพราะถ้าผู้ส่งคฑาด้วยมือขวาและผู้รับรับคฑาด้วยมือขวาเช่นกัน นอกจากทำให้การรับส่งคฑาไม่ถนัดแล้ว อาจจะทำให้ผู้รับและผู้ส่งชนกันเองอีกด้วย นักกรีฑาวิ่งผลัดจึงนิยมส่งคฑาด้วยมือซ้ายรับด้วยมือขวา หรือถ้าส่งคฑาด้วยมือขวาต้องรับด้วยมือซ้าย ด้วยเหตุนี้จึงมีการเปลี่ยนมือถือคฑาในขณะที่วิ่ง การเปลี่ยนมือถือคฑานี้จะทำในช่วงขณะที่เหวี่ยงแขนสลับกันพอดี การเปลี่ยนมือถือคทาจากมือขวามาถือด้วยมือซ้ายจึงกระทำในช่วงขณะที่เหวี่ยงแขนขวาขึ้นไปข้างหน้า แล้วกำลัง จะเหวี่ยงแขนขวากลับมาข้างหลัง ซึ่งในช่วงนี้แขนซ้ายกำลังเหวี่ยงขึ้นไปข้างหน้าสลับกันกับแขนขวา มือขวาก็จะส่งคฑาให้มือซ้าย จับกำไว้ทันที โดยไม่ให้เสียจังหวะการวิ่ง เทคนิคในการถือคฑาเพื่อส่งแล้วรับ. วิธีถือคฑาเพื่อส่งให้ผู้รับเริ่มจากผู้ตั้งต้นออกวิ่งถือคฑาด้วยมือขวา วิ่งไปส่งให้ผู้รับคนที่ 2 ซึ่งยืนชิดชอบของช่องวิ่ง และรับคฑาด้วยมือซ้ายวิ่งไปส่งให้คนที่ 3 ซึ่งยืนชิดขอบซ้ายของช่องวิ่ง และรับไม้คฑาด้วยมือขวา วิ่งไปส่งให้คนสุดท้าย ซึ่งจะยืนชิดขอบขวาของช่องวิ่ง และรับไม้คฑาด้วยมือซ้ายวิ่งไปตลอดระยะทาง วิธีการรับ - ส่งคฑาแบบนี้นิยมใช้กันในการแข่งขันวิ่งผลัด 4 x 100 เมตร ทั้งนี้เพราะผู้รับไม่ต้องเปลี่ยนมือเมื่อรับคฑาได้แล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องไม้คฑาจะหลุดจามมือในขณะที่เปลี่ยนมือคฑา และทำให้ไม่เสียความเร็วในการวิ่งในช่วงของการเปลี่ยนมือถือคฑา อีกประการหนึ่งผู้ส่งคนที่ 1 สามารถวิ่งชิดขอบในของช่องวิ่งได้ตลอดระยะทาง ส่วนคนที่ 2 และคนที่ 4 ก็สามารถวิ่งชิดขอบนอกได้โดยไม่เสียระยะทางเพราะเป็นทางวิ่งตรง และผู้รับคนที่ 3 ซึ่งวิ่งทางโค้งก็สามารถวิ่งชิดขอบในของช่องวิ่งได้ตลอดระยะทาง สำหรับการวิ่งผลัดประเภทอื่นก็สามารถปรับปรุง หรือดัดแปลงให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการวิ่งผลัดประเภทนั้น ๆ ได้ตามความเหมาะสมเช่นกัน ก. เขตส่งและรับคฑา ตามกติกาการวิ่งผลัดระยะสั้นจะมีเขตกำหนดการส่งและการรับคฑาไว้ ผู้ส่งและผู้รับจะทำการเปลี่ยนการถือคฑากันมือต่อมือได้ จะต้องอยู่ภายในเขต 20 เมตรเท่านั้น เขตนี้นับจากระยะทางเต็มขึ้นไปข้างหน้า 10 เมตร และถอยหลังลงมา 10 เมตร จึงรวมกันเป็น 20 เมตร แต่อนุญาตให้ผุ้รับถอยไปต่ำกว่าเขตรับส่งได้จริงอีก 10 เมตร แต่ระยะ 10 เมตรที่กล่าวนี้ผู้รับจะแตะคฑาไม่ได้ นอกจากมีไว้เพื่อให้ผู้รับคฑาใช้สำหรับวิ่งเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กับผู้ที่จะส่งให้เท่านั้น เขตหลังนี้ผู้รับจะไม่ใช้ก็ได้ ข. การกำหนดที่หมาย การกำหนดที่หมายและการใช้สัญญาณระหว่างผู้ส่งและผู้รับคฑาจะต้องมีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี กล่าวคือ เมื่อผู้ส่งวิ่งมาเหยียบที่หมายซึ่งได้กำหนดกันไว้ล่วงหน้าแล้วก็จะส่งสัญญาณให้ผู้รับออกวิ่งหรือจะให้ผู้รับออกวิ่งเองเมื่อเห็นผู้ส่งเหยียบที่หมายก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่จะตกลงกัน การที่จะกำหนดที่หมายใกล้หรือไกลจากผู้รับขึ้นอยู่กับฝีเท้าของผู้ส่งและผู้รับด้วย ถ้าผู้ส่งวิ่งเร็วกว่าผู้รับก็จ้องกำหนดที่หมายให้ไกลกว่าเดิม ถ้าผู้ส่งวิ่งช้ากว่าผู้รับก็ต้องเลื่อนจุดกำหนดที่หมายให้ใกล้เข้ามาจนกว่า จะสามารถรับส่งกันได้ด้วยความสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี วิธีส่งและรับคฑา. วิธีส่งและรับคฑาทั้งผู้รับและผู้ส่งต้องมีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ถ้ารับด้วยมือขวา ผู้รับจะต้องวิ่งชิดขอบซ้ายของทางวิ่งจนกว่าจะรับได้ ส่วนผู้ส่งจะต้องส่งด้วยมือซ้ายและวิ่งชิดขอบขวาของทางวิ่ง ขณะที่ทำการส่งจนกระทั่งการส่งเสร็จสิ้น วิธีส่งและรับคฑาโดยทั่วไปจะมี 2 แบบคือ แบบงอแขน และเหยียดแขน ผู้รับอาจหงายมือหรือคว่ำมือรับคฑาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ยกตัวอย่างวิธีการส่ง และรับคฑาแบบงอแขนซึ่งมีวิธีการส่งและรับคฑา ดังนี้ ก. วิธีส่งและรับคฑาแบบงอแขนหงายมือ เท้าผู้รับคทายืนชิดขอบซ้ายของลู่วิ่งเท้าซ้ายอยู่หน้าเท้าขวาปลายเท้าทั้งสองชี้ตรงเฉียงไปทางขวามือเล็กน้อย งอเข่าโล้ตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แขนซ้ายยกขึ้นข้างหน้าพอประมาณ งอศอกเล็กน้อย มือขวาซึ่งใช้รับคฑายกหงายฝ่ามือขึ้น นิ้วทั้ง 5 ชิดกันปลายนิ้วแตะเอวด้านขวา กางข้อศอกออกให้มากที่สุด แบะข้อศอกออกไปข้างหน้าเล็กน้อย ก้มศีรษะลงเล็กน้อย สายตามองลอดช่องแขนขวาไปข้างหลังหรือเอียงคอไปทางขวา สายตามองข้าม ไหล่ขวาไปข้างหลังเพื่อมองดูผู้ส่งคฑาที่กำลังวิ่งมา ผู้รับคฑาใช้สายตาม มองจับอยู่ที่หมาย ซึ่งได้ทำเครื่องหมายไว้เมื่อเท้าของผู้ส่งคฑาวิ่งมาเหยียบที่หมาย ผู้รับจะหันหน้าตรงออกวิ่งอย่างเร็ว โดยไม่มองผู้ส่งอีก ขณะวิ่งแขนซ้ายจะแกว่งไปมาตามปกติมือขวาไม่แกว่งไปมาเพราะจะทำให้ผู้ส่งส่งคฑาได้ยาก ผู้ส่งเมื่อวิ่งมาถึง ช่วงระยะที่จะส่งคฑาได้ ให้เหยียดแขนที่ถือคฑาซึ่งเป็นจังหวะที่แกว่งแขนไปข้างหน้าแล้วตีคทาลงบนฝ่ามือของผู้รับ แล้ววิ่งต่อไปโดยชะลอฝีเท้าลงเรื่อย ๆ เมื่อผู้ส่งตีคทาลงบนฝ่ามือแล้วผู้รับรีบกำคฑาวิ่งต่อไปทันที ข. วิธีส่งและรับคฑาแบบงอแขนคว่ำมือ ลักษณะท่าทางการยืนและสายตาการมองของผู้รับคทาแบบคว่ำมือให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการยืนรับคทาแบบหงายมือ แต่มือขวาที่ใช้รับคฑาให้ยกมือขึ้นระดับเอว ปลายนิ้วหัวแม่มือแตะเอว หรือห่างเอวเล็กน้อย นิ้วทั้งสี่เรียงชิดติดกันและกางออกจากนิ้วหัวแม่มือมาก ๆ บิดข้อมือหันฝ่ามือไปข้างหลัง ปลายนิ้วทั้งหมดชี้ลงสู่พื้นเฉียงไปข้างหลังเล็กน้อย ผู้รับคทาใช้สายตามองอยู่ที่หมายหรือตำแหน่งที่กำหนดไว้ เมื่อเท้าของผู้ส่งคฑาวิ่งมาเหยียบที่หมาย ผู้รับจะหันหน้าตรงออกวิ่งอย่างเร็วโดยไม่มองผู้ส่งอีก ขณะวิ่งแขนซ้ายจะแกว่งไปมาตามปกติมือขวาจะไม่แกว่งไปมา เพราะจะทำให้ผู้ส่งส่งคฑาได้ยาก ผู้ส่งเมื่อวิ่งมาถึงช่วงระยะที่จะส่งคทาได้ให้เหยียดแขนที่ถือคฑา ซึ่งเป็นจังหวะที่แกว่งแขนไปข้างหน้าแล้วตีคฑาขึ้นไป ให้คฑาเข้าไประหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ของมือผู้รับ แล้ววิ่งต่อไปโดยชะลอฝีเท้าลงเรื่อย ๆ ผู้รับเมื่อคฑาถูกมือแล้วให้รีบกำและดึงคฑาวิ่งต่อไป กติกาการแข่งขันเบื้องต้น. 1. เมื่อการแข่งขันวิ่งผลัดทำในช่องวิ่ง ผู้เข้าแข่งขันอาจทำที่หมายไว้บนลู่ภายในช่องวิ๋งของตนเอง โดยใช้เทปกาวขนาด 5 X 40 ซม. มีสีที่เห็นได้ชัดเจน ไม่สับสนกับกับเครื่องหมายถาวรอื่น ๆ สำหรับลู่วิ่งที่ทำด้วยหญ้าหรือถ่านละเอียด นักรีฑาอาจทำที่หมายในช่องวิ่งของตนเอง โดยการทำรอยขีดไว้บนลู่วิ่ง 2. ไม้วิ่งผลัดจะต้องถือด้วยมือตลอดการแข่งขัน ถ้าหล่นนักกรีฑาจะต้องเก็บด้วยตนเองอาจออกจากช่องวิ่งของตนเพื่อไปเก็บคทาที่หล่นคืนมา การทำเช่นนี้ต้องไม่ทำให้ระยะทางที่วิ่งลดน้อยลง และไม่ไปกีดขวางทางวิ่งของนักกรีฑาคนอื่น ๆ การที่คทาหล่นไม่เป็นผลให้ต้องออกจากการแข่งขัน 3. ในการแข่งขันวิ่งผลัดทุกประเภทการรับส่งคฑาจะต้องกระทำในเขตรับส่งเท่านั้นการส่งผ่านคทาเริ่มขึ้นเมื่อคทาสัมผัสมือผู้รับ และเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในวินาทีที่คทาอยู่ในมือของนักกรีฑาภายในเขตรับส่งเท่านั้นที่เป็นตัวชี้ขาด ไม่ใช่ตำแหน่งของร่างกายหรือแขน ขา ของผู้เข้าแข่งขัน 4. ในการแข่งขันวิ่งผลัดอื่น ๆ เมื่อไม่ใช้ช่องวิ่ง นักกรีฑาที่รอรับคทาจะต้องอยู่ด้านในของลู่ ขณะที่สมาชิกของทีมกำลังวิ่งเข้ามาถึง โดยผู้รับต้องไม่ไปเบียดกระแทกหรือกีดขวางผู้เข้าแข่งขันคนอื่น 5. หลังจากส่งคฑาเสร็จแล้ว ผู้เข้าแข่งขันควรอยู่ในช่องวิ่งของตนหรืออยู่ในเขตรับส่งคฑาจนกว่าทางวิ่งจะปลอดจากผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการกีดขวางนักกรีฑาคนอื่น การวิ่งออกจากตำแหน่งหรือช่องวิ่งของตนเอง เมื่อส่งไม้วิ่งผลัดเสร็จแล้ว อาจทำให้ทีมถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันโดยถือว่าเป็นการทำผิดกติกาได้ 6. การช่วยเหลือด้วยการผลัก หรือด้วยวิธีอื่นใดต่อสมาชิกในทีมขณะทำการแข่งขันจะถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน วิ่งข้ามรั้ว. การวิ่งข้ามรั้ว หมายถึง การวิ่งที่ต้องวิ่งไปตามลู่วิ่งและกระโดดข้ามรั้วตามระยะทาง และความสูงของรั้วที่กำหนดไว้ ซึ่งระยะทางมาตรฐานที่ใช้ในการแข่งขัน มีดังนี้ ชาย 110 เมตร และ 400 เมตร หญิง 100 เมตร และ 400 เมตร เทคนิคในการวิ่งข้ามรั้ว. การวิ่งข้ามรั้ว ประกอบด้วยท่าตั้งต้นและการออกวิ่ง ลักษณะการจรดเท้ากระโดด ลักษณะของเท้านำ ลักษณะของลำตัวและแขน ลักษณะของเท้าตาม ท่าลงสู่พื้นและการเข้าเส้นชัย ทักษะเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่นักเรียนต้องเรียนรู้ โดยมีเทคนิคดังนี้ 1.1) ท่าตั้งต้นก่อนออกวิ่งและการออกวิ่ง ท่าตั้งต้นและการออกวิ่งให้ปฏิบัติเหมือนกับการตั้งต้นออกวิ่งระยะสั้น แต่เนื่องจากระยะทางจากเส้นเริ่มไปยังรั้วที่ 1 และรั้วอื่น ๆ ถูกกำหนดไว้ตายตัว จึงมีสิ่งที่ผู้วิ่งต้องปฏิบัติแตกต่างไปจากวิ่งระยะสั้นธรรมดาธรรมดา ซึ่งพอสรุปได้ 2 ประการ ดังนี้ ประการแรก การวางเท้าขณะเข้าที่ตั้งต้น อาจจะต้องสลับเท้าไว้ข้างหน้าหรือข้างหลัง เพื่อให้เท้าที่ถนัดเป็นเท้าที่กระโดดข้ามรั้ว ประการที่สอง การวิ่งข้มรั้วนักวิ่งจะต้องรีบตั้งตัวให้มุมของลำตัวสูงกว่าการวิ่งระยะธรรมดา เพื่อให้การจรดเท้ากระโดดข้ามรัวได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งการออกวิ่งสายตาจะมองไปข้างหน้าเส้นเริ่ม และเมื่อออกวิ่งไปได้ประมาณ 5 ก้าวจึงมองตรงไปที่รั้ว ซึ่งจำนวนก้าวจากเส้นเริ่มถึงรั้วแรกและจำนวนก้าวระหว่างรั้วประเภทรั้วต่ำ มีดังนี้ ก. ประเภท 100 เมตร ควรวิ่ง 10 ก้าว ก้าวที่ 11 เป็นก้าวข้ามรั้ว (สำหรับคนทีใช้เท้าขวาแตะนำ แต่เวลาเริ่มต้นใช้เท้าซ้ายไว้ข้างหลังนั้นก็วิ่ง 9 ก้าว หรือ 11 ก้าว และก้าวที่ 10 หรือก้าวที่ 12 เป็นก้าวข้าม) จำนวนก้าวระหว่างรั้วควรฝึก 7 ก้าว ก้าวที่ 8 เป็นก้าวข้ามรั้ว แต่ถ้าเป็นคนร่างเตี้ยและช่วงก้าวสั้น อาจใช้ 9 ก้าว ก้าวที่ 10 เป็นก้าวข้ามระยะหลังรั้วสุดท้ายถึงเส้นชัยไม่จำกัด จำนวนก้าวให้ใช้กำลังที่เหลือ เร่งฝีเท้าให้เต็มที่เข้าสู้เส้นชัย ข.ประเภท 400 เมตร จากเส้นเริ่มถึงรั้วแรกควรฝึกวิ่ง 24 ก้าว ก้าวที่ 25 เป็นก้าวลอยข้ามรั้ว ระยะทางวิ่งระหว่างรั้ว ควรฝึกวิ่ง 15 ก้าว ก้าวที่ 16 เป็นก้าวลอยข้ามรั้ว (สำหรับคนเตี้ยก้าวสั้น อาจเพิ่มจำนวนก้าวขึ้นอีก 2 ก้าวก็ได้ แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีการซอยเท้าหรือหยุดชะงัก) 1.2) เทคนิคการจรดเท้ากระโดด เท้าที่จรดพื้นก่อนกระโดดนี้ต้องให้ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า        และปลายเท้าจะอยู่ห่างจากรั้วประมาณ 7-8 ฟุตเป็นอย่างน้อย        เท้าที่จรดพื้นต้องเหยียดเข่าและสปริงข้อเท้าขึ้นอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดแรงส่งตัวพุ่งไปข้างหน้า 1.3) เทคนิคการควบคุมเท้านำ เท้าข้างที่ยกแตะขึ้นข้ามรั้วเรียกว่า “ เท้านำ” โดยยกเข่าขึ้นให้ขาท่อนบนขนานกับพื้น เข่างอแล้วเหยียดขาออก ตั้งปลายเท้าขึ้นไปข้างหน้าเหนือระดับรั้ว 1.4) เทคนิคการควบคุมลำตัวและแขน ขณะที่กระโดดลอยตัวอยู่เหนือรั้ว ซึ่งเป็นรั้วต่ำนี้ ไม่ต้องก้มลำตัวลงมาก ไม่ต้องยกเข่าขึ้นสูงมาก ถ้าสามารถก้าวข้ามไปเลยยิ่งดี เพราะไม่ต้องเสียเวลาลอยตัว ลักษณะของลำตัวจะโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นรั้วสูงจะต้องโน้มลำตัวไปข้างหน้าให้มากที่สุด ศีรษะจะก้มลงข้างหน้าเล็กน้อย แขนข้างตรงกันข้ามกับเท้านำจะเหวี่ยงไปข้างหน้าพร้อมกับเท้านำ หันฝ่ามือลงสู่พื้น ข้อศอกงอขึ้นเกือบเสมอแนวไหล่ ขาเตะขึ้นเฉียดรั้วให้มากที่สุด 1.5) เทคนิคการควบคุมเท้าตาม เท้าข้างที่กระตุกเข่าขึ้นหลังเท้านำเรียกว่า “ เท้าตาม” คือ เท้าข้างที่จรดพื้นก่อนข้ามรั้วนั่นเอง เท้าข้างต่ำจรดพื้น เมื่อสปริงส่งตัวขึ้นสูงสุดแล้ว ให้กระตุกเข่าขึ้นมาจนเป็นมุมฉากกับขาท่อนบน ปลายเท้าชี้ออกข้างลำตัว เข่าและข้อเท้าอยู่ในแนวเดียวกัน ลักษณะคล้ายกับท่าพับเพียบ 1.6) เทคนิคการลงสู่พื้น เมื่อเท้านำเลยระดับรั้วไปแล้ว ให้กดฝ่าเท้าลงสู้พื้นโดยเร็วและแรง ตามปกติเท้านำจะลงสู่พื้นรั้วห่างออกไปประมาณ 4-5 ฟุต เมื่อเท้านำแตะพื้นแล้วให้รีบกระตุกแขนให้แกว่งสลับกับเท้า เตรียมออกวิ่งต่อไป ลักษณะท่าทางการลงสู่พื้นเมื่อเท้านำแตะพื้นแล้วให้รีบกระตุกเข่าตามไปข้างหน้าพร้อมกับการกระตุกแขนแกว่งสลับกับเท้าเพื่อเตรียมวิ่งต่อไป 1.7) เทคนิคการวิ่งเข้าเส้นชัย การวิ่งเข้าเส้นชัยให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการวิ่งระยะสั้นเพราะระยะทางหลังรั้วสุดท้ายถึงเส้นชัยไม่จำกัดจำนวนก้าว ให้ใช้กำลังที่เหลือเร่งฝีเท้าให้เต็มที่พุ่งตัวเข้าสู่เส้นชัยในลักษณะท่าทางที่ตนถนัด
9980
62075
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9980
กรีฑา/กีฬาประเภทลาน
กรีฑาประเภทลาน (Field). กรีฑาประเภทลาน ประกอบด้วยการวิ่งกระโดดไกล การวิ่งกระโดดสูง การทุ่มน้ำหนัก การขว้างจักร และการพุ่งแหลน แต่ละประเภทต้องอาศัยทักษะที่แตกต่างกัน โดยการวิ่งกระโดดไกล ระบบการทำงานของร่างกายระหว่างประสาทและกล้ามเนื้อต้องมีความสัมพันธ์กัน จะช่วยให้สามารถบังคับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างนิ่มนวลและถูกต้องตามจังหวะที่ต้องการ การวิ่งกระโดดสูงต้องรู้จักจังหวะการกระโดด การสปริงตัวขึ้น การลอยตัวในอากาศ และการลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย การทุ่มลูกน้ำหนักต้องรู้จักการทรงตัว การกระโดดได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว และการใช้แรงส่งลูกน้ำหนักให้ไปไกลที่สุด การขว้างจักรต้องอาศัยการเหวี่ยงตัว และจังหวะที่ดีในการเหวี่ยงจักร รวมทั้งต้องมีความรวดเร็วว่องไว ประสาทและทักษะในการเคลื่อนไหวดี การพุ่งปล่อยแหลนออกไปในท่าที่ถูกต้องรู้จักจังหวะการวิ่ง การบังคับแหลนควรเรียนรู้ทำความเข้าใจ และฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ การวิ่งกระโดดไกล (Long Jump). การวิ่งกระโดดไกลมีหลายแบบ เช่น การวิ่งกระโดดไกลแบบงอตัว แบบก้าวขาในอากาศแบบแอ่นตัว ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างการวิ่งกระโดดไกลแบบงอตัว ซึ่งมีเทคนิคและกติกาดังนี้ 1) เทคนิคการวิ่งกระโดดไกล การวิ่งกระโดดไกลแบบงอตัวนับว่าเป็นท่าพื้นฐานเบื้องต้น เพราะเป็นแบบที่ลอยตัวง่าย ๆ เหมาะกับเด็กหรือผู้ที่ฝึกหัดใหม่ ซึ่งมีเทคนิคโดยทั่วไป ดังนี้ 1.1) การวิ่งก่อนกระโดด การวิ่งก่อนการกระโดดจะเริ่มตั้งแต่ก่อนออกวิ่งจนกระทั่งวิ่งไปเหยียบกระดานเพื่อกระโดด ในท่าเตรียมพร้อมก่อนออกวิ่ง ให้ยืนเท้าใดเท้าหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกเท้าหนึ่งอยู่ข้างหลังโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ยกมือข้างที่อยู่ตรงกันข้ามกับเท้าที่อยู่หน้าขึ้นระดับหน้าผาก ส่วนมืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นระดับเอว งอศอกขึ้นข้างหลังเล็กน้อย ระยะทางวิ่งก่อนการกระโดดสำหรับผู้ฝึกหัดใหม่นั้นไม่ควรเกิน 20 เมตร ผู้วิ่งจะต้องวิ่งเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงความเร็วสูงสุด เพื่อให้มีกำลังในการกระโดดมากขึ้น มีการทรงตัวที่ดี มีจังหวะและความแม่นยำในการเหยียบไม้กระดานเริ่มกระโดดได้อย่างถูกต้อง จึงควรกำหนดช่วงระยะทางและอัตราความเร็ว ในการวิ่งโดยทั่วไปนิยมแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้ ช่วงที่ 1 จากจุดเริ่มต้นไปประมาณ 4 เมตร ใช้ความเร็วในการวิ่งประมาณ ครึ่งหนึ่ง ของความเร็วสูงสุด ช่วงที่ 2 ระยะทางต่อจากระยะทางช่วงแรกไปอีกประมาณ 6 เมตร ใช้ความเร็วในการวิ่งประมาณ 3 ใน 4 ส่วน ของความเร็วสูงสุด ช่วงที่ 3 ระยะทางต่อจากช่วงที่สองจนถึงกระดานเริ่มกระโดดประมาณ 10 เมตร ใช้ความเร็วในการวิ่งประมาณ 95 – 100 % ของความเร็วสูงสุด 1.2) การกระโดดขึ้นจากพื้น เมื่อวิ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด ลำตัว ศีรษะ หน้าอก อยู่ในลักษณะตั้งตรง ก้าวสุดท้ายที่จะเหยียบกระดานเริ่มนี้ให้ก้าวยาวกว่าเดิมเล็กน้อย เมื่อส้นเท้าจรดพื้นริมกระดานเริ่มนั้น เท้าเกือบตึง ต่อจากนั้นให้งอเข่าเล็กน้อย จังหวะติดต่อกันนั้นน้ำหนักตัวจะเคลื่อนไปข้างหน้าตามแรงส่งที่วิ่งมา ฝ่าเท้าจะตบกระแทกกระดานเริ่ม สปริงข้อเท้าและถีบส่งขึ้นด้วยปลายเท้าในลักษณะเขย่งเต็มที่ ส่วนเท้าอีกข้างหนึ่งงอเข่า ยกขาท่อนล่างขึ้นพร้อมที่จะเหวี่ยงสลับกันกับขาที่ใช้ก้าวเพื่อช่วยในการทรงตัว ขาข้างที่เหวี่ยงนำจะเหวี่ยงขึ้นในลักษณะงอเข่า ขณะที่ตัวลอยขึ้นพยายามให้ตัวตั้งตรง 1.3) การลอยตัวในอากาศ ขณะเหวี่ยงขานำขึ้นเข่าจะงอและส่งตัวขึ้นจากพื้นด้วยขาข้างที่เหยียบกระดานเริ่ม แขนจะเหวี่ยงไปข้างหน้าให้สัมพันธ์กับขา ตามองไปข้างหน้าขนานกับพื้นและกระตุกเข่าขึ้นมาข้างหน้ารวบชิดกับขาข้าที่เหวี่ยงนำซึ่งคอยอายู่แล้ว 1.4) การลงสู่พื้น ขณะที่ลำตัวเริ่มทำมุมตกลงสู่พื้นให้เหยียบขาทั้งสองไปข้างหน้าให้มากที่สุด โดยไม่เหยียดเอว แขนทั้งสองจะเหวี่ยงไปข้างหน้าทันที ที่ส้นเท้าทั้งสองสัมผัสพื้นทรายให้เหวี่ยงแขนทั้งสองไปข้างหลัง แล้วก้มตัวไปข้างหน้าโดยเร็วพร้อมกับงอเข่า พับเอว เหวี่ยงแขนไปข้างหน้าตามลำดับ ท่าการลงสู่พื้นควรเน้นและฝึกหัด คือ พยายามเหยียดเท้าไปข้างหน้าด้วยการเหยียดเข่าส่วนเอวยังคงพับและเหวี่ยงแขนกลับหลัง เพื่อให้ตัวโน้มไปข้างหน้ามากที่สุด กติกาในการแข่งขันเบื้องต้น การทำผิดกติกาของผู้เข้าแข่งขัน มีดังนี้ ล้ำกระดานกระโดดด้วยส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย ไม่ว่าจะกระโดดหรือไม่ก็ตาม กระโดดจากนอกกระดานเริ่มนอกปลายสุดด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าจะล้ำเส้นเริ่ม หรือก่อนถึงเส้นเริ่มในแนวของเส้นเริ่มที่ยื่นออกมา ถูกพื้นภายนอกหลุมทรายก่อนที่จะลงสู่หลุมทราย หลังจากการกระโดดสมบูรณ์แล้วเดินย้อนกลับมาทางกระดานเริ่ม ใช้ท่ากระโดดแบบลังกาหน้า วิ่งกระโดดสูง (High Jump). จุดหมายของการวิ่งกระโดดสูงหรือการกระโดดสูง คือ การที่ผู้กระโดดวิ่งมาแล้วสามารถกระโดดขึ้นและลอยตัวข้ามไม้พาดที่อยู่สูงไปได้ โดยใช้ท่าที่เหมาะสมกับรูปร่าง ความถนัด และเป็นท่าที่ตนเองกระโดดได้สูงที่สุด ท่าทางที่ใช้ในการกระโดดสูงนี้มีหลายแบบซึ่งได้เปลี่ยนแปลง ปรับปรุง และวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ โดยการคิดค้นหาเทคนิคและท่าทางการกระโดดขึ้นมา เพื่อให้ผู้กระโดดทำสถิติการกระโดดสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับการเริ่มฝึกของนักเรียน ควรฝึกจากท่าง่าย ๆ ไปก่อน เพื่อให้รู้จักจังหวะการกระโดด รู้จักการสปริงตัวขึ้น รู้จักการลอยตัวในอากาศและการลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย 1.) เทคนิคในการวิ่งกระโดดสูง มีดังนี้ 1.1) การวิ่งกระโดดสูงแบบกรรไกรทางเฉียง การวิ่งกระโดดสูงแบบกรรไกรทางเฉียง มีขั้นตอนและเทคนิคต่าง ๆ ดังนี้ 1.1.1 การวิ่งก่อนการกระโดด ท่าตั้งต้นก่อนการวิ่งกระโดดสูง เพียงแต่ยืนตรงเตรียมพร้อมที่จุดเริ่มต้น หันหน้าไปยังทิศทางที่จะวิ่งไป เป็นมุมกับไม้พาดประมาณ 45 องศา ก่อนการวิ่งควรกำหนดที่หมายด้วยการหาระยะก้าวก่อนกระโดด เพื่อให้การจรดเท้าและการกระโดดขึ้นให้ได้ความสูงเหนือไม้พาดพอดี สมมุติว่าวิ่งเข้ากระโดดจำนวนก้าว 8 ก้าว ให้เท้าขวาเตะนำขึ้น จึงควรทำที่หมายไว้ตามทางที่วิ่ง 3 แห่ง แล้วออกวิ่งตามาจำนวนก้าวและความเร็ว ดังนี้ จากที่หมายที่1 ถึงที่หมายที่ 2 ควรวิ่งก้าวสั้น ๆ ด้วยปลายเท้าลักษณะโหย่ง ๆ ตัว ความเร็วประมาณครึ่งหนึ่ง ของความเร็วสูงสุด จำนวน 4 ก้าว จากที่หมายที่ 2 ถึงที่หมายที่ 3 วิ่งด้วยปลายเท้าก้าวยาว ๆ ความเร็วประมาณ 3 ใน 4 ของความเร็วสูงสุดจำนวน 4 ก้าว ที่หมายที่ 3 นี้จะอยู่ห่างจากไม้พาดประมาณ 1 ช่วงแขนของผู้กระโดด 1.1.2 การกระโดดขึ้นจากพื้น เมื่อเท้าซ้ายวิ่งมาเหยียบที่หมายที่ ซึ่งเป็นจุดที่จะกระโดดขึ้นให้จรดด้วยส้นเท้าก่อนแล้วจึงผ่อนน้ำหนักตัวไปทางปลายเท้า เอนตัวมาข้างหลังทำมุมกับพื้นประมาณ 45 องศา เข่างอเล็กน้อย ตามองเหนือไม้พาด ก้าวสุดท้ายจะกระโดดขึ้นจะก้าวไม่ยาวเกินไป แต่ต้องก้าวเท้าเร็ว ทันทีที่ส้นเท้าซ้ายจรดพื้นเท้าขวาจะเตะนำขึ้นไปข้างหน้า พร้อมกับเหวี่ยงแขนทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ และถ่ายน้ำหนักตัวไปสู่ปลายเท้าซ้ายถีบพื้นกระโดดขึ้นทันที 1.1.3 การลอยตัวในอากาศ ขณะที่ลอยตัวขึ้นขาขวาจะเหยียบนำข้ามไม้พาดไปก่อน ลำตัวจะเอนไปข้างหลัง และแอ่นสะโพกขึ้นจนตัวนอนหงายขนานกับไม้พาด ไม่เงยหน้า แต่ก้มหน้าเก็บคางในช่วงเวลาติดต่อกันนี้ เท้าซ้ายจะเตะข้ามไม้พาดตามเท้าขวาไปตามลำดับ ขณะตัวอยู่เหนือไม้พาด จะมีลักษณะคล้ายนอนหงายหันหลังให้ไม้พาด โดยไม่เกร็งส่วนใดของร่างกาย 1.1.4 การลงสู่พื้น เมื่อทุกส่วนของร่างกายผ่านพ้นไม้พาดไปแล้ว ให้กดเท้าที่เป็นเท้านำสู่พื้นโดยเร็ว แล้วกดเท้าตามสู่พื้นในท่ายืนย่อตัวลง ถ้ามีเบาะรองรับอาจจะปล่อยให้ตัวลงสู่พื้นในลักษณะนอนหงายก็ได้ 1.2) การวิ่งกระโดดสูงแบบฟอสบูรี ฟลอบ การวิ่งกระโดดสูง แบบฟอสบูรี ฟลอบเป็นท่าที่ใช้ในการแข่งขันมากที่สุดในปัจจุบันที่มีขั้นตอน ดังนี้ 1.2.1 การวิ่งก่อนกระโดด การวิ่งก่อนกระโดดจะมีทางวิ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นทางตรงกับส่วนที่เป็นทางโค้ง ให้วิ่งส่วนที่เป็นทางตรง 3 – 6 ก้าว และวิ่งส่วนที่เป็นทางโค้งอีก 4-5 ก้าว การวิ่งในทางตรง ลำตัวต้องยืดตรง แล้วเพิ่มความเร็วของการวิ่งด้วยการก้าวท้าวอย่างมีพลัง เอนตัวเข้าในโค้งระหว่างวิ่งทางโค้ง หัวไหล่ทางด้านในโค้งทางด้านในโค้งจะต่ำกว่าหัวไหล่ทางด้านนอกโค้ง แล้ววิ่งเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งแรงขับไปที่ก้าวสุดท้ายของการวิ่ง 1.2.2 การกระโดด ขณะที่วิ่งก่อนกระโดด ช่วงก้าวสุดท้ายให้สั้นกว่าปกติเล็กน้อยแล้วตบเท้ากระโดดอย่างรวดเร็วผสานกับ ความเร็วที่เร่งมา ปลายเท้าชี้ตรงไปยังจุดลงพื้น เท้าจะไม่ขนานกับไม้พาด แล้วเหวี่ยงขาอิสระท่อนบนให้สูงขนานกับพื้น อย่างรวดเร็ว และคงท่าทางนั้นไว้ (1) พร้อมกับเหวี่ยงแขนทั้งสองขึ้นให้กำปั้นสูงในระดับศีรษะ และคงท่าทางนั้นไว้ (2) ข้อต่อ ข้อเท้า เข่าและสะโพกเหยียดสุดตัว 1.2.3 การลอยตัวข้ามไม้พาด เมื่อกระโดดขึ้นคงท่าทางของขาอิสระท่อนบนที่เหวี่ยงสูงขนานกับพื้น ขาข้างที่กระโดดเหยียบสุดตัว เหวี่ยงแขนซ้าย ซึ่งเป็นแขนข้ามไม้พาดไปก่อน แล้วแตะสะโพกขึ้นระหว่างช่วงที่สะโพกผ่านไม้พาด เมื่อสะโพกผ่านไม้พาดไปแล้ว ให้เก็บคางชิดหน้าอก และเหยียดขาทั้งสอง 1.2.4 การลงสู่พื้น หลังจากผ่านข้ามไม้พาดแล้วลงเบาะด้วยแผ่นหลังทั้งหมด ประคองด้วยแขนทั้งสองข้าง ให้แยกเข่าออกจากกันเพื่อป้องกันขากระแทกใบหน้า กติกาในการแข่งขันเบื้องต้น. ผู้เข้าแข่งขันจะต้องกระโดดด้วยเท้าข้างเดียว ซึ่งในกรณีที่ทำผิดกติกา มีดังนี้ หลังจากกระโดดแล้ว ไม้พาดหล่นอันเกิดจากการกระทำของผู้กระโดด ไม่ได้กระโดดแต่ปล่อยให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายถูกพื้นรวมทั้งเบาะรองรับระหว่างเสากระโดดสูงทั้งสอง หรือภายนอกเสาที่อยู่หลังขอบหน้าของเสา อย่างไรก็ตามเมื่อนักกรีฑากระโดดขึ้นไปแล้วเท้าไปถูกเบาะ ถ้าผู้ตัดสินเห็นว่าไม่มีการได้เปรียบให้ถือว่าการกระโดดครั้งนั้นมีผลสมบูรณ์ ทุ่มลูกน้ำหนัก (Shot Putting). การทุ่มลูกน้ำหนักเป็นกรีฑาประเภทลานอีกชนิดหนึ่ง ผู้เล่นหรือผู้แข่งขันแต่ละคนจะต้องลูกน้ำหนักที่มีน้ำหนักเท่าๆกัน ภายในพื้นที่วงกลมที่ราบเรียบตามกติกากำหนดไว้ โดยทุ่มตรงออกไปข้างหน้า ผู้ที่ทุ่มได้ไกลที่สุดเป็นผู้ชนะ 1) เทคนิคในการทุ่มลูกน้ำหนักการทุ่มน้ำหนักมีทั้งการยืนอยู่กับที่ทุ่มลูกน้ำหนักและการเคลื่อนที่ทุ่มน้ำหนัก จะขอยกตัวอย่างการทุ่มน้ำหนักแบบอยู่กับที่ การยืนอยู่กับที่ทุ่มลูกน้ำหนักมีเทคนิคดังนี้ 1.1) การถือลูกน้ำหนัก การถือลูกน้ำหนักที่ถูกต้องตามวิธีการ มีส่วนช่วยในการทุ่มลูกน้ำหนักไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น 1.2) การยืนเตรียมทุ่ม การแข่งขันทุ่มลูกน้ำหนักผู้ทุ่มต้องยืนและทุ่มภายในวงกลมตามกติกากำหนดไว้ สมมุติว่าทุ่มด้วยมือขวา เริ่มต้นด้วยการหยิบลูกน้ำหนักด้วยมือซ้าย(เพื่อสงวนกำลังของมือขวาไว้) วางลงบนมือขวาถือลูกน้ำหนักวางทาบที่ใต้ขากรรไกร คือระหว่างคอกับไหล่ หันฝ่ามือไปข้างหน้าใช้แก้มแนบกระชับไว้ตลอดแขนจนถึงปลายนิ้ว ไม่เกร็ง แบะข้อศอก ยืนหันข้างซ้ายให้ทิศทางที่จะทุ่มเหยียบแขนข้างที่ไม่ได้ทุ่มไปข้างหน้า มือสูงกว่าระดับไหล่ เท้าขวาแยกห่างจากเท้าซ้ายประมาณ 1 ช่วงไหล่ ปลายเท้าขนานกัน 1.3) การเคลื่อนไหวก่อนทุ่ม เมื่อยืนเตรียมพร้อมแล้วให้โน้มตัวไปหาเท้าขวา ย่อเข่าขวางอแขนซ้ายมาด้านหน้า น้ำหนักตัวอยู่บนเท้าขวา ยกส้นเท้าซ้ายขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับบิดไหล่ สะเอวข้างขวาต่ำลง ให้ลูกน้ำหนัก เข่า และปลายเท้าขวาอยู่บนเส้นดิ่งเดียวกัน 1.4) การทุ่ม เริ่มจากการโล้น้ำหนักตัวไปยังทิศทางที่จะทุ่ม พร้อมกับเหยียดเข่าขวาขึ้น บิดไหล่ สะเอว แอ่นหน้าอกและดันลูกน้ำหนักออกจากซอกคอเฉียดปลายคางไปข้างหาหน้าทำมุม 45 องศา เหยียดแขนดันลูกน้ำหนักไปให้สุดแขนอย่างแรงและส่งตามด้วยเท้าขวาโดยฉับพลันขณะเดียวกันแขนซ้ายและไหล่ซ้ายจะเหวี่ยงกลับไปข้างหลัง 1.5) การทรงตัวหลังการทุ่ม เมื่อทุ่มลูกน้ำหนักไปแล้วให้กระโดดลอยตัวด้วยแรงส่งของเท้าขวา โดยใช้เท้าก้าวไปในลักษณะกระโดดเล็กน้อยแทนที่เท้าซ้าย แล้วลงสู่พื้นด้วยปลายเท้าขวาพร้อมกับย่อเข่า แขนซ้ายที่เหวี่ยงไปข้างหลังกางออกเล็กน้อยเพื่อช่วยในการทรงตัว ตามองลูกน้ำหนักที่ทุ่มไป กติกาการแข่งขันเบื้องต้น. ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเริ่มต้นทุ่มจากท่านิ่งภายในวงกลม ไม่อนุญาตให้วิ่งหรือกระโดดเข้าไปในวงกลม แต่อนุโลมให้ผู้แข่งขันสัมผัสกับด้านในของขอบวงกลม และกระดานหยุดได้ ลูกน้ำหนักจะทุ่มออกไปจากไหล่ ด้วยมือข้างเดียวเท่านั้น เมื่อผู้เข้าแข่งขันยืนเพื่อเตรียมทุ่มในวงกลม ลูกน้ำหนักจะติดอยู่ที่คอหรือคางและมือต้องไม่ลดต่ำไปกว่านี้ ในขณะที่ทุ่มออกไป ห้ามเงื้อลูกน้ำหนักออกจนเลยแนวไหล่ ห้ามใช้เครื่องช่วยใด ๆ เช่น ใช้เทปพันนิ้วมือ 2 นิ้วหรือมากกว่าเข้าด้วยกัน เว้นแต่ในกรณีที่ใช้เพื่อปิดบาดแผลเท่านั้น ห้ามสวมถุงมือทำการแข่งขัน เพื่อช่วยให้จับลูกน้ำหนักได้ดีขั้น ผู้เข้าแข่งขันสามารถใช้สารที่คณะกรรมการระบุว่าไม่ผิดกติกาทาบนฝ่ามือได้ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่ข้อมือ ผู้เข้าแข่งขันใช้ผ้าพันยึดที่ข้อมือได้ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง อนุญาตให้ผู้เข้าแข่งขันอาจคาดเข็มขัดหนังหรือวัสดุอื่นที่เหมาะสมได้ ผู้เข้าแข่งขันจะฉีดหรือโรยสารใด ๆ ลงในบริเวณวงกลมหรือบนพื้นรองเท้าของตนเองไม่ได้ ถือเป็นการผิดกติกา ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสกับขอบบนของวงกลมขอบบนของที่ยันเท้าหรือพื้นนอกวงกลม ในการแข่งขันผู้เข้าแข่งขันจะขอหยุดการแข่งขันก็ได้ แม้ว่าจะเริ่มไปแล้วก็ตามโดยวางลูกทุ่มน้ำหนักลงภายนอกหรือภายในวงกลมก็ได้ หรือถ้าจะเดินออกจากวงกลมให้ก้าวเท้าออกทางด้านหลัง จากนั้นจะกลับเข้าไปในวงกลมในท่านิ่งและเริ่มต้นทำการแข่งขันต่อไปก็ได้ ผลการแข่งขันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ลูกทุ่มน้ำหนักที่ทุ่มไปจะต้องตกลงอย่างสมบูรณ์ ภายในขอบด้านในของรัศมีของการทุ่ม ผู้เข้าแข่งขันจะออกจากวงกลมไม่ได้ จนกว่าลูกน้ำหนักจะตกถึงพื้นแล้ว โดยออกทางครึ่งหลังซึ่งมีเส้นสีขาวเขียนไว้ เส้นนี้จะต่อจากเส้นผ่านศูนย์กลางของวงกลมออกไปนอกวงกลมทั้งสองข้าง ลูกน้ำหนักที่ทุ่มไปแล้วต้องถือกลับมาที่วงกลม ห้ามทุ่มกลับมาคานกับหมา ขว้างจักร (Throwing a Discus). การขว้างจักรเป็นกรีฑาประเภทลานอีกชนิดหนึ่ง ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนต้องขว้างจักรออกจากพื้นที่ภายในวงกลมให้จักรไปตามทิศทางตามกติกากำหนดไว้ ผู้ที่ขว้างจักรได้ไกลที่สุดเป็นผู้ชนะ 1) เทคนิคในการขว้างจักร การขว้างจักรมีทั้งการยืนอยู่กับที่ และการหมุนตัวขว้างจักรมีเทคนิคดังนี้ 1.1) การจับจักร การจับจักรก่อนขว้าง ควรเลือกจับจักรตามความถนัดความยาว และ ความแข็งแรงของนิ้วมือ 1.2) การยืนเตรียมตัวก่อนขว้างจักร ตามปกติผู้แข่งขันขว้างจักรจะต้องเข้าไปยืนอยู่ในพื้นที่ของวงกลมตามที่กติกากำหนดไว้ แต่สำหรับการเรียนของนักเรียนอาจจะขีดเส้นหรือทำเครื่องหมายที่เริ่มขว้างจักรไว้ก็เพียงพอแล้ว ถ้าจับจักรด้วยมือขวา ให้ยืนหันไหล่ซ้ายไปในทิศทางที่จะขว้าง เท้าซ้ายอยู่ชิดขอบในด้านหน้าวงกลม เท้าขวาแยกห่างจากเท้าซ้ายประมาณ 1 ช่วงไหล่ 1.3) การเหวี่ยงจักร การเหวี่ยงจักรควรฝึกหัดเหวี่ยงจักรอยู่กับที่ผ่านหน้าไปมาในลักษณะคว่ำมือให้คล่องแคล่วโดยไม่เกร็ง ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จนสามารถบังคับจักรได้ดีโดยไม่รู้สึกว่าจักรหลุดออกจากมือไปเสียก่อน อาจใช้สายหนังรัดจักรติดกับมือแล้วเหวี่ยงผ่านหน้าไปมา ฝึกทำหลาย ๆ ครั้ง จนเกิดความเคยชินกับจักร 1.4) การปล่อยจักร เมื่อเริ่มเหวี่ยงจักรไปข้างหลังให้ย่อเข่าทั้งสองลง เข่าขวาจะแบะออก พร้อมกับบิดลำตัวตามไปเล็กน้อย จักรเหวี่ยงไปข้างหลังสูงระดับไหล่ และคว่ำฝ่ามือ เมื่อสุดจังหวะที่เหวี่ยงไปข้างหลังแล้วให้เริ่มขว้างจักร โดยเหยียดเท้าขวาและเท้าซ้าย (อาจก้าวเท้าซ้ายเฉียงไปข้างหน้าประมาณครึ่งก้าว) พร้อมกับเหวี่ยงจักรไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในลักษณะคว่ำฝ่ามือ โดยใช้กำลังส่งจากการบิดไหล่ สะโพก แขนตึง แอ่นหน้าอก แขนซ้ายและไกล่ซ้ายต้องหมุน พร้อมทั้งวาดแขนซ้ายไปข้างหลัง จักรจะทำมุมเหวี่ยงเฉียงขึ้นข้างหน้าประมาณ 30 องศา เมื่อจักรมาถึงระดับหน้าก็ปล่อยทำมุมขึ้นไปประมาณ 40 องศา ซึ่งอาศัยแรงช่วยส่งจากปลายเท้าขวา การบิดไหล่และสะโพก 1.5) การทรงตัวเมื่อขว้างจักรไปแล้ว เมื่อปล่อยจักรหลุดจากมือไปแล้วให้ก้าวเท้าขวามาแทนเท้าซ้ายทันที อาจใช้การกระโดดเปลี่ยนเท้ามาข้างหน้าก็ได้ 2.) กติกาการแข่งขันเบื้องต้น ผู้เข้าแข่งขันจะใช้ท่าใดขว้างจักรก็ได้ หรือจะหมุนตัวกี่รอบก็ได้ ถ้าการกระทำนั้นไม่ผิดกติกา แต่จักรจะต้องขว้างออกไปจากวงกลมและเริ่มต้นขว้างจากท่านิ่ง อนุญาตให้ผู้เข้าแข่งขันสัมผัสขอบด้านในของวงกลมได้ ห้ามใช้เครื่องช่วยเหลือใด ๆ เช่น ใช้เทปพันนิ้วมือ 2 นิ้ว หรือมากกว่าเข้าด้วยกัน ไม่อนุญาตให้ใช้เทปพันมือนอกจากในกรณีที่ใช้ปิดบาดแผลเท่านั้น ห้ามสวมถุงมือทำการแข่งขัน เพื่อช่วยให้การจักจักรได้ดีขึ้นผู้เข้าแข่งขันสามารถใช้สารที่ไม่ผิดกติกาทาบนมือได้ เพื่อป้องกันกระดูกสันหลังบาดเจ็บผู้เข้าแข่งขันอาจคาดเข็มขัดหนังหรือวัสดุอื่นที่เหมาะสมได้ ห้ามผู้เข้าแข่งขันโรยสารใด ๆ ลงบนวงกลมหรือบนพื้นรองเท้า การขว้างจักรที่ผิดกติกา คือ หลังจากที่ผู้เข้าแข่งขันได้ก้าวเข้าไปในวงกลม และทำการขว้างจักรออกไปแล้ว ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายสัมผัสขอบวงกลม ในการแข่งขันนั้นผู้เข้าแข่งขันจะหยุดการแข่งขัน หรือออกไปจากวงกลมก็ได้ เมื่อออกจากวงกลมจะต้องก้าวออกข้างหลัง จากนั้นจะกลับเข้ามาอยู่ในทางนิ่ง และเริ่มต้นการแข่งขันใหม่อีกครั้ง การแข่งขันที่ได้ผลนั้นจักรจะต้องตกอย่างสมบูรณ์ในขอบในของรัศมีการขว้างเท่านั้น การแข่งขันจะออกจากวงกลมไม่ได้จนกว่าจักรจะตกพื้นดินเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกจากวงกลมจะต้องออกทางครึ่งหลัง ซึ่งมีเส้นสีขาวเป็นเส้นกำหนดเขต เส้นนี้ต่อออกจากด้านนอกของวงกลมโดยต่อจากเส้นผ่านศูนย์กลาง จักรที่ขว้างไปแล้วจะต้องถือกลับมาที่วงกลม ห้ามขว้างกลับมานาสา พุ่งแหลน (Throwing the Javelin). พุ่งแหลนเป็นกรีฑาประเภทลาน ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนจะต้องพุ่งแหลนที่มีน้ำหนักเท่า ๆ กันโดยพุ่งแหลนออกไปข้างหน้า ผู้ที่พุ่งได้ไกลที่สุดเป็นผู้ชนะ การพุ่งแหลนเป็นกรีฑาที่ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีน้ำหนัก นักกรีฑาจึงต้องอาศัยกำลังและความเร็วเพื่อพุ่งแหลนออกไปให้ได้ระยะทางไกลที่สุด การพุ่งแหลนมีทั้งยืนอยู่กับที่และวิ่งพุ่งแหลน 1.) เทคนิคในการพุ่งแหลนยืนอยู่กับที่ ทักษะเบื้องต้นของการพุ่งแหลนเป็นการฝึกหัดให้นักเรียนรู้จักวิธีการจับแหลนและการยืนพุ่งแหลนอยู่กับที่ เพื่อให้นักเรียนเกิดความชำนาญในการบังคับแแหลนการฉุดแหลน การพุ่งปล่อยแหลนออกไปในท่าทางที่ถูกต้องและเป็นไปตามทิศทางที่ต้องการ การจับแหลนทั้งสองวิธีนี้ นิ้วทั้งหมดต้องไม่เกร็งจนแน่นเกินไป กำแหลนไว้เพียงหลวม ๆ จะกำแน่นเข้าเมื่อจะเริ่มพุ่งออกไปข้างหน้าเท่านั้น เมื่อจับแหลนตามวิธีที่ 1 หรือวิธีที่ 2 เรียบร้อยแล้วให้ยกแหลนขึ้นอยู่ในลักษณะเตรียมพร้อมที่จะพาแหลนวิ่งหรือยืนพุ่งแหลนไปได้ จะเลือกจับยกแหลนแบบใดก็ได้ ตามที่ถนัด และสามารถบังคับแหลนไม่ให้ส่ายไปมา 1.1) การพุ่งแหลนยืนอยู่กับที่ การฝึกหัดพุ่งแหลนยืนอยู่กับที่เพื่อให้เกิดความชำนาญในการบังคับแหลน การฉุดแหลนและการปล่อยแหลนอย่างมีประสิทธิภาพ ครั้งแรกพุ่งใกล้ ๆ แล้วค่อย ๆ ไกลออกไปตามลำดับ โดยใช้กำลังส่งจากไหล่ ลำตัว เอว สะโพกและขา ตลอดจนการฝึกเปลี่ยนเท้า ซึ่งการพุ่งแหลนมีวิธีฝึก ดังนี้ 1.1.1 การพุ่งแหลนลงดิน การฝึกพุ่งแหลนลงดิน เพื่อให้นักเรียนเกิดความชำนาญในการบังคับแหลน ให้เป็นไปตามทิศทางและเป้าหมายที่ต้องการ โดยยกหางแหลนสูงในลักษณะแทงปลา ครั้งแรกควรพุ่งแหลนไปข้างหน้าลงพื้นดินห่างจากตัวประมาณ 10 ฟุต เมื่อเกิดความชำนาญดีแล้วจึงทำเครื่องหมายห่างตัวออกไปเรื่อย ๆ โดยพุ่งแหลนให้ลงตรงที่หมายที่กำหนด 1.1.2 การพุ่งแหลนขึ้นอากาศ เมื่อจับแหลนตามวิธีที่ตนถนัดแล้ว ขณะที่จะเริ่มพุ่งแหลน ให้ทิ้งน้ำหนักตัวมาข้างหลังพร้อมกับเหยียดแขนข้างที่จับแหลนเกือบตึง บิดไหล่ เอวและสะโพกไปทางซ้าย พร้อมกับดึงแหลนเต็มแรง กลั้นหายใจพุ่งแหลนออกไปข้างหน้าทันที เมื่อพุ่งแหลนออกไปแล้วน้ำหนักตัวจะล้ำไปข้างหน้าให้รีบก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า เพื่อรับน้ำหนักของลำตัวพร้อมกับเหวี่ยงเท้าซ้ายไปข้างหลัง ตามองตามแหลนไป 1.1.3 มุมของการพุ่งแหลน ขณะดึงแหลนมาข้างหน้าให้แหลนผ่านไหล่และทำมุมขึ้นจากพื้นประมาณ 45 องศา ลักษณะของแหลนที่พุ่งไปในอากาศจะถูกบังคับด้วยปลายนิ้ว ทั้งหมดและข้อมือไม่ให้แหลนเชิดเกินไป โดยสามารถบังคับให้หัวแลนลงสู่พื้นดินได้อย่างดี กติกาการแข่งขันเบื้องต้น. ต้องจับแหลนตรงที่จับ การพุ่งแหลนจะต้องพุ่งออกไปเหนือไหล่ หรือเหนือท่อนบนของแขนที่ใช้พุ่ง และต้องไม่เหวี่ยงหรือขว้างหรือรูปแบบการพุ่งซึ่งไม่เป็นไปตามแบบแผน การพุ่งแหลนจะได้ผลเมื่อหัวแหลน ซึ่งเป็นโลหะถูกพื้นก่อนส่วนอื่น ๆ ของแหลน ในขณะที่แหลนพุ่งไปในอากาศแล้ว ผู้เข้าแข่งขันจะหมุนตัวหรือหันหลังให้กับส่วนโค้งก็ได้ ห้ามใช้เครื่องช่วยเหลือใด ๆ ในการแข่งขัน เช่น ใช้ผ้าเทปพันนิ้วมือ 2 นิ้ว หรือมากกว่าเข้าด้วยกัน การใช้ผ้าเทปพันมือไม่อาจทำได้ ยกเว้นในกรณีที่ใช้ปิดบาดแผลเท่านั้น ห้ามสวมถุงมือ เพื่อช่วยให้จับแหลนได้กระชับยิ่งขึ้น ผู้เข้าแข่งขันสามารถคาดเข็มขัดหนังหรือวัสดุที่เหมาะสม เมื่อเริ่มการพุ่งแล้ว ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายผู้แข่งขันสัมผัสที่ลากต่อออกไปจากปลายของส่วนโค้งหรือพื้นข้างนอก หรือปล่อยแหลนออกไปด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม ให้ถือว่าการแข่งขันนั้นไม่มีผล ผู้เข้าแข่งขันอาจหยุดการแข่งขันได้ แม้ว่าจะเริ่มการแข่งขันแล้ว โดยวางแหลนลงภายในหรือภายนอกทางวิ่ง รวมทั้งอาจจะออกไปจากทางวิ่งก็ได้ จากนั้นจะกลับเข้ามาที่ทางวิ่งและเริ่มต้นการแข่งขันใหม่ก็ได้เช่นกัน ถ้าแหลนหักในขณะพุ่งออกไปหรือขณะที่ลอยอยู่ในอากาศ ถือว่าไม่มีผลต่อการแข่งขัน ทำการแข่งขันใหม่ได้โดยมีข้อแม้ว่าการพุ่งแหลนนั้นปฏิบัติถูกต้องตามกติกา แต่ถ้าผู้แข่งขันเสียการทรงตัวและกระทำผิดกติกาการแข่งขันนั้นถือว่าไม่มีผล สำหรับการแข่งขันที่มีผลนั้น ส่วนหัวของแหลนจะต้องตกลงภายในขอบของรัศมีการพุ่งอย่างสมบูรณ์ ผู้เข้าแข่งขันต้องไม่ออกจากทางวิ่ง จนกว่าแหลนจะตกลงพื้น ให้ผู้เข้าแข่งขันเดินออกทางด้านหลังของส่วนโค้งและด้านหลังเส้นที่ต่อออกไปจากปลายของส่วนโค้ง จะต้องถือแหลนกลับมาที่เส้นเริ่ม ห้ามพุ่งกลับมา
9981
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9981
ว่ายน้ำ
กีฬาว่ายน้ำ (Swimming) ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะมนุษย์สามารถว่ายน้ำได้ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามชายทะเล แม่น้ำ ลำคลอง และที่ราบลุ่มต่างๆ เช่น พวกเอสซีเรีย อียิปต์ กรีก และโรมัน มีการฝึกหัดว่ายน้ำกันมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล เพราะมีผู้พบภาพวาดเกี่ยวกับการว่ายน้ำในถ้ำบนภูเขาแถบทะเลทรายลิบยาน การว่ายน้ำในสมัยนั้นเพียงเพื่อให้สามารถว่ายน้ำข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้ หรือเมื่อเกิดอุทกภัยน้ำท่วมป่าและที่อยู่อาศัยก็สามารถพาตัวไปในที่น้ำท่วมไม่ถึงได้อย่างปลอดภัย ประวัติกีฬาว่ายน้ำ. กีฬาว่ายน้ำสากล. การว่ายน้ำได้มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน แต่มีหลักฐานบันทึกไว้ไม่นานนัก Ralph Thomas ให้ชื่อแบบว่ายน้ำที่มนุษย์ใช้ว่ายกันมาตั้งแต่เดิมว่า ฮิวแมน สโตร์ก (Human stroke) นอกจากนี้พวกชนชาติสลาฟและพวกสแกนดิเนเวียรู้จักการว่ายน้ำอีกแบบหนึ่ง โดยใช้เท้าเคลื่อนไหวในน้ำคล้ายกบว่ายน้ำ หรือที่เรียกว่าฟล็อกคิก (Flogkick) แต่วิธีการเคลื่อนไหวของท่าแบบนี้จะทำให้ว่ายน้ำได้ไม่เร็วนัก การแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกได้จัดขึ้น วูลวิช บาร์ท (Woolwich Baths) ใกล้กับกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2416 การแข่งขันครั้งนั้นมีการแข่งขันเพียงแบบเดียวคือ แบบฟรีสไตล์ (Free style) โดยผู้ว่ายน้ำแต่ละคนจะว่ายแบบใดก็ได้ ในการแข่งขันครั้งนี้ J. Arhur Trudgen เป็นผู้ได้รับชัยชนะ โดยเขาได้ว่ายแบบเดียวกับพวกอินเดียแดงในอเมริกาใต้ คือแบบยกแขนกลับเหนือน้ำ ซึ่งเป็นวิธีการว่ายน้ำของเขาได้กลายเป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากจนได้ชื่อว่า ท่าว่ายน้ำแบบทรัดเจน (Trudgen stroke) ประชาชนชาวโลกได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการว่ายน้ำเพิ่มมากขึ้น เมื่อเรือเอก Mathew Webb ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษจากเมืองโดเวอร์ คาเลียส เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2418 โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 21 ชั่วโมง 45 นาที ด้วยการว่ายแบบกบ (Breast stroke) ข่าวความสำเร็จอันนี้ได้สร้างความพิศวงและตื่นเต้นไปทั่วโลก ต่อมาเด็กชาวอเมริกันชื่อ Gertude Ederle ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2469 ทำเวลาได้ 14 ชั่วโมง 31 นาที โดยว่ายน้ำแบบท่าวัดวา (Crawa stroke) จะเห็นได้ว่าในชั่วระยะเวลา 50 ปี  การว่ายน้ำได้วิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก ถ้าหากได้พิจารณาถึงเวลาของคนทั้งสองที่ทำได้ แบบและวิธีว่ายน้ำได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความเร็วขึ้นเสมอ ในบรรดานักว่ายน้ำทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวแลนเคเชียร์และออสเตรเลีย ได้ดัดแปลงวิธีว่ายน้ำแบบทรัดเจน ซึ่งก็ได้รับผลดีในเวลาต่อมา กล่าวคือ Barney Kieran ชาวออสเตรเลียและ T. S. Battersby ชาวอังกฤษ ได้ว่ายน้ำแบบที่ปรับปรุงมาจากทรัดเจน เป็นผู้ครองตำแหน่งชนะเลิศของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2449-2415 Alex Wickham ชาวเกาะโซโลมอนเป็นผู้ริเริ่มการว่ายน้ำแบบท่าวัดวาและเป็นผู้ครองตำแหน่งชนะเลิศของโลก ระยะทาง 50 หลา เขาได้กล่าวว่าเด็กโซโลมอนทุกคนว่ายน้ำแบบนี้ทั้งนั้น ต่อมาท่าว่ายน้ำแบบวัดวาจึงเป็นที่นิยมฝึกหัดกันโดยทั่วไป กีฬาว่ายน้ำได้จัดเข้าไว้ในการแข่งขันโอลิมปิกเมื่อปี พ.ศ. 2436 และได้จัดการแข่งขันมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุดังกล่าวกีฬาว่ายน้ำก็ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป และถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก มีการพัฒนากีฬาว่ายน้ำให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นเป็นลำดับ โดยมีผู้คิดแบบและประเภทของการว่ายน้ำเพื่อความสนุกสนาน และความตื่นเต้นในการแข่งขันมากขึ้น กีฬาว่ายน้ำในประเทศไทย. สมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้จดทะเบียนสมาคมต่อกรมตำรวจเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2502 ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมว่ายน้ำฯคนแรกคือ พลเรือโท สวัสดิ์ ภูติอนันต์ ร.น. ในปีเดียวกันนี้สมาคมว่ายน้ำฯได้เข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ว่ายน้ำนานาชาติในปี พ.ศ. 2504 รัฐบาลได้อนุมัติเงินงบประมาณจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างสระว่ายน้ำมาตรฐานขนาดความยาว 50 เมตร กว้าง 25 เมตร พร้อมทั้งที่กระโดดน้ำ และอัฒจันทร์คนดูจำนวน 5,000 ที่นั่ง ณ บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ และเปิดใช้ในการแข่งขัน เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2506 เรียกว่า สระว่ายน้ำโอลิมปิก (ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นสระว่ายน้ำวิสุทธารามย์) และสมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ว่ายน้ำแห่งเอเชียในปี พ.ศ. 2509 ในปี พ.ศ. 2548 สมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทยเปลี่ยนชื่อเป็น “สมาคมว่ายน้ำแห่งประเทศไทย” ชื่อย่อ ส.ว.ท. ชื่อภาษาอังกฤษ THAILAND SWIMMING ASSOCIATION  ชื่อย่อ AST   สมาคมว่ายน้ำแห่งประเทศไทย (ส.ว.ท.) เป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนการเล่นกีฬาว่ายน้ำ กระโดดน้ำ โปโลน้ำ และระบำใต้น้ำ ปัจจุบันกีฬาว่ายน้ำในประเทศไทยได้รับความสนใจจากประชาชนมากยิ่งขึ้น ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุกีฬาว่ายน้ำไว้ในหลักสูตรเกือบทุกระดับ มีการจัดกิจกรรมการแข่งขันตลอดทั้งปี บรรจุลงในการแข่งขันระดับประเทศ คือ กีฬานักเรียนนักศึกษาแห่งชาติ  กีฬาเยาวชนแห่งชาติ  กีฬาแห่งชาติ กีฬาชิงแชมป์ประเทศไทยทั้งสระ 50 เมตร สระ 25 เมตร ส่วนระดับนาๆชาติก็มีการจัดการแข่งขันในระดับ ซีเกมส์ เอเชียเกมส์  โอลิมปิค ชิงแชมป์โลกทั้งสระ 50 เมตร สระ 25 เมตร  ระดับเยาวชนก็มีรายการซีเอจกรุ๊ป  เอเชียเอจกรุ๊ป  กีฬาว่ายน้ำนักเรียนอาเซียนเป็นต้น กติกาการแข่งขันว่ายน้ำ. การตัดสิน. ลำดับที่ผู้แข่งขันทุกคนจะกำหนดโดยการเปรียบเทียบเวลาที่เป็นทางการของแต่ละคนถ้าเวลาทางการเท่ากันหลายๆ คน ก็ให้ลำดับที่เท่ากันในรายการนั้นๆ ได้ ชนิดของการแข่งขัน. จะมีการบันทึกเป็นสถิติโลก
9982
4860
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9982
การปฐมพยาบาลอาการบาดเจ็บที่พบบ่อยจากการเล่นกีฬา
การปฐมพยาบาล. เมื่อข้อต่อส่วนนั้น ๆ ได้รับบาดเจ็บ จะทำให้โลหิตในส่วนนั้นไหลเข้าไปในส่วนของข้อต่อ Symovial เป็นเหตุให้มีการซ้ำบวมในส่วนข้อต่อนั้น การกดด้วยน้ำแข็งหรือความเย็น (Ice Pack) จะช่วยให้ลดอาการบวมได้ หรือการเข้าเฝือกส่วนข้อต่อที่บาดเจ็บแล้วพันรอบด้วยผ้าพันแผล การฟกช้ำ (Conlusion). การปฐมพยาบาล ใช้ความเย็นประคบบริเวณที่ถูกกระแทกนั้น เป็นระยะ ๆ ประมาณ 10-20 นาที ติดต่อกัน 3-4 ระยะ และก็ไม่ควรถูกหรือนวดส่วนที่บาดเจ็บนั้นโดยทันที ถ้าบาดเจ็บบริเวณที่ติดกับกระดูก เช่น หน้าแข้ง หนังศีรษะ อาจจะใช้ผ้าพันรอบไว้ให้แน่น พยายามยกส่วนที่บาดเจ็บนั้นให้สูงไว้เสมอ และก็ไม่ควรให้ส่วนที่บาดเจ็บนั้นรับน้ำหนักหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว การใช้ความร้อนและการนวดเบา ๆ ก็ควรทำได้เพื่อให้บริเวณทีบาดเจ็บนั้นมีระบบ การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น การใช้ครีมหรือยาที่มีความร้อนทาก่อนนวดเบา ๆ จะช่วยให้อาการฟกช้ำยุบได้เร็วขึ้น และการให้บริเวณที่บาดเจ็บได้ออกกำลังกาย (Exercise) เอง ก็จะช่วยให้การบาดเจ็บหายเร็วยิ่งขึ้น กล้ามเนื้อฉีกขาด (Strain). การปฐมพยาบาล ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าพักกล้ามเนื้อส่วนที่บาดเจ็บนั้นให้นานที่สุด อาจใช้พลาสเตอร์หรือ ฟ้าพันรอบบริเวณ นั้นหลาย ๆ รอบ ภายใน 25 ชั่วโมงแรก ใช้ความเย็นประคบ ช่วยไม่ให้เลือดออกมากในกล้ามเนื้อส่วนที่ ฉีกขาดนั้น หลังจากนั้นต้องพักการใช้งานกล้ามเนื้อส่วนนั้นจน ไม่มีอาการเจ็บปวดอีก การใช้ความร้อนและการนวดเบา ๆ ด้วยยาหรือครีมที่มีความร้อนก็ใช้ได้หลังจาก 25 ชั่วโมงไปแล้ว และให้บริเวณนั้นได้รับการออกกำลังกายเบา ๆ จะทำให้หายเร็วขึ้น การเคล็ดหรือแพลง(Sprain). การปฐมพยาบาล ใช้ความเย็นประคบบริเวณที่บาดเจ็บนั้นใน 25 ชั่วโมงแรก และใช้ผ้าพันรอบบริเวณนั้นไม่ให้มีการเคลื่อนไหว ในการใช้ความเย็นประคบใช้ประมาณ 3 - 4 ระยะ ๆ ละประมาณ 10 - 20 นาที ภายหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว การประคบด้วยความร้อนและการนวดเบา ๆ ด้วยครีมปาล์มต่าง ๆก็ใช้ได้ การทำให้ส่วนข้อต่อที่บาดเจ็บนั้นได้รับการเคลื่อนไหวเองก็จะทำให้การบาดเจ็บหายเร็วขึ้น การปฐมพยาบาลที่ผิดวิธี มีการพบเสมอ ๆ คือ การนวดหรือประคบด้วยความร้อนทันที เมื่อได้รับการบาดเจ็บขึ้นจะทำให้โลหิตไหลออกสู่บริเวณนั้นมากและคั่งในส่วนของข้อต่อ จนกระทั่งให้แพทย์เจาะออกก็มีในบางราย ในบางครั้งการแพลงอาจรุนแรง จนมีการกระชากเอากระดูกชิ้นเล็ก ๆ แตกออกมาด้วย ในกรณีเช่นนี้การส่งถึงแพพย์ทำการเอกซเรย์และให้การรักษาอย่างถูกวิธีจะทำให้หายเป็นปกติ ข้อเคลื่อนหรือหลุด (Dislocation). การปฐมพยาบาล การจัดให้เข้าที่โดยทันทีได้จะยิ่งดี เพราะการรอไว้จะเจ็บปวดมากและอาจจะกระทำได้ยากขึ้น เพราะกล้ามเนื้อตึง ถึงไม่เคยกระทำหรือไม่แน่ใจ ให้ยึดส่วนที่หลุดไว้ในท่าที่เจ็บน้อยที่สุด และให้เกิดการเคลื่อนไหวน้อยที่สุดอีกด้วย ขั้นตอนต่อไป คือรีบนำส่งแพทย์โดยเร็วที่สุด และข้อควรระวัง คือการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยควรจะกระทำให้ถูกวิธี ถ้าระยะทางไกลควรให้ยาแก้ปวดเพื่อระงับความเจ็บปวด ควรได้รับการใช้ความเย็น (น้ำแข็ง) ประคบเพื่อระงับอาการเจ็บปวดก็ใช้ได้เช่นกัน การรักษาที่ถูกวิธีจะทำให้ผู้บาดเจ็บกลับสู่สภาพเดิมเร็วขึ้น กระดูกหัก(Fracture). การปฐมพยาบาล ให้ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้นควบคู่กับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและการเข้าเฝือกฉุกเฉิน ตะคริว(Cramp). การปฐมพยาบาล การหดเกร็งของกล้ามเนื้อสามารถคลายออกได้ โดยการใช้กำลังยืดกล้ามเนื้อตามทิศทางการทำงานของกล้ามเนื้อส่วนนั้น ตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อส่วนน่องซึ่งทำหน้าที่เหยียดปลายเท้า ขณะเป็นตะคริวจะหดเกร็งและทำให้ปลายเท้าเหยียด การใช้กำลังดันปลายเท้าเข้าหาเข่า โดยค่อย ๆ เพิ่มกำลังดัน จะช่วยเหยียดกล้ามเนื้อน่องได้ การใช้ความร้อนประคบหรือการนวดเบา ๆ จะช่วยให้เลือดมาหล่อเลี้ยงส่วนนั้น ๆ หมดสติเพราะศีรษะกระแทก. การปฐมพยาบาล การช่วยเหลือให้จับผู้ป่วยนอนราบหรือครึ่งนั่งครึ่งนอน ตะแคงศีรษะแล้วรีบนำส่งแพทย์ ถ้าผู้ป่วยฟื้นได้เองต้องหยุดเล่นทันที แล้วให้นอนพัก ใช้น้ำแข็งประคบศีรษะ และต้องส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการบาดเจ็บอย่างละเอียด
9994
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9994
ความรู้เรื่องประชากรและชุมชนเมือง
ปกติจะเรียกกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ร่วมกันว่าเป็นสังคม แต่ความจริงแล้วมีคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนหลายแบบหลายประเภทด้วยกัน เช่น ครอบครัว ละแวกบ้าน หมู่บ้าน ชุมชน เมือง องค์กร พรรค สมาคม เป็นต้น ก่อนที่จะอธิบายความหมายของคำว่า ชุมชน เมือง และความเป็นเมือง จะอธิบายให้เห็นความแตกต่างของกลุ่มคนสองประเภทก่อน คือ สังคมกับชุมชน ราชบัณฑิตยสถาน (2524 : 371) อธิบายว่า สังคม (Society) คือ คนจำนวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามระเบียบ กฎเกณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญร่วมกัน ส่วนคำว่า ชุมชน (Community) พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา (ราชบัณฑิตยสถาน 2524: 72) ได้ให้ความหมายไว้ 3 แนวดังนี้ คือ 1.กลุ่มย่อยที่มีลักษณะหลายประการเหมือนกับลักษณะสังคมแต่มีขนาดเล็กกว่า และมีความสนใจร่วมที่ประสานกันในวงแคบกว่า 2.เขตพื้นที่ ระดับของความคุ้นเคย และการติดต่อระหว่างบุคคล ตลอดจนพื้นฐานความยึดเหนี่ยวเฉพาะบางอย่างที่ทำให้ชุมชนต่างไปจากกลุ่มเพื่อนบ้าน ชุมชนมีลักษณะทางเศรษฐกิจเป็นแบบเลี้ยงตนเองที่จำกัดมากกว่าสังคม แต่ภายในวงจำกัดเหล่านั้นย่อมมีการสังสรรค์ใกล้ชิดกว่า และมีความเห็นอกเห็นใจลึกซึ้งกว่า อาจมีสิ่งเฉพาะบางประการที่ผูกพันเอกภาพ เช่น เชื้อชาติ ต้นกำเนิดเดิมของชาติหรือศาสนา 3.ความรู้สึกและทัศนคติทั้งมวลที่ผูกพันปัจเจกบุคคลให้รวมเข้าเป็นกลุ่มจากความหมายดังกล่าวมีความสอดคล้องกับ เดนนี่ส์ อี. บ็อปลิน (Dennies E. Poplin 1979 : 3) ที่กล่าวว่า ชุมชน เป็นคำที่ใช้เกี่ยวกับ การรวมตัวกันของหน่วยสังคมและที่อยู่อาศัย ที่ขึ้นอยู่กับขนาดของกลุ่ม โดยใช้คำเรียกที่แตกต่างกันออกไป เช่น ละแวกบ้าน หมู่บ้าน เมือง นคร และมหานคร จากความหมายดังกล่าว จะเห็นว่าสังคมกับชุมชนมีความแตกต่างกันในด้านขนาดของกลุ่มคนมากกว่าด้านอื่น ๆ แต่บางครั้งมีการใช้คำว่า ชุมชนนำหน้าชื่อของกลุ่มคนเพื่อบงบอกถึงคุณลักษณะต่าง ๆ ของกลุ่มดังนี้ -บอกพื้นที่ เช่น ชุมชนหนองมน -บอกเชื้อชาติ เช่น ชุมชนจีน -บอกศาสนา เช่น ชุมชนมุสลิม -บอกอาชีพ เช่น ชุมชนชาวประมง ส่วนกลุ่มคนขนาดใหญ่ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ หรือ การกล่าวถึงกลุ่มคนต่าง ๆ โดยทั่วไปเราจะใช้คำว่า สังคม นำหน้า เช่น สังคมไทย สังคมชนบท สังคมเมือง เป็นต้น
9995
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9995
ความรู้เรื่องประชากรและชุมชนเมือง/ประเภทของชุมชน
ในทางสังคมวิทยาแบ่งชุมชนออกเป็น 2 แบบ คือ ชุมชนชนบท (Rural) และเมือง (Urban) และราชบัณฑิตยสถาน (2524: 316,408) ได้ให้ความหมายของคำว่า ชนบทและเมืองไว้ดังนี้ 1.ชนบท หมายถึง ส่วนที่อยู่นอกเขตเมืองหรือเขตเทศบาล มีประชากรที่เลี้ยงชีพด้วยการเกษตรกรรมเป็นสำคัญ มีระเบียบสังคมที่สอดคล้องกับลักษณะชุมชนแบบหมู่บ้าน ตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มก้อน หรือกระจัดกระจายตามลักษณะภูมิประเทศหรือตามประเพณีนิยม 2.เมือง เป็นชุมชนแบบหนึ่ง เช่น ในสหรัฐอเมริกา ชุมชนเมือง ก่อน พ.ศ. 2453หมายถึงเขตที่มีจำนวนประชากรตั้งแต่ 8,000 คนขึ้นไป แต่หลังจากปี พ.ศ. 2453 หมายถึงเขตที่มีจำนวนประชากรตั้งแต่ 2,500 คนขึ้นไป ส่วนในประเทศไทยกำหนดให้เขตเทศบาล ที่มีจำนวนประชากรตั้งแต่ 10,000 คนขึ้นไป เป็นเขตเมือง เนื่องจากชนบทและเมืองมีความแตกต่างกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ประชากร และสิ่งแวดล้อม นักสังคมวิทยาจึงได้อธิบายความแตกต่างระหว่างชุมชนชนบทและเมืองในด้านต่าง ๆ ไว้ดังนี้ (Sorokin and Zimmerman, 1929: 56-57) 1.ด้านอาชีพ (Accupation) ชนบท เป็นชุมชนที่ประกอบด้วยประชากรและครอบครัวที่ประกอบอาชีพการเกษตร ส่วนอาชีพอื่น ๆ มีน้อยกว่าอาชีพเกษตรกรรม เมือง ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพเกี่ยวกับเครื่องจักรกล อุตสาหกรรม การค้าพาณิชยกรรม นักวิชาการ การปกครอง และอาชีพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เกษตรกรรม 2.ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) ชนบท เป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดตามธรรมชาติและมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของประชาชนมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติโดยตรง เมือง สิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่เป็นสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นและมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ประชาชนห่างไกลจากสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ 3.ด้านขนาดของชุมชน (Size of community) ชนบท เป็นชุมชนของเกษตรกรขนาดเล็ก ๆ แต่ใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ในการประกอบอาชีพ เมือง เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ขนาดของชุมชนจะมีความสัมพันธ์กับความเป็นเมือง 4.ด้านความหนาแน่นของประชากร (Density of population) ชนบท ความหนาแน่นของประชากรในชนบทจะต่ำกว่าในเมือง เมือง ความหนาแน่นของประชากรสูงกว่าชนบท และมีความสัมพันธ์กับความเป็นเมือง 5.ด้านความต่างแบบกันหรือความเป็นแบบเดียวกันของประชากร (Heterogeneity andhomogeneity of population) ชนบท ประชากรมีความเป็นแบบเดียวกันในลักษณะของเชื้อชาติและความรู้สึกทางสังคม เมือง ประชากรมีความต่างแบบกันมาก และความเป็นเมืองจะมีความสัมพันธ์กับความต่างแบบของประชากร 6.ด้านความแตกต่างทางสังคมและการแบ่งชั้นทางสังคม (Social differentiation and stratification) ชนบท มีความแตกต่างทางสังคมและการแบ่งชั้นทางสังคมน้อย เมือง มีความแตกต่างทางสังคมและการแบ่งชั้นทางสังคมมาก 7.ด้านการเคลื่อนที่ทางสังคม (Social mobility) ชนบท การเปลี่ยนแปลงในด้านที่อยู่อาศัย อาชีพ และอื่น ๆ มีการเปลี่ยนแปลงน้อย ส่วนการย้ายถิ่นจะเป็นในลักษณะจากชนบทไปสู่เมือง เมือง มีการเคลื่อนที่ทางสังคมมากกว่าชนบท การเคลื่อนที่ทางสังคมจะมีความสัมพันธ์กับความเป็นเมือง โดยปกติจะมีการย้ายถิ่นจากชนบทเข้ามาอยู่ในเมือง แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์วิกฤต คนในเมืองจะมีการอพยพจากเมืองไปสู่ชนบท 8.ด้านระบบของการกระทำระหว่างกัน (System of interaction) ชนบท มีการติดต่อและสื่อสารกันน้อยกว่าคนในเมือง มีการติดต่อและมีความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ (Primary relation) ความสัมพันธ์จะเป็นแบบส่วนตัวง่าย ๆ แต่จริงใจ เมือง มีการติดต่อและสื่อสารกันมาก อาณาเขตของการกระทำระหว่างกันกว้างมากกว่าในชนบท มีการติดต่อและมีความสัมพันธ์แบบทุติยภูมิ (Secondary relation) ไม่มีความเป็นกันเอง ความสัมพันธ์คงอยู่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ รูปแบบความสัมพันธ์มีความซับซ้อน ยุ่งยาก ผิวเผิน และมีแบบ
9996
5602
https://th.wikibooks.org/wiki?curid=9996
ความรู้เรื่องประชากรและชุมชนเมือง/ชานเมือง
จากปรากฎการทางสังคมในปัจจุบันจะพบว่า ความเจริญก้าวหน้าของชุมชนเมืองทำให้เกิดการอพยพของประชากรในเขตชนบทเข้ามาในเขตเมืองมากขึ้น เมื่อในเขตเมืองมีความหนาแน่นมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ความเสื่อมโทรมในตัวเมืองมีมากขึ้น การขยายตัวของเมืองก็จะเกิดขึ้นตามมา ทำให้มีการกระจายตัวของประชากรเมือง (Decentralization) เข้าครอบครอง (Dominate) พื้นที่ใหม่ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เมือง พื้นที่ที่รองรับการขยายตัวของเมืองก็คือ ชานเมือง (Suburb) พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา (ราชบัณฑิตยสถาน 2524 : 387) อธิบายว่า ชานเมือง หมายถึง ส่วนที่อยู่รอบ ๆ เมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก และมีระบบเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับเมือง ถึงแม้จะจัดเขตบริหารการปกครองแยกออกมาจากเมืองก็ตาม ฮาร์แลน พอล ดวงกลาสส์ (Douglass 1970 : 387) อธิบายว่า ชานเมืองสามารถพิจารณาได้จากความหนาแน่นของประชากร โดยประชากรที่อยู่ในชานเมืองจะมีความหนาแน่นน้อยกว่าประชากรที่อยู่บริเวณใจกลางเมือง อีกทั้งมีระยะห่างจากศูนย์กลางเมืองมาก สก็อตต์ โดนัลสัน (Donalson 1969 : ix) อธิบายว่า ชานเมืองคือบริเวณที่ประชาชนตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยอยู่ในรัศมีที่สามารถเดินทางมาทำงานในเขตเมืองได้เป็นประจำวัน มีการพึ่งพาอาศัยระบบเศรษฐกิจและสังคมจากเขตเมืองศูนย์กลาง แต่บางทีก็เป็นอิสระจากเมืองศูนย์กลาง เอดวิน อาร์. เอ. ซีลิกแมน (Seligman 1934 : 433) อธิบายว่า ชานเมืองเป็นกลุ่มชุมชนที่อยู่ล้อมรอบติดกับเขตเมืองศูนย์กลาง จอร์ด เอ. ดิโอเดอร์เสน และอาร์อิลเลส จี. ดิโอเดอร์สัน (Theodorsen and Theodorson 1969 : 425-426) อธิบายว่า ชานเมือง หมายถึง ชุมชนเล็ก ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมือง มีพื้นที่ติดต่อและขึ้นอยู่กับเมืองศูนย์กลาง เมืองศูนย์กลางนั้นอาจจะเป็นไม่เป็นเมืองหลวงของประเทศก็ได้ ชานเมืองจะแยกการปกครองจากเมืองศูนย์กลาง แต่ยังพึ่งพาอาศัยระบบเศรษฐกิจจากเมืองศูนย์กลางอยู่ สรุปได้ว่า ชานเมืองเป็นพื้นที่ที่อยู่รอบ ๆ เมือง มีประชากรอาศัยอยู่ร่วมกันหนาแน่นน้อยกว่าเมืองแต่มากกว่าชนบท ประชากรในเขตชานเมืองสามารถมาทำงานที่เมืองแบบไปกลับได้ ถึงแม้ว่าเขตชานเมืองจะแยกการปกครองจากเขตเมืองแต่ก็ยังพึ่งพาอาศัยระบบเศรษฐกิจจากเมืองอยู่บ้าง ก่อนที่ชานเมืองจะกลายมาเป็นเมือง (Urbanization) พื้นที่ของชานเมืองจะมีลักษณะเป็นที่โล่งว่างและมีประชากรอาศัยอยู่อย่างเบาบาง การที่ชานเมืองเป็นบริเวณมีสามารถรองรับการกระจายตัวของเมืองได้เป็นอย่างดีนั้น มีปัจจัยสนับสนุนดังนี้ (ไพบูลย์ ช่างเรียน 2516 : 250-251) 1.ปัจจัยด้านการคมนาคม (Mass communication) การสร้างเส้นทางคมนาคมติดต่อระหว่างชานเมืองกับตัวเมือง ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการเคลื่อนไหว เมื่อมีการเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและได้มากณ ที่นั้นก็จะมีความเจริญเกิดขึ้น ผู้คนอพยพไปอยู่มากขึ้น 2.ปัจจัยด้านที่อยู่อาศัย การออกไปจัดทำที่ดินหรือที่อยู่อาศัยบริเวณชานเมืองนั้น ทำให้สามารถมีบริเวณบ้านกว้างขวาง ราคาพอสมควรพอที่จะทำให้ผู้มีรายได้ปานกลางหาซื้อได้ 3.ปัจจัยด้านที่ตั้ง (Location) การสร้างสถานที่ราชการของรัฐบาล มีส่วนช่วยให้เกิดชุมชนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะประชาชนเห็นว่าเมือมีสถานที่ราชการของรัฐบาลเกิดขึ้นแล้ว การบริการสาธารณต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา ถนนหนทางและความปลอดภัยก็จะติดตามมาด้วยรวมทั้งสืบเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นในเขตชานเมือง เมื่อเกิดย่านอุตสาหกรรมขึ้นแล้ว ก็จำเป็นจะต้องมีคนงาน จึงทำให้เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยบริเวณเขตอุตสาหกรรมเพื่อความสะดวกในการทำงาน 4.ปัจจัยด้านการลงทุนของนักจัดสรรที่ดิน เมื่อบริเวณรอบ ๆ เมืองมีระบบคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วในการเคลื่อนไหว ทำให้มีนักเก็งกำไรในการจัดสรรที่ดินเกิดขึ้น โดยทำการจัดสรรที่ดินและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา ถนน เพื่อเป็นการจูงใจความต้องการของประชาชนที่อยู่อาศัย 5.ปัจจัยด้านบทบาทของการเดินทางไปกลับ (Commuter) โดยอาศัยผลจากความสะดวกรวดเร็วของการคมนาคมเข้ามาทำงานและอาศัยบริการต่าง ๆ ในตัวเมืองกลับออกไปในตอนเย็นซึ่งก่อให้เกิดการอพยพของประชากรที่อยู่อาศัยในเมืองออกไปอยู่ในเขตชานเมืองมากขึ้น